บทที่ 7 บทที่ 1 ดวงสมพงษ์

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ภูเขาไท่ซาน บ้านของชาวบ้านบริเวณตีนเขาแห่งหนึ่ง 

 

 

ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปีผิวสีขาวคนหนึ่งกำลังวิ่งกลับมา ดูเหมือนสองมือจะกุมอะไรไว้ ยิ้มเหมือนเด็กๆ ที่เล่นดินในหมู่บ้านอย่างนั้น 

 

 

 “พี่ใหญ่มั่วมั่ว! พี่ใหญ่มั่วมั่ว! พี่ดูสิฉันจับได้อะไร…เอ๋ พี่ใหญ่มั่วมั่ว พี่กำลังดูอะไรอยู่เหรอ” 

 

 

ชายหนุ่มมองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้อย่างสนใจ ชายหนุ่มย้อมผมสีทองสดคนนั้นกำลังมองจอโทรศัพท์  

 

 

เหมือนอันธพาล…ที่มีเรื่องราว 

 

 

 “เสี่ยวจ่าน” มั่วมั่วมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขาสามปี เขาได้รับความไว้วางใจจากผู้อาวุโสหยางไท่จื่อทำให้ต้องดูแลเจ้าคนที่ชื่อว่าจ่านเอ๋อร์มาตลอดทาง 

 

 

หากพูดตามกฎของโลกนักพรตแล้ว จ่านเอ๋อร์ควรเรียกเขาว่าศิษย์พี่…แต่นี่มันยุคไหนแล้ว ต้องมีวิวัฒนาการกันบ้าง 

 

 

มั่วมั่วไม่รู้จะอธิบายจ่านเอ๋อร์ที่เดินทางมาด้วยกันตลอดทางผู้นี้ยังไงดี นิสัยของเจ้าหนุ่มนี่ดูเหมือนอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น แค่จับจิ้งหรีดได้เท่านั้นก็ดีใจถึงขนาดนี้แล้ว 

 

 

 “ไม่มีอะไร” มั่วมั่วหัวเราะและพูดว่า “กำลังดูว่าช่วงนี้มีประกาศจับอะไรใหม่ๆ หรือเปล่า เสี่ยวจ่าน พวกเราออกมาเผชิญโลก ถึงจะพูดว่าเคยชินกับการนอนกลางดินกินกลางทรายแล้ว ปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามวาสนา แต่การใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยใหม่ก็มีของบางอย่างที่จำเป็นต้องมี เพราะมันสามารถลดปัญหาของพวกเราลงได้มาก อย่างเช่น…เงิน!” 

 

 

 “ผมรู้จักเงิน” เสี่ยวจ่านพยักหน้าและพูดว่า “ทุกครั้งที่อาจารย์ลงจากภูเขาก็จะไปแลกเงินที่โรงรับจำนำทุกครั้ง” 

 

 

มั่วมั่วยิ้มและพูดว่า “นั่นก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะได้เงินมา ผู้อาวุโสส่วนมากล้วนแต่มีทรัพย์สมบัติเก่าอยู่บ้าง เพียงหยิบของอะไรบางอย่างออกมาก็สามารถขายได้ราคาสูงแล้ว แต่นั่นก็เป็นวิธีของบรรดาผู้อาวุโสเท่านั้น พวกที่เพิ่งลงจากภูเขาเช่นพวกเราทำได้เพียงใช้วิธีอื่น…เช่นจับนักโทษที่ตำรวจต้องการตัวเหล่านี้ไปขึ้นรางวัล” 

 

 

จ่านเอ๋อร์ทำท่าทางเหมือนได้รับการสั่งสอน พยักหน้าอย่างต่อเนื่องและพูดว่า “อย่างนั้นเห็นอะไรมีประโยชน์ไหม” 

 

 

มั่วมั่วพูดว่า “เห็นน่ะเห็น แต่เงินรางวัลน้อยเกินไป ไม่คุ้มกับการเสียแรงทำ แต่ก็มีอันหนึ่งที่รางวัลใช้ได้ แต่ห่างไกลจากพวกเราเกินไป ไม่คุ้ม” 

 

 

พูดแล้วมั่วมั่วก็ส่งโทรศัพท์ในมือไปที่ด้านหน้าของจ่านเอ๋อร์ 

 

 

 “ว้าว…ใบหน้าน่ากลัวจัง!” 

 

 

จ่านเอ๋อร์แลบลิ้นออกมา มองภาพบนหน้าจอ เป็นผู้ชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยบากน่ากลัวมาก “ชื่อว่า…อา มองเห็นแล้ว! จุยเฟิง! รางวัลนำจับคือ…สามแสน” 

 

 

แต่นักพรตน้อยผู้ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกสักเท่าไหร่นั้นไม่รู้ว่าเงินสามแสนหมายความว่ายังไง ดังนั้นหลังมองครู่หนึ่งแล้วก็ส่งโทรศัพท์ให้มั่วมั่ว 

 

 

ไม่รู้ว่าจำเป็นต้องใช้เงินที่ไหน 

 

 

เมื่อท้องหิว บนภูเขาก็มีผลไม้ที่สามารถกินได้อยู่มากมาย มีเกมให้เล่น หิวน้ำก็มีน้ำแร่แสนหวาน…รู้สึกว่าไม่มีที่ไหนที่จำเป็นต้องใช้เงินเลย 

 

 

 “ใช่แล้ว พี่ใหญ่มั่วมั่ว พวกเราต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน มาตั้งหลายวันแล้ว” จ่านเอ๋อร์เล่นกับจิ้งหรีดที่จับมาพร้อมถามไปด้วย 

 

 

 “ใกล้แล้ว อยู่อีกไม่นานก็จะถึงเวลานัดแล้ว” มั่วมั่วพูด “นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สิบปีถึงมีครั้งหนึ่งในโลกนักพรตของพวกเรา ต้องอดทนหน่อย โดยเฉพาะการอดทนก็เป็นการฝึกฝนอีกอย่างหนึ่ง” 

 

 

จ่านเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “สำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ ชื่อว่าเผิงไหลอะไรเนี่ย…จะว่าไปเผิงไหลคืออะไรกันแน่ อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าล้มเหลวมาตลอดเลยงั้นเหรอ” 

 

 

มั่วมั่วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ รู้แต่ว่านี่เป็นกฎของโลกนักพรตว่าสิบปีจะมีครั้งหนึ่ง พูดตามตรง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันเข้าร่วม สำหรับเผิงไหล…เคยได้ยินท่านอาจารย์พูดถึง ดูเหมือนจะเกี่ยวกับเส้นทางเซียน สิ่งนั้นก็คือ…เป็นสถานที่ที่สามารถทำให้ความหวังทุกอย่างของพวกเราเป็นจริงได้” 

 

 

 “ความหวังทุกอย่างเหรอ” จ่านเอ๋อร์สนใจกับจุดนี้ ชั่วขณะนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย “จริงเหรอ” 

 

 

มั่วมั่วยิ้มและพูดว่า “เล่ามาแบบนั้น แต่ผ่านมานานหลายปีก็ไม่เคยได้ยินว่าสำเร็จเลยสักครั้ง บางทีมันอาจจะเป็นเพียงตำนานที่เลื่อนลอย ดูนายตื่นเต้นขนาดนี้ มีความหวังอะไรที่อยากของั้นเหรอ” 

 

 

จ่านเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจัง 

 

 

มั่วมั่วถามอย่างสนใจว่า “นายมีความหวังอะไร” 

 

 

จ่านเอ๋อร์พูดอย่างจริงจังขึ้นไปอีกว่า “ผมอยากได้พีเอสพีเครื่องนึง ท่านอาจารย์ก็ไม่ยอมซื้อให้ผม” 

 

 

มั่วมั่วชะงัก ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่แต่กลับเงียบลง 

 

 

จ่านเอ๋อร์ถามขึ้นอีกว่า “พี่ใหญ่มั่วมั่ว ความหวังของพี่คืออะไร” 

 

 

 “ฉันเหรอ” ทันใดนั้นมั่วมั่วก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “ความหวังของฉัน…จะเป็นอะไรดีนะ” 

 

 

 “พี่ใหญ่มั่วมั่ว?” 

 

 

มั่วมั่วกลับถอนหายใจ ส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่มีอะไร…ฉันต้องนั่งสมาธิแล้ว เสี่ยวจ่าน นายออกไปเล่นสักครู่เถอะ” 

 

 

จ่านเอ๋อร์ผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ฝืนอะไร เพียงหัวเราะและเอ่ยว่า “งั้นผมจะไปขุดมันหวานมาเผาให้พี่กินแล้วกัน หลังนั่งสมาธิเสร็จจะหิวมาก” 

 

 

มองดูแผ่นหลังที่พุ่งออกจากประตูไปอย่างร่าเริงแล้ว มั่วมั่วก็ไม่รู้ว่าทำไม “อยากได้พีเอสพีเครื่องหนึ่ง…ความหวังอะไรกัน ถือเป็นความหวังด้วยงั้นเหรอ” 

 

 

มั่วมั่วหลับตาและเริ่มนั่งสมาธิ 

 

 

เผิงไหล…เผิงไหล มีจริงไหมนะ 

 

 

… 

 

 

ในภูเขาไท่ซานเช่นเดียวกัน…เพียงแต่เป็นอีกมุมหนึ่งของภูเขาไท่ซาน 

 

 

บนยอดเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้โบราณ บนจุดสูงสุดมีเงาร่างสายหนึ่งกำลังกวาดตามองออกไปไกล…มองไปยังสถานที่ที่ถูกสร้างเป็นวัดพุทธมาตั้งแต่โบราณ 

 

 

เธอเย็นชาเหมือนน้ำค้าง ดวงตาสงบ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ…ทันใดนั้นก็มีกระรอกน้อยตัวหนึ่งไต่มาที่เท้าของเธอ 

 

 

กระรอกมาถึงแล้วก็ไม่เข้าใจ เขย่งสองเท้าขึ้น เงยหน้ามองเงาร่างที่ใหญ่โตมากสำหรับมัน  

 

 

ตอนนี้เธอกลับยิ้ม…เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น “นายก็มาดูวิวด้วยงั้นเหรอ” 

 

 

แน่นอนว่ากระรอกไม่สามารถตอบเธอได้ 

 

 

ส่วนเธอก็มองไปยังที่ไกลออกไปอีกครั้งและพึมพำว่า “ครั้งก่อนเพราะฉันยังเป็นเด็กเลยไม่อาจมาได้ ครั้งนี้ไม่รู้ว่า…จะมีทิวทัศน์เป็นอย่างไร เผิงไหล…บางทีอาจจะเป็นเพียงแค่ตำนานจริงๆ” 

 

 

ห้าร้อยปีที่ผ่านมานี้ เธอไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมตามธรรมเนียมของโลกนักพรตทุกครั้ง เธอจะมาเฉพาะเมื่อสบโอกาสเหมาะพอดีหลังเสร็จจากการฝึกด้วยวิธีพิเศษแล้วเท่านั้น 

 

 

ครั้งนี้เดิมทีจะไม่มา…หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ตื่นขึ้นมาเร็วเกินไปแล้วละก็ 

 

 

จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกเธอก็ยังไม่ขยับ ในที่สุดแสงสีแดงก็ตกลงไปหลังภูเขา บนใบหน้าของเธอถึงปรากฎร่องรอยของความเศร้า 

 

 

เธอพูดเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์…ซานเหนียงต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะได้พบท่านอีกครั้ง” 

 

 

… 

 

 

… 

 

 

 “มาๆ แนะนำให้รู้จัก นี่คืออาจารย์หวง” เริ่นจื่อหลิงแนะนำคนที่ดูแปลกประหลาดคนหนึ่งให้กับลั่วชิว 

 

 

สวมชุดราชวงศ์ถังกับแว่นตาดำ ผมและเคราสีขาว นั่งนิ่งสงบ…ดูน่าเชื่อถือ 

 

 

อายุราวๆ ห้าสิบกว่าปี 

 

 

ใบที่สุดลั่วชิวก็พบปัญหาที่ร้ายแรงบางอย่าง นั่นก็คือหากเขาไม่ใช้ความสามารถของเจ้าของสมาคมแล้ว เขาคงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเริ่นจื่อหลิงคิดแปลกๆ อะไรอยู่ 

 

 

‘ไม่ว่ายังไงก็ต้องเรียกโยวเย่ออกมากินข้าวให้ได้นะ’ 

 

 

‘ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ซักถุงเท้าสามวัน…ไม่ๆ ไม่ซักเสื้อชั้นในหนึ่งสัปดาห์ ฉันจะทิ้งไว้ในห้องรับแขก ทิ้งไว้หน้าห้องเธอ ฉันยังจะกินทุเรียนอยู่ในห้องของเธออีกด้วย’ 

 

 

 ‘นายท่าน โยวเย่จะไปเลือกชุดที่ดูเหมาะสม’ 

 

 

โชคดีก็คือ คุณหนูสาวใช้ยังคงมีความใส่ใจอยู่เสมอ ช่วยแก้ปัญหาให้นายท่านของตนเองอย่างไม่มีบ่น 

 

 

ฉากที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เกิดขึ้นบนโต๊ะติดหน้าต่างโต๊ะหนึ่งในร้านหม่าล่ากุ้งมังกรเล็ก 

 

 

แต่ครั้งนี้เริ่นจื่อหลิงไม่ได้พาหลีจื่อมาด้วย 

 

 

หลังแนะนำเสร็จ เริ่นจื่อหลิงก็ลากลั่วชิวมาอีกด้านหนึ่ง ทิ้งคุณหนูสาวใช้ให้นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับอาจารย์หวงคนนั้น…อาจารย์หวงคนนั้นยังคงไม่พูดไม่จา ดูท่าทีเหมือนไม่ได้ถูกความงามของคุณหนูสาวใช้ดึงดูด 

 

 

 “แล้ว…อาจารย์หวงคนนี้เป็นใคร” ลั่วชิวขมวดคิ้ว 

 

 

ได้ยินเพียงรองบรรณาธิการเริ่มปฏิบัติการแม่สื่อพูดว่า “อาจารย์หวงท่านนี้ ฉันต้องรบกวนคนรู้จักตั้งมากมายกว่าจะเชิญมาได้ ฉันจะบอกเธอให้นะ อาจารย์หวงคนนี้ดูดวงแม่นมาก โดยเฉพาะดวงสมพงษ์ดวงเนื้อคู่ ดูแม่นมาก ถึงพวกเราจะเป็นคนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์ แต่นี่ก็เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของพวกเรา ฟังๆ หน่อยก็ไม่เสียหาย เธอกับโยวเย่ก็มาดูหน่อยเถอะนะ”  

 

 

เจ้าของสมาคมลั่วอ้าปากค้างเล็กน้อย 

 

 

ดวง…สมพงษ์?