“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าถ้าจบเกมเมื่อไหร่ให้ปิดตาของพวกคุณไว้ซะ” จางลี่เฉินพูดโดยไม่ตั้งใจก่อนจะหันไปพึมพำกับตัวเอง “กลับกลายเป็นว่าผู้ชนะจะต้องคว้านตาตัวเองออกมาแทน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าผู้ชนะเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้อุทิศตนเพื่อพระเจ้า ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะไม่มีอารมณ์ด้านลบใด ๆ เมื่อพวกเขาต้องตายด้วยมือของเรา และเมื่อเป็นแบบนี้ก็แน่นอนแล้วว่าคนพวกนั้นถือว่าเกาะมังกรเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการเสียสละแก่พระเจ้า พวกเขาไม่ใช่คนบ้าแต่เป็นคนคลั่งศาสนา ตอนนี้ปัญหาใหญ่กำลังเกิดขึ้นแล้ว…”
“ลี่เฉิน นายรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะทำสิ่งที่น่ากลัวแบบนั้นหลังจากจบเกม? หยุดเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองได้แล้ว! นายไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงคนเดียวนะ! แค่บอกพวกเราว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ได้ เข้าใจไหม? บางทีเราอาจช่วยนายได้! มันช่างน่ากลัวเหลือเกินที่ไม่รู้อะไรเลย! ขอร้องเถอะนะ ลี่เฉิน … ” ขณะที่เด็กสาวกำลังขอร้องชายหนุ่ม คนแคระทั้ง 9 คนที่ชนะเกมนี้ก็ได้ขุดตาของพวกเขาออกไปจนหมดเสียแล้ว
ต่อมา เพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ของพวกเขาก็เริ่มพากันก้าวเข้าสู่สนามฟุตบอลอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งล้อมรอบไปด้วยเถาวัลย์ที่ในตอนนี้ปกคลุมไปด้วยเลือด เมื่อพวกเขายกแขนและหัวของคนแคระตาบอดทั้ง 9 คนที่ตั้งใจโหยหวนเสียงดังแล้วพวกเขาก็เดินไปที่ด้านหน้าของเสาหินทั้ง 3 บนชายฝั่งและมัดพวกเขาไว้บนเสาหินแบบเดียวกับที่ลี่เฉินเคยเจอมาก่อน
หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างผู้นำของชาวพื้นเมืองได้นำดวงตาทั้ง 18 ลูกมาถือไว้ในมือก่อนที่จะเดินเข้าหาลูกเรือและผู้โดยสารของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ที่ยืนอยู่หน้าวงล้อยักษ์ใหญ่
เมื่อเสียงฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฟยอดน่าซึ่งตระหนักได้ว่าคนแคระกำลังพยายามทำอะไรอยู่ก็รีบแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที เจ้าหน้าที่ต้นเรือที่อยู่ข้างเขาพูดติดอ่าง “ซะ เซอร์… ชาวพื้นเมือง ยะ…อย่าบอกนะว่าเขาต้องการให้เรา…”
“เขาถือว่าเรือลำนี้เป็นพระเจ้าดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้วผู้ที่ลงมาจากเรือย่อมเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า ฉันคิดว่าการกระทำสุดท้ายของการบูชาก็คือการให้เราได้กินดวงตาเหล่านั้น อย่าตกใจไปทุกคน! ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างมาลงที่ฉันเอง ฉันจะจัดการมันเอง!” ฟยอดน่าเปล่งเสียงพลางตะโกนเสียงดัง ขณะนั้นเองผู้นำของชาวพื้นเมืองก็ได้มายืนต่อหน้าเขาแล้วพร้อมกับดวงตากลมโตที่กำลังสั่นคลอน
ด้วยการแสดงออกอย่างเคร่งขรึม กัปตันต้านการกดดันของเขาโดยการยอมรับลูกตาที่ทั้งลื่นและอบอุ่นเล็กน้อยจากมือของผู้นำชาวพื้นเมืองและหันไปรอบ ๆ เพื่อวางมันบนขั้นแรกบันไดเหล็กของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์
จากนั้นเขาเริ่มเลียนแบบน้ำเสียงที่คนแคระพื้นเมืองตะโกนเมื่อคนพวกนั้นคุกเข่าลงบนพื้น “เปิดใช้รอกและดึงบันไดช่วงล่างนี้ขึ้นไป!”
กะลาสีที่ยังอยู่บนเรือเริ่มเดินมอเตอร์อย่างรวดเร็วและดึงบันไดช่วงล่างขึ้นไปทันที
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ฟยอดน่าก็ตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “เอาลูกตาที่น่ารังเกียจนี้ออกไปซะแล้วเช็ดคราบเลือดให้สะอาด วางบันไดลงกลับมาและพูดอะไรสัก 2 – 3 คำโดยใช้น้ำเสียงแบบของฉัน หน่วยรักษาความปลอดภัยเตรียมพร้อมในการยิงได้ตลอดเวลา หากชาวพื้นเมืองเหล่านี้โจมตีเราเมื่อไหร่ พวกลูกเรือที่ถือขวานจะอยู่เป็นหน้าด่านแรกพร้อมกันฉัน เจ้าหน้าที่ต้นเรือจะต้องรับผิดชอบในการนำผู้โดยสารกลับไปที่เรือ!”
“เซอร์ ผมแข็งแกร่งกว่าดังนั้นขอให้ผม…”
“แฮร์รี่ ฉันเป็นกัปตันของเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ คำพูดของฉันคือกฎหมายเมื่อเราอยู่ในสภาพเรืออับปาง หยุดค้านคำพูดของฉันเดี๋ยวนี้!” ฟยอดน่าขัดจังหวะเมื่อเขาโบกมือไปมาอย่างน่ากลัว
ด้วยเสียงของเครื่อยนต์ที่กำลังทำงาน บันไดช่วงล่างของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ก็ค่อย ๆ ลดลงกลับมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันการประกาศด้วยเสียงดังแปลก ๆ ก็ปะทุขึ้นจากการออกอากาศของเรือ “ฉัน คลอลิน คอนสแตนซ์แห่งอลิซาเบธ ฮอลลิเดย์คนที่สาม ภายใต้คำสั่งของกัปตัน ฉันต้องการให้ผู้โดยสารทุกคนที่ยืนอยู่ใกล้บันไดอยู่ห่างออกไปในทันที กะลาสีประจำหน้าที่ราเชล พริสซิลลาและแม็กซีน นิกิตา ให้เตรียมพร้อมเพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารที่อาจอพยพไปยังจุดเริ่มต้นของบันไดช่วงล่าง”
“ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดเสียจริง” เมื่อได้ยินการออกอากาศของเรือ ฟยอดน่าตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับการอนุมัติ เขาหันหลังและเดินกลับไปหาผู้นำชาวพื้นเมืองก่อนที่จะตบมือและฉายรอยยิ้มกว้าง “ยอมรับ เรือลำใหญ่นี้ยอมรับข้อเสนอของคุณแล้ว!”
ผู้นำของชาวพื้นเมืองระเบิดรอยยิ้มแห่งความสุข รอยพับบนใบหน้าของเขาเปิดออกอย่างน่ากลัวในขณะที่เขาอุ้มดวงตาที่เหลือเพื่อขอให้กัปตันนำพวกมันกลับไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นความเป็นมิตรคนแคระแสดงออกมาแล้วฟยอดน่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างลับ ๆ เขาค่อย ๆ เอื้อมมือออกไปรับดวงตาที่ขาดรุ่งริ่งจากมือของผู้นำชาวพื้นเมืองก่อนจะวางมันลงบนบันไดช่วงล่าง “ดึงบันไดขึ้นไปแล้ววางเค้กครีมสักชิ้นเมื่อลดระดับลงมา”
เมื่อจางลี่เฉินได้ยินฟยอดน่าสั่งการออกไปเช่นนั้นก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ “เช่นเดียวกับคำพูดที่ว่าคนที่มีอายุมากกว่ามักฉลาด ถ้าเป็นตอนนี้เราคงเลือกที่จะฆ่าคนแคระทั้งหมดพวกนี้แทนการกลืนลูกตาดิบ ๆ ไปแล้ว ถึงกระนั้นเค้กครีม….มันไม่ซ้ำซ้อนไปหน่อยหรอกเหรอ … บ้าเอ้ย! คนแคระที่มีขนที่ติดอยู่บนหัวจะต้องชอบรางวัลที่กำลังทำให้หัวเราะนี้พอตัว ดูเหมือนว่าการหลอกลวงจะมีประโยชน์มากกว่าการกระทำการรุนแรงในการรับมือกับมนุษย์ถ้ำที่ขาดสติปัญญา…”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง ผู้นำของชาวพื้นเมืองก็กำลังเต้นรำอย่างมีความสุขขณะที่เขาหยิบเค้กช็อคโกแลตขนาด 9 นิ้วที่ส่งมาจากบันไดช่วงล่างจากฟยอดน่า จมูกของเขาดึงดูดกลิ่นหอมหวานอย่างต่อเนื่อง
“อาหาร! นี่เป็นอาหารอันศักดิ์สิทธิ์ที่แสนอร่อย! มันเป็นของขวัญจากเรือลำใหญ่ มันกินได้ มันกินได้ … ” เมื่อฟยอดน่าเห็นการแสดงออกของผู้นำชาวพื้นเมืองเขาก็ชี้ไปที่ปากของเขาและแสดงสีหน้าสนุกสนานขณะเคี้ยว
หัวหน้าชาวพื้นเมืองนำลิ้นคล้ายงูแดงบาง ๆ ยาวเหยียดออกมาเลียเค้กบนมือของเขาด้วยความลังเล ดวงตาของเขาสว่างขึ้นทันใดเมื่อความประหลาดใจปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็ไม่ได้ลิ้มรสเค้กด้วยตัวเองอีกต่อไป แต่ใช้มือของเขาซึ่งเต็มไปด้วยเลือดเหนียว ๆ ของนักฟุตบอลคนแคระผู้ชนะเกมถือกลับไปให้ชาวพื้นเมืองก่อนที่จะแบ่งปันความอร่อยที่พระเจ้าประทานมาให้กับคนอื่น ๆ
เค้กครีมขนาด 9 นิ้วเรียงรายไปด้วยผู้คนหลายร้อยคนเนื่องจากพวกเขาพลัดกันเลียชิมรสชาติอันน่าประหลาดใจ เมื่อนับเวลาและตระหนักได้ว่าพวกเขาเสียเวลาไปนานแค่ไหนแล้วกัปตันที่รู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจชาวพื้นเมืองของเกาะได้เป็นอย่างดีในที่สุดก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงสงบสุข “เอาล่ะ! ตอนนี้เราสามารถไปหาไม้ในป่าได้แล้ว ระวังด้วยทุกคน อย่าเดินไปไกลเกินและอย่าวิตกกังวลในการเริ่มต้น…”
ภายใต้คำเตือนของฟยอดน่า ลูกเรือและผู้โดยสารของเรือก็เริ่มขยับตัวกันอย่างระมัดระวังโดยข้ามกลุ่มชาวพื้นเมืองไปก่อนที่จะเริ่มหาฟืนและหยิบกิ่งไม้ที่ร่วงหล่น
คนแคระพื้นเมืองที่ถูกจับจองในรสชาติของช็อคโกแลตครีมไม่มีใครสนใจเรื่องพฤติกรรมลับ ๆ ล่อ ๆ ของชาวโลกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกลายเป็นหาดทรายแหลมคมที่แปลกประหลาดบนเกาะซึ่งในไม่ช้าก็ได้สอนบทเรียนเล็ก ๆ แก่ผู้คนที่เก็บไม้อย่างไม่หยุดยั้ง
“อา! อึก! มือของฉันได้รับบาดเจ็บ! ทำ …ทำไมกิ่งไม้ถึงแหลมคมมากขนาดนี้…” ชายหนุ่มชาวนิวยอร์กคนแรกที่เดินไปตามขอบของป่าที่งอเข่าลงเพื่อคว้ากิ่งไม้หักจากพื้นดินตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เขาโยนกิ่งไม้ออกไปด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีและมองดูฝ่ามือของตัวเองอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็รู้ว่าไม่ใช่กิ่งไม้ที่ทำร้ายเขาแต่เป็นเศษทรายที่ติดอยู่บนกิ่งไม้ด้วยความช่วยเหลือของลมและฝนนี้ต่างหาก เมื่อมันถูกจับอย่างแน่นหนา มันได้กรีดบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงบนมือของเขา “ระวังกันด้วยนะ ทรายบนโลกนี้แหลมคมมากทีเดียว! มันจะเฉือนนิ้วพวกนายเอาได้ถ้าเผลอไปจับมันอย่างไม่ระวัง”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากชายหนุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บ กัปตันก็หยิบเม็ดทรายจากพื้นขึ้นมาตรวจสอบ เขาตะโกนออกมาดัง ๆ ด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “ทรายบนพื้นแหลมคมมาก มันจะดีกว่าถ้าทุกคนถอดเสื้อกันหนาวออกไปพันมือก่อนหยิบไม้ขึ้นมา แฮร์รี่ ไปบอกทุกคนบนเรือให้ฉีกผ้าปูโต๊ะออกเป็นแถบ ๆ โดยมีขนาดกว้าง 2 นิ้วแล้วส่งลงมาให้พวกเรา หลังจากเรารวบรวมไม้ไว้ใต้เสาหินได้แล้วเราจะพันมือกันก่อนที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อทำงานต่อไป”
เมื่อฟยอดน่าออกคำสั่งของเขาเสร็จ หญิงสาวที่รู้สึกเบื่อหน่ายบนเรือเริ่มก็มีบางสิ่งบางอย่างให้ทำบ้างแล้ว พวกเธอเริ่มกรีดผ้าปูโต๊ะผืนใหญ่โดยใช้มีดอาหารและกรรไกรตัดแบ่งผ้าขาวออกจากกันด้วยความสามารถทั้งหมดที่พวกเธอมีก่อนที่มันจะกลายเป็นแถบผ้าตามคำสั่งของกัปตัน
จางลี่เฉินกำลังนั่งอยู่กับชายชราอีก 20 ถึง 30 คนที่มีเด็กผู้หญิงอยู่รอบตัว เขาถอดผ้าออกโดยไม่ละสายตาไปจากคนแคระพื้นเมืองที่ยังคงเพลิดเพลินกับอาหาร
“ลี่เฉิน ทำไมกัปตันถึงขอให้เราฉีกผ้าแบบนี้ล่ะ?”
“ทรายบนเกาะนี้แหลมคมมากราวกับเศษแก้ว พวกเขาต้องห่อมือเพื่อไม่ให้มันทำร้ายตัวพวกเขาเมื่อย้ายท่อนไม้”
“อ้อ เข้าใจแล้ว แล้ว…นายคิดว่าคนพื้นเมืองจะกลายเป็นศัตรูและโจมตีเราหลังจากกินเค้กช็อคโกแลตของเราเสร็จแล้วหรือเปล่า?”
“ผมไม่รู้ เราควรไปถามทริชเกี่ยวกับเรื่องนี้แทน ดูเหมือนว่าเธอจะมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความคิดของมนุษย์ถ้ำเหล่านี้ที่เชื่อในศาสนาดั้งเดิม” จางลี่เฉินมองไปทางเด็กสาวผมสีแดงและตอบอย่างตั้งใจ
“มันไม่ใช่ว่าฉันมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความคิดของมนุษย์ถ้ำที่เชื่อในศาสนาดั้งเดิม มันเป็นเพียงเรื่องที่ฉันได้ยินมามากมายจากมิชชันนารีคาทอลิกเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ในเรื่องราวเหล่านั้น ไม่ว่าผู้นอกรีตเหล่านี้จะดูดีแค่ไหนแต่พวกเขาก็จะเผยให้เห็นถึงด้านที่ดุร้ายของพวกเขาเหมือนปีศาจในท้ายที่สุด” ทริชกระซิบ
“มันไม่เหมือนกับที่เรากำลังขอให้พวกเขาเปลี่ยนศาสนาของพวกเขา! เราแค่ตัดไม้ 2 – 3 ชิ้น…”
“และกำลังทำลายวัตถุทางศาสนาตามใจเราเอง! บ้าเอ้ย! เราลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน!” สีหน้าหวาดกลัวถูกแสดงออกผ่านใบหน้าของจางลี่เฉินขึ้นมาฉับพลัน อย่างไรก็ตาม เมื่อรถไฟแห่งความคิดเปลี่ยนเส้นทางในไม่ช้าเขาก็สงบลงอีกครั้ง “จริง ๆ แล้วมันก็ดีเหมือนกัน! เป็นโอกาสของเราที่จะหลบหนีจากอันตรายที่ยิ่งใหญ่นี้ได้หากมีคนแบ่งอาหารน้อยลง…”
ในขณะที่ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง กลุ่มแรกของชายหนุ่มชาวนิวยอร์กผู้ห่อมือด้วยแจ็คเก็ตของพวกเขาอย่างระมัดระวังก็ได้เดินออกมาแล้วโยนไม้เข้าไปใต้เสาหินขนาดยักษ์ที่สูงตระหง่าจนเกืบจะถึงก้อนเมฆที่ถูกเปิดเผยในตอนนี้ว่ามันมีความเสื่อมโทรมมากเพียงใด
แม้ว่าพวกเขาจะหาชิ้นส่วนได้เพียงไม่กี่ชิ้นแต่หลังจากที่มีคนหลายร้อยคนเอามาสะสมรวมกันพวกมันก็กลายเป็นท่อนซุงที่สูงเกือบครึ่งเมตรได้
ทันทีที่มีการสร้างเสาเข็ม กะลาสีที่รับผิดชอบในการจุดระเบิดก็เทน้ำมันเบนซินลงไปเพื่อจุดไฟ เมื่อเห็นไฟเริ่มโชติช่วงขึ้นมา ผู้คนที่กำลังมองหากิ่งไม้ใต้เรือก็เริ่มปลดปล่อยความตื่นเต้น
ตรงกันข้ามกับกองเชียร์ที่มีความสุขของลูกเรือและผู้โดยสารของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ คนแคระที่เห็นกองไฟโหมกระหน่ำอยู่ใต้เสาขนาดใหญ่บนมหาสมุทรในระยะไกลกลับกลายเป็นความหวาดกลัวขึ้นมาแทน
ผู้นำของชาวพื้นเมืองวิ่งตรงไปยังฟยอดน่าพลางตะโกนเสียงดัง อย่างไรก็ตามคนแคระคนอื่น ๆ ไม่เต็มใจที่จะอยู่ข้างหัวหน้าผู้ซึ่งถูกหลอกโดยพวกแปลกประหลาดอีกต่อไป นี่เป็นโอกาสอีกครั้งในการแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า
ด้วยแรงเตะที่ส่งออกมา คนแคระแข็งแกร่งที่อยู่ข้างหลังเขาซึ่งแต่เดิมเต็มไปด้วยความเคารพหัวหน้าเพิ่งทำการเตะเขาลงไปที่พื้น มันใช้เวลาไม่นานสำหรับคนน่าสงสารที่จะถูกเหยียบย่ำโดยเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ที่โกรธเคืองของเขาหลายร้อยคน