บทที่ 833 ร่วมเตียงเคียงหมอน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 833 ร่วมเตียงเคียงหมอน

แม่ทัพฉีถามว่า: “เจ้าไอเพราะเหตุใด? ล้มป่วยหรือ?

อวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้น: “ข้าสบายดี”

“เจ้าสบายดียังไออยู่ตลอด?”

“ท่านแม่ทัพอย่าได้สนใจเลย”

อวิ๋นจิ่นไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ตั้งใจพันแผลให้กับแม่ทัพฉี แม่ทัพฉีพันแผลเรียบร้อยแล้วก็ลุกยืนขึ้นมา

“คนพวกนั้นดูไม่เหมือนคนทั่วไปต้องออกไปดูสักหน่อย” แม่ทัพฉีเตรียมจะออกไปอวิ๋นจิ่นก็รีบตามออกไปด้วย

“ท่านแม่ทัพ ดึกดื่นเช่นนี้แล้วอวิ๋นจิ่นจะไปกับท่าน” อวิ๋นจิ่นเพียงแค่เป็นห่วงแม่ทัพฉี

แม่ทัพฉีเหลือบมองเข้าไปด้านใน: “เจ้าไปสวมเสื้อคลุมตัวหนึ่งออกมาข้าจะรอเจ้าอยู่ด้านนอก!”

อวิ๋นจิ่นรีบหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งออกมาคลุมให้แม่ทัพฉี แม่ทัพฉีก้มลงมองไปบนไหล่แล้วมองยังอวิ๋นจิ่น: “ให้เจ้าสวม เจ้าไปสวมซะ”

อวิ๋นจิ่นรีบกลับมาแล้วนำเสื้อคลุมมาสวม

แม่ทัพฉียกมือขึ้นจัดเสื้อผ้าให้อวิ๋นจิ่นแล้วหยิบสายรัดเสื้อมารัดให้นาง

อวิ๋นจิ่นค่อยๆก้มศีรษะลงจากนั้นแม่ทัพฉีจึงได้หันหลังเดินออกไป

ประตูปิดลงโดยมีอวิ๋นจิ่นถือตะเกียงอยู่ แม่ทัพฉีเดินอยู่ข้างๆของนางโดยที่ทั้งสองคนเดินอย่างแน่วแน่แต่กลับพร้อมเพรียงสามัคคีกัน

ทั้งสองคนเดินไปรอบๆเรือนรอบหนึ่ง ซูอู๋ซินและเฟิ่งไป่ซูมองจากในห้องแล้วเฟิ่งไป่ซูก็กล่าวว่า: “มิน่าหล่ะเห็นดาวหงหลวนท่ามกลางหว่างคิ้วของพี่ใหญ่อันเคลื่อนไหว คิดไม่ถึงว่าเป็นแม่นางอวิ๋นจิ่น

“นี่ยังต้องดูอีกหรือ ตั้งแต่ซูซูมาอวิ๋นจิ่นใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกีบตัว เด็กสาวผู้นี้ปกติแล้วเก่งกาจยิ่งนักแต่ตอนนี้ร่างกายของนางแต่ละวันไม่ดีเท่าแต่ละวันแล้วเกรงว่าจะเข้าใจผิดซะแล้ว” ซูอู๋ซินกุมมือเฟิ่งไป่ซูแล้วหันกลับไปพักผ่อน เรื่องของผู้อื่นเป็นกังวลให้น้อยลงถึงจะดี ชีวิตคนนั้นต้องอย่าได้พลาดโอกาสไป

แม่ทัพฉีวนรอบเรือนจวินจื่อหนึ่งรอบ เมื่อเห็นภรรยาในภายภาคหน้าของเขาออกมาแม่ทัพฉีก็โบกมือส่งสัญญาณให้เข้าไป

เดินไปจนถึงสถานที่ที่คนเหล่านั้นลงมาแม่ทัพฉีก็กอดอวิ๋นจิ่นเอาไว้ในอ้อมแขนและขยับร่างก็ไปยังบนหลังคา อวิ๋นจิ่นตกตะลึงมองขึ้นไปที่แม่ทัพฉีพร้อมอ้าปากค้างและกล่าวสิ่งใดไม่ออก

“กลัวไหม?” แม่ทัพฉีถาม อวิ๋นจิ่นนั้นส่ายศีรษะ

“ไม่กลัว!”

“ไม่กลัวก็ดีแล้ว เจ้าไปอยู่ด้านหลังข้าข้าจะแบกเจ้า”

อวิ๋นจิ่นมองไปยังแม่ทัพฉีพร้อมกับคำพูดบางอย่างที่พูดไม่ออก

“ขึ้นมาสิ”

แม่ทัพฉีย่อตัวลงรอให้อวิ๋นจิ่นขึ้นไป เขาจูงมืออวิ๋นจิ่นมือหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงอวิ๋นจิ่นยืนไม่มั่นแล้วตกลงไป

อวิ๋นจิ่นตื่นตระหนกอยู่ในใจ: “ท่านแม่ทัพท่านได้รับบาดเจ็บ”

“ขึ้นมาเถอะ ไม่เป็นไร”

อวิ๋นจิ่นเหลือบมองที่อื่นแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ถามว่า: “เหตุใดท่านแม่ทัพถึงทำเช่นนี้?”

“หรือว่าจะให้เจ้าไปเองหรือ?”

“……” อวิ๋นจิ่นไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร

“ขึ้นมาเถอะ” แม่ทัพฉีขอร้องซ้ำแล้วซ้ำอีกอวิ๋นจิ่นถึงได้เดินไปขี่บนหลังของแม่ทัพฉี แม่ทัพฉีลุกขึ้นแล้วแบกอวิ๋นจิ่นขึ้นมา

อวิ๋นจิ่นไม่กล้ามองที่อื่นโดยที่ในใจนั้นเต้นเสียงดีงตึกตัก แม่ทัพฉีก้าวไปในทิศทางที่คนเหล่านั้นมา เขากำลังพิจารณาว่าคนเหล่านั้นมาจากที่ใด

แม่ทัพฉีดูโดยรอบจากหลังคารอบหนึ่งถึงได้จากไปจากบนหลังคา

เมื่อถึงด้านนอกของจวนอ๋องเย่ แม่ทัพฉีลงสู่พื้นแล้ววางอวิ๋นจิ่นลง

“พวกเราไปดูตรงด้านหน้ากันเถอะ” แม่ทัพฉีก้าวเดินไปอวิ๋นจิ่นก็ตามไปในทันทีโดยก้มหน้าเดินตามหลังแม่ทัพฉี

แม่ทัพฉีเดินไปพักหนึ่งแล้วหันไปมองอวิ๋นจิ่น: “มือ”

อวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้น: “อะไรนะ?”

แม่ทัพฉียื่นมือออกไปจูงมือของอวิ๋นจิ่น อวิ๋นจิ่นดึงมือกลับแต่แม่ทัพฉีกุมเอาไว้แล้ว จากนั้นหันหลังเดินไปทางด้านหน้า ส่วนอวิ๋นจิ่นเดินอยู่ฝั่งหนึ่งด้วยรอยเท้าอันวุ่นวาย

แม่ทัพฉีกล่าวว่า: “เจ้าเดินช้า หากว่าพวกเขามาจะทำร้ายเจ้าได้”

“ท่านแม่ทัพ……เหตุใดท่าน?”

“ไม่ได้เหตุใด”

แม่ทัพฉีพาอวิ๋นจิ่นเดินไปแต่อวิ๋นจิ่นส่ายศีรษะ: “ไม่ต้องการให้ท่านแม่ทัพสงสารข้า ข้า……”

“ช่างมันเถอะ วันนี้ไม่หาแล้วเพื่อไม่ให้เจ้าวุ่นวายใจ ที่นี่ใกล้จะถึงจวนแม่ทัพแล้วไปจวนแม่ทัพเถอะ”

หลังจากแม่ทัพฉีพูดจบก็พาอวิ๋นจิ่นไปยังทางด้านจวนแม่ทัพ ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

แม่ทัพฉีเดินไปตลอดทางแต่กลับอารมณ์ดียิ่งนัก: “ในเรือนของเจ้าไม่มีผู้ใด ภายหน้าแต่งงานแล้วก็อยู่ในจวนแม่ทัพเถอะ”

“ท่านแม่ทัพ ท่านกล่าวสิ่งใด? อวิ๋นจิ่นรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

แม่ทัพฉีมองไปโดยรอบจากนั้นนำเอาโคมไฟที่อวิ๋นจิ่นไม่วางลงเลยไป จากนั้นจับมืออวิ๋นจิ่นพานางเดินไป

“ให้ข้าเถอะ แขนของท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บแล้ว” อวิ๋นจิ่นต้องการช่วย

“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บแล้ว ไปกันเถอะ”

แม่ทัพฉีเดินไม่ช้านักส่วนอวิ๋นจิ่นนั้นก้มศีรษะ: “ร่างกายของแม่ทัพฉีช่างดีนัก ดีกว่าข้าด้วย!”

อวิ๋นจิ่นไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่นแต่ได้ยินถึงแม่ทัพฉีนั้นไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว

“ร่างกายของข้าก็ยังดี สามห้าหรือสิบปีก็มิใช่ปัญหา เพียงแต่ว่าขณะที่ข้าแก่ชราแล้วจิ่นเอ๋อร์ยังเยาว์วัยนัก หากว่าถึงเวลานั้นแล้วจิ่นเอ๋อร์รู้สึกว่าข้าแก่แล้วและไม่คู่ควรกับจิ่นเอ๋อร์ จิ่นเอ๋อร์ก็จากไปได้”

อวิ๋นจิ่นหยุดลง: “ท่านแม่ทัพ ข้าจะไม่จากไปท่านแม่ทัพอย่าได้เป็นกังวล อวิ๋นจิ่นไม่กล้าขอให้ท่านแม่ทัพแต่งงานกับอวิ๋นจิ่น เพียงแค่ท่านแม่ทัพไม่ปิดประตูไม่พบแม้จะเป็นเพียงแค่มองดูก็ยังดี”

“เช่นนั้นก็ลำบากต่อเจ้าแล้ว ก่อนหน้าคืนนี้นั้นข้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องดีที่แยกจากกัน พวกนั้นมาถึงที่เรือนข้าก็เป็นห่วงว่าจิ่นเอ๋อร์จะออกมา จิ่นเอ๋อร์ออกมาข้าเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องกับจิ่นเอ๋อร์ เมื่อจิ่นเอ๋อร์ไปขวางมีดข้าถึงได้รู้จักกลัว เมื่อจิ่นเอ๋อร์ไม่เป็นไรข้าถึงได้รู้ว่าดีเท่าใด

ขณะที่ข้ายังเยาว์วัยนั้นเคยมีใจให้องค์หญิงใหญ่จริงๆ ภายหลังรู้ว่านางแต่งงานแล้วและข้าก็ต้องดูแลอวิ๋นอวิ๋นจึงได้ปล่อยความนึกคิดทิ้งไป

อายุปูนนี้แล้วเกรงว่าจะขายหน้า

แต่เมื่อครู่คนเหล่านั้นกลับทำให้ข้ารู้ว่า

จิ่นเอ๋อร์สำคัญมาก

เป็นข้าที่เห็นแก่ตัวเกินไป! ”

อวิ๋นจิ่นน้ำตาไหลริน: “ท่านแม่ทัพไม่ได้หลอกข้าหรอกนะ?”

“หลอกเจ้าทำไม?รอพรุ่งนี้จะบอกกับอวิ๋นอวิ๋นว่าจะรับเจ้าเข้าเรือน”

อวิ๋นจิ่นร้องไห้จนน้ำตานองหน้าซึ่งแม่ทัพฉีก็รู้สึกทำวิ่งใดไม่ถูกอยู่บ้างไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมเช่นไร แต่ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นก็ต้องเรียนรู้ นึกถึงว่าฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้เมื่อตอนเป็นเด็ก เขาก็กอดเอาไว้

แม่ทัพฉีจึงได้เริ่มโดยที่แบกหน้าอันชราเข้าไปจากนั้นกอดอวิ๋นจิ่นแล้วตบเบาๆ: “หากว่าเจ้ายังไม่ได้คิดให้ดีก็ช้าหน่อยไม่ได้รีบร้อน”

อวิ๋นจิ่นรีบส่ายศีรษะ: “ไม่……”

อวิ๋นจิ่นหน้าแดงก่ำแล้วรีบเช็ดน้ำตา “ข้าไม่ได้รีบร้อน ข้าเพียงแค่……”

อวิ๋นจิ่นไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใดแล้วแม่ทัพฉีก็ดึงนางเอาไว้: “ในเมื่อเจ้าตกลงแล้วงั้นพรุ่งนี้ไปบอกอวิ๋นอวิ๋นกันเถอะเพื่อไม่ให้มีคนพูดจาเรื่อยเปื่อยลับหลัง”

“มีคนพูดที่ใดกัน?”

อวิ๋นจิ่นรู้สึกเขินอาย

แม่ทัพฉีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า: “ไปกันเถอะ”

ทั้งสองคนกลับไปถึงจวนแม่ทัพแม่ทัพฉีก็พาอวิ๋นจิ่นเข้าไปถึงในห้องซึ่งอวิ๋นจิ่นรู้สึกเขินอายเล็กน้อย: “ท่านแม่ทัพข้าจะพักอยู่ห้องข้างๆ”

“พักที่นี่เถอะ ในเมื่อได้เปิดอกพูดแล้วหากเจ้าออกไปประการแรกข้าไม่วางใจ ประการที่สองข้าได้รับบาดเจ็บต้องมีคนคอยดูแล และเรื่องอาการไอของเจ้าพรุ่งนี้จะต้องไปถามอวิ๋นอวิ๋นถึงจะดี สุดท้ายแล้วอวิ๋นอวิ๋นก็ต้องจากไปหากว่ามีลูกชายสักคนก็ดีเหมือนกัน”

“ท่านแม่ทัพ!”

อวิ๋นจิ่นตกตะลึง นี่มันเร็วเกินไปแล้ว!

“นอนเถอะ เหนื่อยแล้ว!”

แม่ทัพฉีถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วเดินไปอีกฝั่งหนึ่งเพื่อต้องการเช็ดตัว อวิ๋นจิ่นรีบเดินไปช่วย

แม่ทัพฉีนั่งลงและให้อวิ๋นจิ่นช่วย

เช็ดเรียบร้อยแล้วทั้งสองคนจึงได้ไปพักผ่อน

ฉีเฟยอวิ๋นตื่นแต่เช้าก็ไปหาอวิ่นจิ่นเพียงเพราะต้องการไปดู

เมื่อเข้าไปในลานฉีเฟยอวิ๋นก็ได้กลิ่นแปลกๆ จากนั้นมองไปยังในลานเรือนเห็นว่าได้รับการเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วและก็ยังมีกลิ่นเลือดอยู่บนพื้น

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหนานกงเย่: “เมื่อคืนมีแมวมา?”

“มาไม่กี่ตัวแต่ท่านพ่อตานั้นแข็งแกร่งยิ่งนักได้ฆ่าแมวไปแล้ว!”

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ด้วยความโมโหจากนั้นหันไปมองอวิ๋นจิ่น ด้านในประตูไม่มีผู้ใดอยู่ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ไปดูพ่อของนางซึ่งก็ไม่มีผู้ใดอยู่

“แล้วคนหล่ะ?”

“เมื่อคืนคนของข้ามาบอกกับข้าว่าได้กลับไปจวนแม่ทัพแล้วและท่านพ่อตาได้รับบาดเจ็บ” หนานกงเย่จงใจกล่าว เมื่อฉีเฟยอวิ๋นได้ยินก็รีบกลับไปยังจวนแม่ทัพเลย

เมื่อเข้าประตูไปฉีเฟยอวิ๋นก็ถามพ่อบ้านว่าเห็นพ่อของนางกลับมาหรือเปล่า

พ่อบ้านกลับไม่รู้เรื่องนี้เลย