ตอนที่ 298 โด่งดังภายในศึกเดียว

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ท่านโหวอาวุโสย่อมได้ยินชัดเจนแล้ว และยังได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอีกด้วย แต่แล้วอย่างไรล่ะ แม้ว่าหลานชายตัวเองจะผิด พวกเขาก็ไม่ยอมรับหรอก จะมาให้หลานที่สูงส่งของพวกเขาขอโทษต่อเด็กบ้านนอกสองคน ช่างเป็นเรื่องน่าขันเสียจริง นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมีสถานะเป็นซื่อจื่อเฟยก็กดดันพวกเขาไม่ได้!

 

 

ในใจมีความคิดเช่นนี้ ก็ลูบเครา แล้วพูดอย่างเด็ดขาดโดยเบ่งอำนาจความผู้เป็นอาวุโส “เรื่องวันนี้ แม้ว่าจะเป็นบทเรียนระหว่างพวกเขา แต่น้องชายทั้งคู่ขององค์หญิงชิงเหอก็ไม่ลงมือโดยที่ไม่รู้หนักเบาไปหน่อยหรือ นึกไม่ถึงว่าจะทำให้หลานของพวกข้าบาดเจ็บจนสาหัสสากรรจ์ ควรต้องสั่งสอนให้ดีเสียบ้าง”

 

 

ประโยคเดียวบิดเบือนไปได้ถึงสองเรื่อง เรื่องแรกคือ ความขัดแย้งพวกเขามองให้กลายเป็นเพียงบทเรียน เพื่อให้หลานของตนเองพ้นข้อกล่าวโทษ อีกเรื่องหนึ่งคือโทษทั้งหมดล้วนผลักเข้าตัวเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง อีกทั้งยังแอบพูดเหน็บแนมว่าทั้งสองคนไม่รู้จักกาลเทศะด้วย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโกรธจนยิ้มออกมาอีกครั้ง เคยเห็นคนหน้าไม่อายมาก่อนแล้ว ทว่า ไม่เคยเห็นคนที่หน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน ท่านโหวอาวุโสที่สง่ามีเกียรติกลับพูดจาไร้สาระได้อย่างเต็มปากเต็มคำท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายที่จับจ้อง ก็เพื่อแก้ต่างแทนหลานชายของตัวเอง

 

 

เมื่อเห็นนางยิ้ม ท่านโหวอาวุโสก็นึกว่านางเห็นด้วยกับถ้อยคำของเขา รอยย่นและตีนกาทั้งใบหน้าเบียดเข้าหากันยับ พูดโดยคิดตัวเองยิ่งใหญ่มาก “ดูท่าว่าองค์หญิงชิงเหอจะเห็นด้วยกับคำพูดของข้า เช่นนั้นพวกเราก็จะไว้หน้าแก่องค์หญิงชิงเหอสักหน่อย เรื่องวันนี้จะไม่ไปรายงานต่อฝ่าบาทแล้วกัน แล้วพวกเรามาปรึกษาเรื่องการชดใช้ต่อพระพักตร์ไท่จื่อเถิด”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยีฟันที่ขาวสะอาด และพูดแต่ละคำแต่ละประโยคอย่างช้าๆ “ท่านโหวอาวุโสเจ้าคะ ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อนหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ท่านโหวอาวุโสอึ้งไปครู่หนึ่ง เอ่ยปากถามอย่างลืมตัว “ประโยคอะไรหรือ”

 

 

“กระดาษแผ่นหนึ่งวาดได้เพียงแค่จมูกเดียว เช่นนั้นหน้าของท่านต้องใหญ่มากๆ เลยนะเจ้าคะ”

 

 

ท่านโหวอาวุโสนิ่งอึ้ง พวกท่านโหวก็นิ่งอึ้ง ทุกคนที่ล้อมดูอยู่นิ่งอึ้งไปเกือบทั้งหมด

 

 

หวงฝู่ซวิ่นผู้เป็นไท่จื่อกลับเอามือกุมหน้าท้องตัวเอง อยากจะหัวเราะกลับไม่สามารถหัวเราะได้ ต้องอดกลั้นไว้จนปวดท้อง

 

 

เสนาบดีและหัวหน้าผู้ดูแลคืนสติกลับมา ตัวแข็งทื่อมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ นางช่างบังอาจกล้าเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะพูดออกมาว่าท่านโหวอาวุโสหน้าไม่อาย

 

 

น่าจะเพราะอายุมากแล้ว จึงไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับ หลังจากอึ้งไปนาน ท่านโหวอาวุโสก็ถามด้วยเสียงสั่น “องค์หญิงชิงเหอ คำพูดของเจ้าหมายความเช่นไร”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกว่าตัวเองอดทนไปมากกว่านี้ต้องทำให้อวัยวะภายกระทบกระเทือนแน่ๆ จึงฝืนกระแอมหลายครั้ง แล้วยิ้มเพื่อจะคลายบรรยากาศ เพื่อให้คำพูดนี้ผ่านๆ ไป “นั่นน่ะ…นี่ก็…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่ยิ้มไม่พูด

 

 

บุตรของท่านโหวที่ถูกต่อยนั้นมีไหวพริบ จึงเข้าใจโดยพลัน และร้องเสียงแหลมท่ามกลางอากาศ “ท่านปู่ นางบอกว่าท่านหน้าไม่อายขอรับ”

 

 

เงียบ

 

 

เงียบสนิท

 

 

เงียบสนิทราวกับป่าช้า

 

 

เงียบจนแม้แต่เข็มหล่นลงพื้นก็ล้วนได้ยินกันทั่ว

 

 

เงียบจนในใจของทุกคนหดเกร็ง เงียบจนในใจทุกคนเริ่มสั่น เงียบจนทำให้ทุกคนขนหัวลุก

 

 

ท่ามกลางความเงียบสงัด ท่านโหวอาวุโสก็ได้ร้อง อ้ะ ออกมา แล้วดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตาไม่มัว มือไม่สั่นอีกแล้ว ชี้ไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมถาม “เจ้า…เจ้ากล้าพูดว่าข้าหน้าไม่อายอย่างนั้นหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้ายิ้ม และปฏิเสธ “ข้าไม่ได้พูดเสียหน่อยเจ้าค่ะ หลานของท่านเป็นคนพูดต่างหากนะเจ้าคะ”

 

 

ท่านโหวอาวุโสโมโหจนหนวดและขนคิ้วสั่นรัว พูดจาอย่างสิ้นสติไปแล้ว “นังหญิงบ้านนอกไม่รู้ความ นึกไม่ถึง…”

 

 

“ท่านโหวอาวุโสขอรับ” เสียงเย็นเฉียบของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “โปรดระวังคำพูดคำจาของท่าน โยวเอ๋อร์เป็นซื่อจื่อเฟยของข้า ท่านโหวอาวุโสพูดเช่นนี้หมายความอย่างไรขอรับ”

 

 

การถูกพูดว่าหน้าไม่อายต่อหน้าทุกคนเป็นครั้งแรกนับแต่เกิดมา ท่านโหวอาวุโสได้ไร้เหตุผลแล้ว พูดด้วยความฉุนเฉียว “หมายความว่าอย่างไรหรือ! ก็หมายความอย่างที่เจ้าได้ยินอย่างไรล่ะ อย่าคิดว่านางไต่เต้าเข้าจวนอ๋องฉี แล้วกลายเป็นซื่อจื่อเฟยของเจ้าได้ ก็จะเปลี่ยนแปลงนางที่มีสถานะเป็นนังหญิงบ้านนอกไร้มารยาท ไม่รู้จักกาลเทศะได้ ข้า…”

 

 

เสียง โครมมม ดังขึ้น ทุกคนสะดุ้งตกใจ เงยหน้ามองไป ก็เห็นเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังท่านโหวอาวุโสกลายเป็นเศษไม้ที่แหลกละเอียดกองอยู่บนพื้น

 

 

ทุกคนต่างพรั่นพรึง ท่านโหวอาวุโสก็รู้สึกไม่กล้าเชื่อ หวงฝู่ซวิ่นกลับร้องออกมาว่า “แย่แล้ว” อย่างเบาๆ

 

 

มวลกายของหวงฝู่อี้เซวียนดูน่าสะพรึงกลัว สีหน้าถมึงทึง ถ้อยคำที่เยือกเย็นและกระจ่างชัดดังเข้าไปถึงหูของทุกคน “หากใครบังอาจว่าซื่อจื่อเฟยของข้าอีกเพียงครึ่งคำ ก็จะเจอจุดจบเช่นนี้”

 

 

ท่านโหวอาวุโสอ้าปากกว้าง ยังไม่ทันปิดลง ก็เบิกตาที่พร่ามัวมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความอึ้ง ไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงมองพวกเขาด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กๆ

 

 

และรอยยิ้มนี้ ในสายตาของท่านโหวอาวุโสก็คือกำลังยั่วยุ เมื่อได้สติกลับมา ก็เดือดพล่านจนทั้งกายไหวสั่นและริมฝีปากสั่นระรัว “ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”

 

 

ท่านโหวอาวุโสเป็นเช่นนี้ พวกท่านโหวก็ไม่สนอะไรแล้ว ก้าวเท้ายาวๆ ตรงมาถึงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน แล้วถามอย่างความเกรี้ยวกราด “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นซื่อจื่อแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ หากวันนี้เจ้าไม่คุกเข่าขอขมา ก็อย่าหวังว่าจะได้เดินออกจากประตูใหญ่ของกั๋วจื่อเจี้ยนแห่งนี้เลย”

 

 

ครั้นเสนาบดีกับหัวหน้าผู้ดูแลได้ยิน ก็ตื่นตระหนกอย่างมาก การที่เรื่องในวันนี้ลามมาถึงขั้นนี้เป็นเรื่องที่เหนือขอบเขตที่พวกเขาจะสามารถควบคุมอย่างสิ้นเชิง ดูจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็คือจะต้องเกิดเรื่องลงไม้ลงมือต่อกันภายในกั๋วจื่อเจี้ยนแน่นอน

 

 

หวงฝู่ซวิ่นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายๆ ไม่มีลักษณะที่เป็นกังวลแทนหวงฝู่อี้เซวียนแม้แต่น้อย เจ้าคนนี้ อวดเบ่งต่อหน้าเขานานเกินไปแล้ว เสียเปรียบบ้างก็ดี

 

 

มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนเผยอขึ้นเบาๆ เผยเห็นรอยยิ้มที่ดูแคลน แล้วพูดเย้าแหย่ขึ้นทันที “ท่านโหวหลิว พวกเจ้าจะเลือกเข้ามาคนเดียวหรือจะบุกมาพร้อมกันล่ะ ข้าล้วนน้อมรับใช้”

 

 

คำพูดเสียดแทงเข้าแล้ว

 

 

ท่านโหวหลิวถูกตีจนตายก็ไม่คาดคิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะถามเขาเช่นนี้ได้ พลันโกรธจนหน้าเขียวหน้าดำ แล้วพูดด้วยความเดือดดาล “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าอย่าได้สามหาวให้มากนัก ไม่ว่า…”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนแทรกคำพูดเขาอย่างสบายๆ “จะเข้ามาหรือไม่เข้ามา”

 

 

ท่านโหวหลิวโมโหจนควันออกเหนือศีรษะ ตอบโดยไม่แม้แต่จะคิด “ได้!”

 

 

“คนเดียวหรือหมาหมู่ล่ะ”

 

 

“ยังต้องหมาหมู่อีกหรอ ข้าคนเดียวก็ได้…”

 

 

โพล่ง คำพูดดูถูกของท่านโหวหลิวยังไม่ทันจบ ตัวคนก็ลอยออกไปแล้ว

 

 

หวงฝู่ซวิ่นไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะทำอะไรต่อไป จึงปิดตาอย่างอดไม่ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ หลังจากได้ยินเสียงที่ดังขึ้นแล้ว ถึงจะเปิดตาขึ้นเบาๆ หันมองรอบทิศอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะมองเห็นท่านโหวหลิวล้มตัวโก่งอยู่บนพื้นราวกับท่าทางของหมาขี้แพ้

 

 

เสียงร้องโหยหวนของท่านโหวอาวุโสแซ่หลิวดังสะท้านจนแก้วหูของหวงฝู่ซวิ่นแทบแตก

 

 

“ลูกชายข้า!” ตะโกนเสร็จ บ่าวในจวนก็ช่วยประคอง ‘วิ่ง’ ตัวสั่นเข้าไปหา

 

 

ท่านโหวหลิวปีนขึ้นจากพื้น เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ปลายจมูกมีเลือดไหลออกมาทั้งสองข้าง

 

 

ท่านโหวอาวุโสแซ่หลิวปวดใจจนเอนกายลง อยากจะออกแรงพยุงเขาขึ้นมาด้วยตัวเอง

 

 

เดิมทีท่านโหวอาวุโสก็อายุมากแล้ว พละกำลังไม่เหมือนเมื่อก่อน ท่านโหวหลิวจึงล้มลงไปอย่างดูไม่ได้อีกรอบหนึ่ง เพราะร่างกายค่อนข้างหนัก การพยุงของท่านโหวอาวุโสจึงไม่เพียงแต่ไม่ได้พยุงลูกตัวเองขึ้นมา หนำซ้ำยังตัวเองยังถูกลูกดึงล้มลงพื้นด้วยกันอีก

 

 

ท่ามกลางเสียงตกใจของทุกคน ใบหน้าของท่านโหวอาวุโสก็สัมผัสแนบชิดไปกับพื้นแล้ว

 

 

บ่าวรับใช้ในจวนท่านโหวคิดไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงตื่นตระหนกอย่างมาก หลายมือหลายเท้ารีบเข้ามาพยุงนายทั้งสองของบ้านตัวเองขึ้นมากันอย่างชุลมุน เยี่ยมไปเลย ทั้งคู่สมกับเป็นพ่อลูกกันจริงๆ แม้แต่ตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บก็เป็นที่เดียวกัน แม้แต่ปลายจมูกก็ยังมีเลือดไหลยืดออกมาจากทั้งสองข้างเหมือนกัน

 

 

พวกบ่าวรับใช้ต่างวุ่นทำหน้าที่ของตัวเอง มีคนเช็ดใบหน้า ซับจมูก ปัดเสื้อผ้า เมื่อจัดแจงแต่งกายให้ทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว พ่อลูกทั้งคู่ที่ล้มจนสับสนมึนงงนั้นถึงจะได้สติคืนมา มองกันและกันครู่หนึ่ง ใบหน้าท่านโหวอาวุโสนี้ก็ควบคุมไม่อยู่แล้ว เดินกลับมาถึงหน้าหวงฝู่ซวิ่นอย่างโซซัดโซเซด้วยการช่วยประคองของทุกคน “ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ต้องทรงตัดสินให้กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมติดตามราชวงศ์มาสองรัชสมัย คุณูปการที่แลกด้วยหยาดเหงื่อแรงกายล้วนเพื่อให้ตระกูลหวงฝู่ได้เป็นใหญ่ในใต้หล้า บัดนี้ กลับถูกเด็กรุ่นหลังเพียงคนเดียวเช่นนี้มารังแกแบบนี้ ข้าไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้แล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อยู่ต่อไม่ได้ก็ไปตายเถิด หวงฝู่ซวิ่นอยากจะตอบกลับไปเช่นนี้จริงๆ แต่เขาไม่กล้า อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่เสด็จพ่อเอง ก็ต้องไว้หน้าพวกตาเฒ่านี้บ้าง เป็นเช่นนี้ถึงทำให้ตาเฒ่าพวกนี้ป่วยเป็นโรคทะนงตัว ดูแคลนผู้อื่นไม่เลือกหน้า วันนี้ให้หวงฝู่อี้เซวียนลงมือสั่งสอนเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ให้เขาเอาแต่เบ่งอำนาจบาตรใหญ่ที่สั่งสมมาตั้งแต่ยังวัยละอ่อนมากดหัวเขากับเสด็จพ่อ ต้องรู้เสียว่า แม้ว่าพวกเขาจะช่วยครอบครัวหวงฝู่ได้ขึ้นครองแผ่นดินและนั่งบนเก้าอี้ได้อย่างมั่นคง ครอบครัวหวงฝู่ก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน อนุญาตให้ตั้งแซ่ของท่านโหวให้เป็นแซ่อื่น ให้ความมั่นคั่งอย่างล้นเหลือพร้อมเกียรติยศอันสูงส่งหลายต่อหลายรุ่น

 

 

ในใจคิดเช่นนี้ ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงอะไรออกมา ปั้นหน้ายิ้ม ลุกขึ้น ยกเก้าอี้ของตัวเองไปไว้ด้านหลังของท่านโหวอาวุโสด้วยตัวเองเพื่อให้เขานั่งอย่างสงบ ถึงจะพูดว่า “ท่านโหวอาวุโส เหตุการณ์เมื่อครู่ข้าล้วนดูตั้งแต่ต้นจนจบ และเห็นว่าเป็นท่านโหวที่พูดจายุแยงขึ้นก่อน ซื่อจื่อถึงต้องลงมืออย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าเรื่องนี้จะรายงานต่อพระพักตร์เสด็จพ่อ พระองค์ก็ต้องมีเหตุมีผลเช่นกัน”

 

 

นี่เป็นการปกป้องอย่างชัดเจน ท่านโหวอาวุโสแม้ว่าจะชราแล้ว แต่ก็ไม่ได้โง่ ฟังความหมายคำพูดเขาออกโดยทันที ความหมายนั่นก็คือให้พวกเขายุติเรื่องอย่างสงบ แต่ในวันนี้ครอบครัวโหวของตัวเองทั้งคนแก่ หนุ่ม และเด็ก ล้วนมีหน้าตาเหมือนหัวหมู ถ้าหากจะจบเพียงเท่านี้ ต่อไปพวกเขาจะยืนอยู่ในเมืองหลวงอย่างมั่นคงได้อย่างไร แล้วจะมีหน้าไปปรากฏต่อทุกคนในเมืองหลวงได้อย่างไร

 

 

ความคิดนี้เข้ามา น้ำตาพลันไหลรินออกมา ร่างกายก็ลื่นไถลลงจากเก้าอี้ คุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่ซวิ่น แล้วย้อนพูดกลับไปต้นเรื่อง พลางเช็ดน้ำหู น้ำตาไปด้วย “ไท่จื่อ พระองค์ต้องช่วยพวกข้าเหล่านี้ตัดสินนะพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าข้าจะเป็นคนหาเรื่องเอง แต่หลานและบุตรที่น่าสงสารของข้านั่นเล่า คนแล้วคนเล่าถูกทำร้ายจนแม้แต่ข้าก็ไม่รู้จักมักคุ้นแล้ว นี่เป็นบทเรียนที่ไหนกัน ชัดเจนว่านี่คืออยากจะเอาชีวิตของพวกเขากันเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

คำพูดนี้ของเขาออกไปก็เป็นการเตือนท่านโหวที่เหลือทุกคน จึงพากันพูดคล้อยตามเสียงดัง ให้หวงฝู่ซวิ่นช่วยตัดสินให้แก่หลานชายของพวกเขา

 

 

ปกติแล้ว พวกท่านโหวอาวุโสเหล่านี้ก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ยิ่งเป็นโกรธเป็นแค้นไปด้วย เมื่อเห็นว่าหวงฝู่ซวิ่นไม่ตัดสินเด็ดขาด จึงพร้อมกันคุกเข่าลงบนพื้นอ้อนวอนให้เขาตัดสินให้แก่พวกเขา

 

 

หวงฝู่ซวิ่นลำบากเสียแล้ว และมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนอย่างโกรธเคือง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่งรอยยิ้มยั่วโมโหกลับไป แล้วส่งสายตาเป็นสัญญาณ “สมน้ำหน้า ใครให้เจ้าอยากรอดูข้ากลายเป็นตัวตลกเมื่อครู่ล่ะ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นถูกยั่วโมโหจนเดือดดาล แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้ แล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้ม ถามทุกคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ท่านโหวอาวุโสทุกท่าน พวกท่านอยากจะให้จัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดีล่ะ”

 

 

ในบรรดานี้คนเหล่านี้ ผู้ที่อายุมากที่สุดคือท่านโหวอาวุโสแซ่หลิวจึงย่อมเป็นเขาที่เอ่ยปาก เขารับผ้าเช็ดหน้าจากบ่าวรับใช้มาไว้ในมือ แล้วเช็ดน้ำตาน้ำมูกจนหมด ถึงจะเอ่ยด้วยเสียงที่ติดๆ ขัดๆ “หากอยากให้พวกข้าไม่ไต่สวนเรื่องในวันนี้อีก พวกข้ามีเงื่อนไขสามข้อพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ขอท่านพูดมาเถิด” หวงฝู่ซวิ่นพูด

 

 

มองหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่มีท่าทีนิ่งเฉย เจ้าพระอาวุโสแซ่หลิวก็ชี้ไปที่เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงที่จมูกเขียวหน้าแดงเหมือนกันและพูดว่า “ข้อแรก กั๋วจื่อเจี้ยนต้องขับไล่เจ้าสองคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนี้ออกไป”

 

 

สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวขรึมลง

 

 

รอยยิ้มบนหน้าของหวงฝู่ซวิ่นก็เกือบจะคงไว้ไม่อยู่

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับมีท่าทางที่นิ่งสนิท ยื่นมือออกไปกุมมือของเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ ส่งสัญญาบอกนางว่าอย่าได้ใส่ใจคำพูดของท่านโหวอาวุโสนั่น

 

 

เห็นท่าทางของเขา ท่านโหวอาวุโสก็โกรธจนเป่าหนวดพ่นเครา แล้วพูดเงื่อนไขข้อที่สอง “ข้อสอง ให้ซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยขอโทษพวกข้าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นอยากจะพ่นน้ำลายใส่บนหน้าชราของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวพูดไว้ไม่ผิด เขาช่างหน้า ‘ใหญ่’ จริงๆ ในแผ่นดินนี้เป็นของตระกูลหวงฝู่ หวงฝู่อี้เซวียนของเป็นคนของตระกูลหวงฝู่ คำโบราณที่กล่าวไว้อย่างดีว่า หากไม่ไว้หน้าพระ ก็ให้ไว้หน้าพระพุทธรูป ตามตรรกะนี้แล้ว เขาก็ไม่ควรตบหน้าราชวงศ์อย่างได้คืบจะเอาศอกถึงเพียงนี้

 

 

พอได้ยินถึงตรงนี้ สีหน้าของหวงฝู่ซวิ่นก็เริ่มไม่ดีแล้ว แม้จะถามด้วยรอยยิ้มอยู่ แต่ภายในน้ำเสียงปนด้วยความโกรธอย่างมาก “แล้วข้อที่สามล่ะ”

 

 

ไม่รู้ว่าฟังน้ำเสียงที่โกรธเคืองของเขาไม่ออก หรือว่าจงใจเพิกเฉยไป ท่านโหวอาวุโสก็ไม่ได้ไตร่ตรอง แล้วพูดต่อ “เงื่อนไขของที่สามก็คือ ค่ารักษาของพวกเรานี้ ต้องให้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนมากน้อยเท่าไรนั้น ประเดี๋ยวพวกเราแต่ละคนขอปรึกษากันก่อนครู่หนึ่ง แล้วค่อยบอกตัวเลขที่ชัดเจนอีกทีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ไม่ต้องปรึกษากันแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวคืนท่าทางดังเดิมและพูดด้วยรอยยิ้มที่เบิกบานจากด้านหนึ่ง

 

 

ทุกคนมองไปที่นางด้วยความแปลกประหลาดใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง สายตาผ่านใบหน้าของทุกคน เก็บสีหน้าของพวกเขาทั้งหมดไว้กับตา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ยิ้มพูดกับทุกคนอย่างแจ่มใส “ให้ทุกท่านคนละหนึ่งแสนตำลึงดีไหมเจ้าคะ”