ในที่สุดหวงฝู่ซวิ่นก็เข้าใจข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง หากล่วงเกินหวงฝู่อี้เซวียนนั้นสามารถกระทำได้ แต่หากล่วงเกินเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด ก็ต้องถูกขยี้ไม่เป็นชิ้นดีอย่างแน่นอน

 

 

เสนาบดีเป็นคนแรกที่มีได้สติขึ้นมาก่อน จึงรีบเก็บมือกลับมา แล้วพูดอย่างโมโห “ซื่อจื่อ ท่านเป็นคนของเชื้อพระวงศ์ รู้ว่าสามหลักห้าคุณธรรม คืออันใด อย่าบอกนะว่าท่านปกป้องซื่อจื่อเฟยจนไม่แบ่งแยกผิดถูกเช่นนี้แล้ว”

 

 

โชคดีที่เสนาบดียังไม่ได้ขาดสติ จึงไม่ได้กล่าวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเด็กสาวบ้านนอก แม้เป็นเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังมีสีหน้าถมึงทึง และพูดขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว โดยใช้ระดับเสียงที่ทำให้ทุกคนได้ยินแต่ละคำ แต่ละประโยคชัดเจน “ซื่อจื่อเฟยของข้าเป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวง อย่าบอกนะว่าท่านเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

 

 

แค่กๆๆๆ… เสียงกระแอมอย่างรุนแรงด้านหนึ่งดังขึ้น

 

 

ทุกคนหันไปมองตามเสียงนั่น เห็นหวงฟู่ซวิ่นมีท่าทีที่ลำบาก กระแอมไออย่างแรงจนหน้าแดงก่ำ

 

 

ขันทีรับใช้ที่ติดตามตื่นตกใจอย่างมาก สอบถามด้วยเสียงที่เป็นกังวล “ไท่จื่อ พระองค์เป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ มีตรงไหนที่ไม่สบายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เป็นอะไรน่ะหรือ ก็สำลักน้ำลายตัวเองเข้าให้แล้วอย่างไรล่ะ แน่นอนว่าถ้อยคำเท็จจริงเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นไม่กล้าพูดแน่นอน ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งแผ่นดินจริงๆ เสียแล้ว ไท่จื่อที่ภูมิฐานผู้ที่จะครองราชย์ขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งรัฐอู่องค์ต่อไปสำลักน้ำลายตัวเองจนปางตาย ไม่ต้องให้ทุกคนมาหัวเราะเยาะ เขาก็จะขุดหลุมศพฝังตัวเองให้สิ้นเรื่องไปเลย พลางกระแอมอย่างหนัก พลางโบกมือปฏิเสธ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่าเขาเป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด จึงยิ้มถามอย่างมีเลศนัย “ไท่จื่อ ต้องการให้ข้าช่วยพระองค์สักหน่อยไหมพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นหยุดกระแอมโดยทันที แล้วยืดกายให้ตรง โบกมือขึ้นอย่างสง่า “ไม่เป็นไร ขอบใจเสด็จน้อง”

 

 

“โยวเอ๋อร์รู้ศาสตร์การแพทย์ ไท่จื่อไม่สบายตรงไหนก็ขอให้ตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ รับรองว่าได้รับยาแล้ว อาการเจ็บป่วยก็จะหายไปโดยทันทีพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยรอยยิ้มคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ในน้ำเสียงนั่นไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็เหมือนกับมีรสชาติแห่งการแก้แค้น

 

 

หวงฝู่ซวิ่นแค่ฟังก็เข้าใจ เขาต้องการโทษว่าตนไม่ได้ส่งคนมาดูแลน้องชายทั้งสองคนเป็นอย่างดี นึกถึงวิธีการจัดการคนที่มีเล่ห์กลแพรวพราวของพวกเขาทั้งสองคน หวงฝู่ซวิ่นก็ผวาจนรู้สึกหนาวสั่น จึงไม่เห็นเป็นเรื่องตลกขบขันแล้ว และเอ่ยปาก “เสด็จน้องพูดอะไรกัน ข้าสบายดี ไหนเลยจะต้องให้ถึงมือของน้องสะใภ้ จัดการเรื่องในวันนี้ก่อนดีกว่า”

 

 

เพียงถ้อยคำเดียว ก็ดึงความคิดของทุกคนกลับมา แล้วทำให้เสนาบดีกับหัวหน้าผู้ดูแลหวนนึกถึงหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่ทำให้ตัวเองต้องอับอายอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะถามขึ้น ก็มีพรรคพวกกลุ่มหนึ่งดำๆ มาแต่ไกล

 

 

จะบอกว่าเป็นพรรคพวกกลุ่มหนึ่งก็ไม่เชิง เพราะในบรรดาคนเหล่านี้ หวงฝู่ซวิ่นมองเพียงแวบแรกก็มองออกว่ามีท่านโหวอาวุโสหลายท่าน ด้านหลังตามมาด้วยพวกท่านโหวซึ่งเป็นลูกๆ และข้างกายของทุกคนก็มีบ่าวรับใช้ตามมาหลายคน มองออกไปไกล ก็น่าจะมากถึงหลายร้อยหลายสิบคน

 

 

ท่านโหวอาวุโสแต่ละคนได้รับข่าวที่ละเอียดกว่าที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้รับอย่างชัดเจน ตลอดเส้นทางที่เดินมาก็ร้องเรียกแต่ “หลานเอ๋ย เป็นเด็กดีนะ” ครั้นเดินมาถึงสนามขี่ม้าและเห็นคนที่นอนสเปะสปะอยู่บนพื้น ทุกคนก็นิ่งอึ้ง ดูไม่ออกว่าใครเป็นใครเลย ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น มีท่านโหวที่อายุค่อนข้างมากหรี่ตาที่เริ่มจะมืดมัวของเขาลง แล้วถามด้วยเสียงสั่นหงกๆ “หลานเอ๋ย คนไหนคือเจ้ากันนะ”

 

 

คนที่ล้อมดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ ก็อดกลั้นไม่อยู่ ส่งเสียงหัวเราะ พรวด ออกมา เสียงนี้ราวกับเป็นโรคติดต่ออย่างไรอย่างนั้น ทุกคนต่างก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่ เสียง พรวด ดังขึ้นรับกันเป็นระลอก

 

 

ท่านโหวที่อยู่ด้านหลังนับว่าสมองยังทำงานอยู่ พูดสั่งบ่าวข้างกาย “ไป หาตัวนายน้อยออกมา”

 

 

บ่าวรับใช้รับคำ เดินเข้าไปพินิจดูคนที่นอนอยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง

 

 

ท่านโหวที่เหลือได้สติกลับมา ก็รีบสั่งบ่าวรับใช้ในจวนของตัวเองไปตามหาด้วยเช่นกัน

 

 

ชั่วขณะเดียว สนามขี่ม้าก็เต็มไปด้วยเสียงร้องเรียก “นายน้อย” กับเสียงชนกันของพวกบ่าวรับใช้

 

 

เสนาบดีกับหัวหน้าผู้ดูแลเห็นสถานการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวายก็ยิ่งหน้าดำบึ้งตึง สถานที่แห่งนี้เป็นที่อบรบสั่งสอนผู้มีความสามารถของราชวงศ์ เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงเกินได้ และเป็นที่ที่แม้แต่ไท่จื่อมาก็ไม่กล้าล่วงละเมิดได้ นี่…สรุปก็คือเป็นที่ที่ไม่ควรจะวุ่นวายไร้ระเบียบได้ แต่ ณ ตอนนี้ เบื้องหน้าเป็นเหมือนกับตลาด เสียงตะโกนร้องเรียกดังกังวาลจนเขารู้สึกปวดแปลบไปทั้งหู ความโมโหที่มีต่อหวงฝู่อี้เซวียนแต่เดิมทั้งหมดล้วนเปลี่ยนไปที่คนเหล่านั้น หัวหน้าผู้ดูแลรวมรวบพลัง แล้วแผดเสียงตะโกนใส่ทุกคนที่อยู่ตรงหน้า “หุบปากเดี๋ยวนี้!”

 

 

เมื่อเสียงออกไป ทั้งสนามขี่ม้าก็เงียบสนิทโดยทันที พวกท่านโหวอาวุโสมองเขาด้วยความตกตะลึง ท่านโหวก็ขมวดคิ้วมองไปทางเขา และบ่าวรับใช้ที่กำลังตามหาคนในสนามขี่ม้าก็มองเขาด้วยความพรั่นพรึง

 

 

หัวหน้าผู้ดูแลตวัดมือขึ้น ชี้สั่งที่บ่าวรับใช้ทุกคน “พวกเจ้าออกไปให้หมด!”

 

 

บ่าวรับใช้ทุกคนไม่ขยับ พากันมองไปที่นายของตัวเอง

 

 

ความเดือดดาลของหัวหน้าผู้ดูแลก็ยิ่งพุ่งพล่าน พูดด้วยความโมโห “ทำไม คำพูดของข้าไม่มีความหมายหรือ ดี ข้าจะสั่งคนให้โยนพวกที่ทำลายกฏระเบียบแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าก็ไปหาที่นอกกั๋วจื่อเจี้ยนก็แล้วกัน”

 

 

จะให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หลานชายของบ้านตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว ถ้ายังถูกโยนออกไปอีก เช่นนั้นก็ยิ่งได้รับเจ็บมากขึ้นกว่าเดิมสิ พวกท่านโหวก็ตกใจ จึงรีบตำหนิบ่าวรับใช้ในจวนของตัวเอง “ยังไม่รีบกลับมาอีก!”

 

 

พวกบ่าวรับใช้ก็รีบถอยกลับมาโดยไม่ชักช้า

 

 

หัวหน้าผู้ดูแลเดินขึ้นมาข้างหน้าหลายก้าว แล้วพูดกับทุกคนที่อยู่ในสนามด้วยความโกรธและเกลียดชัง “พวกเจ้าแต่ละคนไม่ต้องทำเป็นแกล้งตายแล้ว รีบลุกขึ้น แล้วกลับไปหาคนในครอบครัวของตน หากยังพาลอยู่บนพื้น ก็ระวังว่าข้าจะรายงานต่อฝ่าบาทให้พวกเจ้าไม่มีวันที่ได้อยู่อย่างสบายอีกต่อไป”

 

 

พวกคนที่ทะเลาะวิวาทเหล่านี้ เดิมทีก็ตั้งใจจะมาเสเพลที่กั๋วจื่อเจี้ยนไปวันๆ เพราะอยากอยู่อย่างสบายๆ เช่นนี้ หากไม่มีแล้ว ก็จะต้องถูกฮ่องเต้เรียกตัว แล้วส่งไปปฏิบัติงานราชการนอกเมืองน่ะสิ ช่วงเวลาดีๆ ยังไม่ได้เสพสุข พวกเขาก็ไม่ยอมไปทำหรอก พอได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่มีใครเสแสร้งแกล้งตายอีก ปีนขึ้นมาจากพื้น แล้วเรียกบ่าวรับใช้ในจวนตัวเองให้มาพยุงขึ้น

 

 

เมื่อเห็นว่าในลานจะวุ่นวายขึ้นอีก หัวหน้าผู้ดูแลก็ตวาดใส่ทุกคนด้วยความโมโห “พวกเจ้าอย่าได้ขยับ!”

 

 

ขณะที่ทุกคนกำลังจะก้าวฝีเท้าออกไปก็ต้องเก็บกลับมา

 

 

หัวหน้าผู้ดูแลก็ชี้ไปที่ทุกคนในสนาม “พวกเจ้า ตั้งแต่ซ้ายไปขวา เรียกคนในจวนตัวเองให้พยุงพวกเจ้าขึ้นมาทีละคน”

 

 

ทุกคนก็ทำตาม ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็ล้วนหาคนของบ้านตัวเองเจอแล้วพยุงขึ้นมา ภายในสนามขี่ม้าก็เงียบลงมาก

 

 

ขณะที่หัวหน้าผู้ดูแลกำลังจะถอนหายใจ ท่านโหวอาวุโสคนหนึ่งก็ร้องไห้เสียงสั่นขึ้นมา “หลานเอ๋ย ไฉนเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้ ปู่เกือบจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว”

 

 

หัวหน้าผู้ดูแลได้ยินแล้ว ก็ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี

 

 

หวงฝู่ซวิ่นกลัวว่าเสียงหัวเราะตัวเองจะดังออกมา จึงก้มหน้าลง แต่ไหล่ที่สั่นไหวไม่หยุดกลับเผยให้เห็นว่าเขาเวลานี้กำลังทำอะไร

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกวาดสายตามองทุกคนอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ

 

 

เสียงระทมใจต่อหลานตัวเองของพวกท่านโหวอาวุโสดังมาไม่หยุด พวกท่านโหวเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของลูกชายตัวเองก็ทำหน้าบึ้ง แม้จะบอกว่าผู้ชายไม่ให้ความสำคัญกับใบหน้าเท่ากับผู้หญิง แต่ลักษณะที่จมูกเขียวหน้าแดงเช่นนี้ก็น่าผวาเกินไป ถ้าหากเกิดร่องรอยแผลเป็นอะไรขึ้น ต่อไปจะหาคู่แต่งงานที่ดีๆ ได้อย่างไร คิดถึงตรงนี้ โทสะก็ลุกโชน แล้วไต่ถามลูกของบ้านตัวเอง “ไอ้ระยำคนไหนลงมือรุนแรงเช่นนี้ต่อเจ้า บอกมา พ่อจะแก้แค้นแทนเจ้าเอง”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวมลายหายไป หรี่ตาลง มองไปทางคนที่พูดเช่นนี้

 

 

คนสิบกว่าคนที่โดนทำร้ายชี้ไปทางเมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงพร้อมกัน เวลานี้ทุกคนถึงได้เห็นว่าไท่จื่อก็อยู่ด้วย จึงสะดุ้งตกใจและรีบจะจูงลูกประคองผู้เฒ่าเข้ามาทำความเคารพ

 

 

เรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว หวงฝู่ซวิ่นก็ยิ่งตั้งตารอคอยกับสถานการณ์ต่อไป คิ้วและมุมปากยิ้มให้พร้อมผงกศีรษะน้อยๆ ให้แก่ทุกคน โดยเฉพาะท่านโหวอาวุโสเหล่านั้น หลังจากทำความเคารพเสร็จ ก็สั่งคนยกเก้าอี้มาให้พวกเขานั่ง

 

 

ท่านโหวอาวุโสล้วนเป็นคนที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้มาเป็นเวลานาน จึงมีคุณสมบัติที่จะนั่งต่อหน้าหวงฝู่ซวิ่นได้จริงๆ จึงไม่ได้เกรงใจ และนั่งลงบนเก้าอี้อย่างมีมารยาท พร้อมประสานมือต่อหวงฝู่ซวิ่น “ไท่จื่อ หลานของพวกข้าถูกพ่อแม่เขาโบยตียังแยกแยะหน้าตาออก แต่นี่… พระองค์ต้องทรงตัดสินให้พวกข้าอย่างยุติธรรมนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ท่านโหวอาวุโสวางใจเถิดขอรับ แต่ไหนแต่ไรไท่จื่อของเราทรงจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยความชอบธรรม ผิดถูกอะไรก็ทรงตรวจสอบโดยกระจ่างชัดอย่างแน่นอน ขอท่านโหวอาวุโสคอยก่อน อย่าได้รีบร้อนไปเลยขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม

 

 

ด้วยความที่เป็นผู้อาวุโสในยศถาบรรดาศักดิ์ของตัวเอง พวกท่านโหวอาวุโสจึงคิดว่าหวงฝู่ซวิ่นต้องพูดเข้าข้างให้แก่หลานของบ้านตัวเองเป็นแน่ จึงลูบเครา บนใบหน้าก็พากันเผยรอยยิ้มที่ครึ้มอกครึ้มใจ มองไปทางเมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงอย่างดูแคลน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา แล้วเปิดโปงความคิดของพวกเขา “ท่านโหวอาวุโสทุกท่านไม่ต้องมองแล้วเจ้าค่ะ พวกเขาเป็นน้องชายที่ไม่เอาไหนของข้านั่นแหละเจ้าค่ะ”

 

 

ในใจพวกท่านโหวอาวุโสก็ตื่นตะลึง คนที่ส่งสารบอกแต่เพียงว่าหลานชายของบ้านตัวเองถูกทำร้ายจากไอ้บ้านนอกชั้นต่ำที่ไม่รู้ใช้เส้นสายจากที่ไหนอะไรถึงเข้ามาในกั๋วจื่อเจี้ยนได้ ไม่ได้บอกว่าคนชั้นต่ำสองคนนี้คือน้องชายของซื่อจื่อเฟย ทว่า ตกใจก็ส่วนตกใจ พวกเขาก็ยังคงไม่ได้มองเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในสายตา แม้แต่ฮ่องเต้เห็นพวกเขายังต้องประนีประนอมให้ ซื่อจื่อเฟยอย่างนางจะสามารถทำอะไรพวกเขาได้ คิดถึงตรงนี้แล้ว ก็ออกปากถากถางด้วยใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม “องค์หญิงชิงเหอได้รับการอบรมสั่งสอนจากที่บ้านมาดีจริงๆ ขนาดอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยนยังบังอาจสามหาวถึงเพียงนี้ได้”

 

 

การประชดประชันที่ชัดเจนเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยจะฟังไม่ออกได้เยี่ยงไรเล่า แต่ก็ไม่นึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย กลับยิ้มและพูดโต้กลับไป “ถ้าบอกว่าน้องชายสองคนนี้ของข้าได้รับการอบรมสั่งสอนจากที่บ้านไม่ดี ก็คงไม่โดนคนมารุมรังแกหรอกเจ้าค่ะ วิธีการอบรมสั่งสอนในจวนของท่านโหวอาวุโสนั้น วันนี้ข้าก็ได้เรียนรู้แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”

 

 

นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แม้ว่าสายตาของท่านโหวอาวุโสจะไม่ดีแต่ก็มองเห็นได้ จึงไร้หนทางโต้แย้ง บนใบหน้าก็ซีดขาวขึ้นมา

 

 

หวงฝู่ซวิ่นกลั้นขำอยู่ในใจ พูดสั่งด้วยเสียงที่ไม่มั่นคง “ซื่อจื่อเฟยกำลังมีครรภ์ ไม่อาจเหน็ดเหนื่อยเกินไปได้ รีบไปยกเก้าอี้มาให้นางกับซื่อจื่อเร็วเข้า”

 

 

แต่ตอนที่ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวที่ลอยอยู่ในหูนั่นกลับคือ พูดอีก เอาอีก เรื่องยิ่งใหญ่ยิ่งดี

 

 

ขันทียกเก้าอี้มา ทั้งสองคนขอบคุณ แล้วนั่งลงโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

 

 

พวกท่านโหวอาวุโสพ่นลมออกมา มองตาขวางใส่พวกเขา และพูดอย่างดูแคลน “ผู้หญิงไม่สามารถเข้ามาในกั๋วจื่อเจี้ยนได้ นี่คือกฏระเบียบ ได้ยินว่าองค์หญิงชิงเหอเป็นคนทำร้ายขันทีที่เฝ้าประตูจนบาดเจ็บ ถึงเข้ามาได้ อะไรๆ ก็ไม่สนใจอยู่ในสายตาเลยจริงๆ ”

 

 

กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นสถานที่ที่เปิดโดยราชวงศ์ การที่ดูถูกสถานที่แห่งนี้ก็เท่ากับเป็นการดูถูกราชวงศ์ด้วย พูดให้ชัดกว่านี้ก็คือ เป็นการดูถูกฮ่องเต้นั่นเอง เมื่อได้รับการกล่าวหาเช่นนี้ โทษของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้ายแรงเสียแล้ว นอกจากหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิง คนที่เหลือล้วนเบิกตาโต รอดูเรื่องน่าขำขันของนาง ซึ่งรวมถึงหวงฝู่ซวิ่นด้วย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบุ้ยปาก แล้วเผยรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกจนทำให้ท่านโหวอาวุโสที่เอ่ยปากต้องไหล่หดเกร็งอย่างอดไม่ได้ พูดขึ้น “หากข้าไม่บุกเข้ามา น้องชายทั้งสองคนของข้าก็จะต้องถูกทำร้ายจนตายแล้ว นี่ก็พอจะให้อภัยกันได้นะเจ้าคะ ที่บอกว่าอะไรก็ไม่สนอยู่ในสายตานั้น ท่านโหวอาวุโสพูดเกินจริงแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

 

 

ท่านโหวอาวุโสถูกพูดย้อน ก็โกรธจนคอบวมหน้าแดง

 

 

อย่างน้อยก็เป็นคนที่ช่วยตระกูลหวงฝู่ครองแผ่นดินมาก่อน ถ้าหากวันนี้โมโหจนตายต่อหน้าตัวเอง ก็ยากที่จะรับมือต่อไปได้แล้ว หวงฝู่ซวิ่นจึงกระแอมเบาๆ ถามหัวหน้าผู้ดูแลเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดของทั้งสองฝั่ง “เรื่องวันนี้ ตกลงแล้วเป็นอย่างไร หัวหน้าผู้ดูแลทราบหรือไม่”

 

 

แน่นอนว่าหัวหน้าผู้ดูแลไม่ทราบ กว่าเขาจะได้ข่าวและมาถึงสนามขี่ม้า ทุกคนก็ได้มีสภาพเช่นนี้แล้ว สีหน้าจึงแดงขึ้น ได้แต่ตอบอย่างกระอึกกระอักไม่เป็นคำ

 

 

เห็นท่าทีที่ไม่รู้ของเขา หวงฝู่ซวิ่นก็หันไปหาเสนาบดี

 

 

เสนาบดีก็ก้มหน้าด้วยความละอาย

 

 

ในใจหวงฝู่ซวิ่นเดือดเป็นไฟเสียแล้ว อยากจะถอดรองเท้าโยนใส่ทั้งคู่จริงๆ อยู่กับเรื่องวุ่นวายมาครึ่งค่อนวัน ในฐานะที่เป็นผู้คุมอำนาจสูงสุดในกั๋วจื่อเจี้ยน ทั้งคู่กลับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

ราวกับรู้สึกได้ถึงความพิโรธของเขา ร่างกายของเสนาบดีและหัวหน้าผู้ดูแลก็สั่นเทาเล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน กั๋วจื่อเจี้ยนไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาหลายสิบปี เวลานั้นพวกเขาเอาแต่โมโหจนลืมตรวจสอบสาเหตุของเรื่องราวเสียสนิท

 

 

สายตาหวงฝู่ซวิ่นหันไปทางกลุ่มคนที่สภาพดูไม่ออกว่าเป็นใคร กดน้ำเสียงขรึมต่ำ “พวกเจ้า ใครก็ได้มาบอกข้าทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

ทุกคนก้มหน้าลงด้วยความละอาย

 

 

แล้วสายตาหวงฝู่ซวิ่นหันไปทางเมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิง

 

 

ทั้งสองคนปะทะเข้ากับสายตาของเขาอย่างไม่กลัว แล้วมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งทั้งสองคนด้วยเสียงที่นุ่มนวล “พูดเถิด พูดตามความจริงก็พอ”

 

 

เมิ่งเจี๋ยบอกเรื่องราวที่ผ่านมาตามเดิมทั้งหมด

 

 

ที่แท้พวกคนเหล่านี้ก็คือพวกคนที่มีเรื่องวิวาทกับพวกเขาเมื่อคราวก่อน ครั้งที่แล้วพวกเขาไม่ได้เปรียบ จึงมีความเกลียดชังฝังใจอยู่ตลอด คิดอยากจะหาโอกาสแก้แค้น

 

 

เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงทั้งคู่ก็คิดเช่นนี้ และเตรียมหาโอกาสที่จะแก้แค้นให้สาสมเหมือนกัน

 

 

บังเอิญประจวบเหมาะที่วันนี้มีการสอบในวิชาขี่ม้ายิงธนู เมิ่งชิงและเมิ่งเจี๋ยได้ที่หนึ่งและที่สองของวิชานี้ตามลำดับ ทำให้อาจารย์ที่สอนขี่ม้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพอใจ แล้วออกปากชมทั้งสองคนต่อหน้าทุกคน บอกว่าทั้งสองคนมีพรสวรรค์ และจะมีอนาคตที่ก้าวไกล

 

 

พวกคนเหล่านี้ตั้งแต่เล็กก็เติบโตอยู่ท่ามกลางทรัพย์สินและยศถาบรรดาศักดิ์ จึงมีความรู้สึกเหนือกว่าโดยตลอด ตอนนี้กลับถูกเด็กบ้านนอกทั้งสองคนกดอยู่บนหัว ในใจก็อึดอัดอย่างยิ่ง ความโกรธแค้นแต่เดิมบวกกับความเกลียดชังที่เพิ่มขึ้น จึงถือโอกาสตอนที่เลิกเรียนครั้งนี้ คนสิบกว่าคนก็โถมเข้ามา อยากจะต่อยพวกเขาสองคนให้ลุกขึ้นมาไม่ได้ แต่นึกไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตร คนที่ลุกไม่ไหวดันเป็นพวกเขาเหล่านี้เสียเอง แม้ว่าเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็มีสภาพที่ดีกว่าพวกเขามาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบ ก็หัวเราะขึ้นมา หัวเราะอย่างสง่างาม หัวเราะจนทำให้ในใจของผู้คนต้องสั่นไหว “ท่านโหวอาวุโส คำพูดของน้องชายข้า ท่านฟังชัดเจนแล้วหรือไม่เจ้าคะ”