หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 982 กลั่น
เมื่อจอมยุทธ์ทั้งสี่เผ่าอีกาสายฟ้าจากไป
จิ่วโยวและมั่วเฟิงก็จ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยความคาดหวังในดวงตาที่แทบจะหยดลงมา
เมื่อมู่เฉินเห็นท่าทางดังกล่าวก็ยิ้มพลางหยิบตัวอ่อนโคลนโลหิตออกมา ทันใดนั้นริ้วสีแดงก่ำก็เปล่งประกายออกมา รัศมีโลหิตผันผวน ทำให้แสงสีแดงสะท้อนบนใบหน้าของพวกเขา
“นี่คือ…ตัวอ่อนโคลนโลหิต?!”
สายตาของจิ่วโยวและมั่วเฟิงจ้องเขม็งไปที่ตัวอ่อนโคลนโลหิต แม้คนหลังจะมีนิสัยเฉยเมยและเย็นชา แต่ใบหน้าก็ปกคลุมไปด้วยร่องรอยความตกตะลึง พวกเขาคาดไว้ว่าโคลนโลหิตในอุกกาบาตลูกนั้นไม่น่าจะอ่อนแอ แต่พวกเขาไม่เคยคาดหวังว่าโคลนโลหิตชิ้นนี้จะอยู่ในรูปของตัวอ่อนเลยทีเดียว
“หากพวกเผ่าอีกาสายฟ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกมันอาจจะกระอักเลือดจนลำไส้เปลี่ยนเป็นสีเขียวไปเลย” นานกว่าจิ่วโยวจะฟื้นคืนสติจากอาการตกตะลึงเป็นคนแรก น้ำเสียงของนางไม่สามารถปิดบังความปีติดีใจไว้ได้
มั่วเฟิงก็พยักหน้าเบาๆ ความสุขพล่านในแววตา พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ แต่ก็ได้รับตัวอ่อนโคลนโลหิตมาแล้ว พวกเขาโชคดีจริงๆ
“เราจะแบ่งตัวอ่อนนี้ยังไงน่ะ?” มู่เฉินมองดูพรรคพวก ขณะถามคำถามละเอียดอ่อน ตัวอ่อนโคลนโลหิตมีค่ามหาศาล หากพวกเขาแบ่งกันไม่ดีก็จะทำให้เกิดแรงเสียดสีในใจได้ แม้ว่ามู่เฉินจะเชื่อมั่นในความสัมพันธ์กับจิ่วโยว แต่เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับมั่วเฟิงและมั่วหลิงนัก
มั่วเฟิงและมั่วหลิงแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยว ความหมายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขาชัดเจน พวกเขาปล่อยให้จิ่วโยวตัดสินใจเรื่องนี้
เมื่อจิ่วโยวเห็น นางก็ครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะยิ้ม “วัตถุนี้เป็นเอกลักษณ์มาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะแบ่งกันอย่างเท่าเทียม ข้าว่าเรากลั่นด้วยกันเถอะให้โชคชะตาเป็นคนตัดสินว่าใครจะได้มากกว่ากัน”
ความหมายของจิ่วโยวชัดมาก พวกเขาจะเอาตัวอ่อนโคลนโลหิตวางไว้ตรงกลางแล้วก็ต่างคนต่างกลั่นพร้อมกัน วิธีนี้ถือว่ายุติธรรม ดังนั้นมั่วเฟิงและมั่วหลิงจึงไม่ได้มีความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
มู่เฉินไม่คัดค้านเรื่องนี้อยู่แล้ว
“ดูจากความเร็วปัจจุบัน เราน่าจะใช้เวลาอีกประมาณครึ่งวันก่อนที่จะออกจากวงแหวนอุกกาบาต งั้นเรารีบมากลั่นกันเถอะ มีอัจฉริยะมากมายจากเผ่าต่างๆ เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ ดังนั้นการแข่งขันก็จะรุนแรงมากเช่นกัน ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเราทุกครั้งจะทำให้เรามีโอกาสสูงขึ้นในการประสบความสำเร็จ” จิ่วโยวกวาดมองวงแหวนอุกกาบาตที่ไม่มีที่สิ้นสุด ก็กล่าวเสียงเคร่งขรึม
คนที่เหลือก็พยักหน้าอีกครั้ง แม้ว่าตัวอ่อนโคลนโลหิตจะมีค่ามาก ถ้าอนาคตสามารถเชิญจอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญด้านกลั่นยามากลั่นเป็นเม็ดยา ประสิทธิภาพที่ตามมาจะดีกว่ามาก ทว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีเวลาพอเพียงอย่างชัดเจน เผชิญหน้ากับการแข่งขันที่โหดร้ายในดินแดนเสินโซ่ พวกเขาต้องใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีในเวลานี้เพื่อแปลงให้เป็นพลังของตน
เมื่อทั้งสี่คนตัดสินใจก็ไม่ลังเล พวกเขานั่งขัดสมาธิล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยม ในเวลาเดียวกันมั่วเฟิงก็กำมือระฆังทองคำสั่นสะเทือนด้วยแสงผิดปกติปรากฏขึ้นในมือของเขา
พื้นผิวของระฆังทองมีลวดลายโบราณกระจายทั่ว หากมองดูให้ละเอียดก็จะพบว่าลวดลายบนนั้นราวกับหงส์ฟ้าที่สยายปีก
มั่วเฟิงสะบัดนิ้ว ระฆังทองคำก็พุ่งออกจากมือขยายขึ้นในอากาศ จากนั้นก็ครอบลงบนร่างทั้งสี่ไว้
เมื่อระฆังทองคำครอบลง แสงสีทองก็ค่อยจางลงจนสุดท้ายไม่เห็นรูปทรง ร่างทั้งสี่ก็หายไป เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนไม่มีใครอยู่บนอุกกาบาตลูกนี้เลย
“นี่คือระฆังหงส์ฟ้า อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมประเภทการป้องกันและซ่อนเร้น ด้วยอาวุธนี้เราจะสามารถกลั่นตัวอ่อนโคลนโลหิตได้อย่างปลอดภัย ซ้ำยังสามารถซ่อนรัศมีโลหิตจากการสำรวจของจอมยุทธ์คนอื่นๆ ได้” เมื่อจิ่วโยวเห็นแววประหลาดใจบนใบหน้าของมู่เฉิน นางก็อธิบายให้ฟัง
“ถ้าแบบนี้ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น” มู่เฉินรู้สึกโล่งอก จากนั้นก็อิจฉาบางเบา อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นสุดยอดในหมู่ศาสตราวุธประเภทนี้เลย ความสามารถของอาวุธนี้ไม่ได้อยู่ในระดับที่อาวุธสรรค์สวรรค์ขั้นสูงสามัญจะเทียบได้
จนถึงตอนนี้ในสิ่งที่เขามีอาจมีเพียงพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจเท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งกว่าอาวุธชิ้นนี้ ทว่าก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่อาวุธมหสวรรค์ราวกับขวานใหญ่ในมือเด็กสำหรับเขาในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาจึงยกอาวุธชิ้นนั้นให้กับมั่นถัวหลัว
สำหรับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเขาไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว สิ่งที่นับเป็นอาวุธได้ก็มีเพียงเสาปีศาจราชันพระสุเมรุ แม้ว่าจะเป็นอาวุธชั่วร้ายยุคโบราณ แต่เมื่อการเพาะบ่มพลังของมู่เฉินเพิ่มขึ้น เขาก็ได้ค้นพบข้อบกพร่องของมัน แม้ว่ารังสีที่น่ากลัวนั้นจะน่าทึ่งแต่ที่เหลือก็ไม่ได้ทรงพลัง จากการคาดเดาของมู่เฉินดูเหมือนว่าเสานี้จะขาดแกนกลางไป มิฉะนั้นมันไม่ได้มีพลังแค่นี้เท่านั้น เรื่องนี้อาจไม่ถูกสังเกตเห็นโดยตำหนักปีศาจมังกรด้วย
มู่เฉินถอนหายใจสงบใจลงก่อนที่จะเปิดฝ่ามือ ตัวอ่อนโคลนโลหิตลอยขึ้นอย่างช้าๆ ไปอยู่ตรงกลางเหนือพวกเขาสี่คน
“เริ่มเถอะ”
จิ่วโยวกวาดตามองทั้งสามก็ปิดดวงตาลง ประสานมือเข้าด้วยกันคลื่นหลิงพวยพุ่งออกมาห่อหุ้มตัวอ่อนโคลนโลหิตไว้ เมื่อคลื่นหลิงเริ่มดูดซับเส้นใยหมอกสีแดงก็ไหลออกมาจากตัวอ่อนโคลนโลหิต จิ่วโยวเปิดริมฝีปากกลืนกินเข้าสู่ร่างกาย
เมื่อจิ่วโยวเปิดวงเป็นคนแรก อีกสามคนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป พวกเขาวาดตราประทับ คลื่นหลิงสามสายก็ห้อมล้อมรอบตัวอ่อนโคลนโลหิตไว้ แต่ละคนไม่รบกวนกันและกัน ต่างสกัดเส้นใยหมอกสีแดงเข้าไปในร่างกายของตน
ฮึ่ม!
เมื่อเส้นใยหมอกสีแดงเข้มหนาแน่นสายแรกเข้าสู่ร่างมู่เฉิน ร่างเขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เส้นใยที่ดูอ่อนแอและบอบบองกลายเป็นหินหนืดร้อนขณะที่ไหลผ่านไปตามแขนขาและเส้นลมปราณของเขา ทันใดนั้นยังได้ยินเสียงฉ่าออกมาจากร่างกายอีกด้วย
ยามนี้ร่างกายเขากำลังกลืนกินคลื่นร้อนระอุอย่างตะกละตะกลามโดยไม่คำนึงถึงอุณหภูมิที่เดือดพล่านเลยสักนิด
กระแสเดือดละลายไปในเลือดเนื้อ ในเส้นทางผ่านทุกอณูในร่างกายก็ได้ปลดปล่อยความมีชีวิตชีวาที่น่าอัศจรรย์ คลื่นพลังงานที่น่ากลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พลังที่บรรจุอยู่ในตัวอ่อนโคลนโลหิตแข็งแกร่งกว่าโคลนโลหิตที่เขาเคยได้รับก่อนหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย… จากการคาดของมู่เฉินแค่เส้นใยหมอกคำเดียวก็เทียบได้กับเม็ดโคลนโลหิตเม็ดหนึ่งเลยทีเดียว
ฟิ้ว!
อุกกาบาตเดินทางผ่านวงแหวนอุกกาบาตขนาดใหญ่ราวกับลูกแสงเจิดจ้า โดยมีทั้งสี่นั่งนิ่งอยู่ด้านบน
ที่ใจกลางพวกเขาตัวอ่อนโคลนโลหิตหมุนวนช้าๆ พร้อมปลดปล่อยหมอกสีแดงที่ถูกกลืนกินเข้าไปโดยทั้งสี่คน
การกลั่นใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
ฮา
ลมหายใจสีแดงพ่นออกมาจากปากของมู่เฉิน เขารู้สึกได้ว่าเลือดเนื้อร้อนฉ่าและมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับว่าพลังงานที่รอวันระเบิด
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจที่สุดคือ ขณะที่รัศมีโลหิตในร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้น ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าที่สถิตตรงแผ่นอกและแผ่นหลังก็สั่นไหวเล็กน้อย
แรงสั่นสะเทือนนี้ดูราวกับว่าพวกมันกำลังจะตื่นขึ้น!
ปัง!
เมื่อความคิดดังกล่าวเกิดขึ้นในใจของมู่เฉิน ร่างเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง แสงสีแดงระเบิดออกมาจากภายในทำเอาเสื้อผ้ากลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
เศษผ้ากระจุยกระจาย เผยให้เห็นลวดลายมังกรขนาดใหญ่สีม่วงทองที่สถิตนิ่งเงียบอยู่บนหน้าอก แต่กลับเปล่งความกดดันที่น่ากลัวออกมา
ในเวลาเดียวกันที่แผ่นหลังลวดลายหงส์ฟ้าที่พับปีกไว้ ก็เริ่มกระพือปีก แรงกดดันที่น่ากลัวคล้ายคลึงกันค่อยๆ แพร่กระจายออกไป
แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวสองสายพลิกผันไปรอบๆ ร่างมู่เฉิน ทำให้มิติสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ความปั่นป่วนนี้ทำให้จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงลืมตาตื่นอย่างรวดเร็ว พวกเขาหันไปมองมู่เฉินที่กำลังหลับตา ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างทำเอาพวกเขาเขย่าขวัญไปหมด
“นี่มัน…แรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงและมังกรแท้จริง?!!!” มั่วเฟิงและมั่วหลิงร้องอุทาน ยามนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังก็ไม่สามารถรักษาอาการเฉยเมยไว้ได้ บนใบหน้าถูกปกคลุมด้วยความตกใจ
สองพี่น้องต่างมีสายเลือดหงส์ฟ้าจึงมีความรู้สึกไวต่อแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริง ขณะนี้พวกเขารู้สึกได้ว่าร่างกายเริ่มสั่นสะเทือน ภายใต้แรงกดดันแท้จริงที่แพร่กระจายออกไป
หงส์ฟ้าแท้จริงคือจักรพรรดิแห่งเผ่าหงส์ฟ้า!
แม้ว่าแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงไม่ได้มาจากตัวเขา แต่แรงกดดันนี้ก็ยังน่าตกใจอยู่ดี
“ทำไมเขาถึงมีแรงกดดันจากมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง?” มั่วหลิงอ้าปากตาค้าง โดยทั่วไปแล้วมีเพียงทายาทของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเท่านั้นที่สามารถมีแรงกดดันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะดูมู่เฉินกี่ที เขาก็เป็นมนุษย์ตัวจริงเสียงจริง
แม้ว่าจิ่วโยวจะตะลึงงันไปด้วย แต่ใบหน้าไม่ได้ตกตะลึงตามอีกสองคน เพราะนางรู้เกี่ยวกับวิชากายามังกรหงส์ของมู่เฉินมานานแล้ว สิ่งที่เรียกว่าแรงกดดันมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็เกิดขึ้นจากคัมภีร์หลงเฟิ่งซึ่งเขาฝึกฝนอยู่
หากเขาสามารถฝึกฝนวิชานี้ได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องพูดถึงแรงกดดันของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงให้เหนื่อย เขาอาจจะมีพลังแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้าเลยก็ได้
“ดูเหมือนว่าเขาจะมีความก้าวหน้าในคัมภีร์หลงเฟิ่ง” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินที่กำลังหลับตา ความสุขก็เบิกบานในใจของนาง พวกนางเข้าใกล้ดินแดนเสินโซ่แล้ว ยิ่งมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไร การเก็บเกี่ยวของพวกนางก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
โฮก!
ขณะที่จิ่วโยวกำลังพึมพำกับตัวเอง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังกึกก้อง ทั้งสามคนออกอาการตกใจเต็มใบหน้า ตัวอ่อนโคลนโลหิตที่เบื้องหน้ากำลังถูกดูดซับด้วยพลังทรงประสิทธิภาพ ทันใดนั้นหมอกสีแดงเข้มสองสายก็พุ่งออกมา เทลงในลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าที่อยู่ตรงหน้าอกและแผ่นหลัง…
ขณะที่หมอกสีแดงหลั่งไหลอย่างต่อเนื่อง พวกเขาทั้งสามก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าลวดลายมังกรและหงส์ฟ้ากำลังเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย…