ฟยอดน่าที่สังเกตเห็นว่าพฤติกรรมของคนแคระแปลกไปที่จู่ ๆ ก็มีความขัดแย้งกันเองเกิดขึ้นทำให้เขารู้ตัวว่ามีบางอย่างกำลังผิดปกติ ด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี เขาตะโกนออกไปว่า “คนแคระอาจโจมตีพวกเราได้! กะลาสี เก็บบันไดช่วงล่างขึ้นไปทันที! หน่วยรักษาความปลอดภัย เตรียมพร้อมในการยิง! ลูกเรือที่ถือขวานให้ยืนอยู่แถวหน้า! ผู้ที่ไม่มีอาวุธติดตัวให้ออกหากิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเพื่อป้องกันตัวเอง!”
วิธีการของกัปตันได้มาถึงจุดสำคัญอย่างไม่คาดคิด! น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ที่เขาสั่งการไม่เคยพบเจอกับปัญหาใด ๆ มาก่อน มันยากมากที่ชายหนุ่มในเมืองจะตอบสนองต่อคำสั่งได้อย่างถูกต้องในสถานการณ์ที่แยกย้ายกันไปอย่างสมบูรณ์และอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลาย
ขณะเดียวกัน ชาวพื้นเมืองที่เลิกจากการรุนตีหัวหน้าเผ่าแล้วก็รีบวิ่งเข้าหากลุ่มชายหนุ่มที่อยู่ใต้เสาหินในมหาสมุทรพร้อมร้องตะโกน “อู้ว อู้ว” ราวกับสัตว์ป่า ชายหนุ่มที่กำลังสับสนทำให้ไม่มีใครหยิบกิ่งไม้ที่กำลังโหมไปด้วยไฟขึ้นมาสู้กับคนแคระเลยสักราย หลังจากถูกทำให้มึนงงไปครู่หนึ่งพวกเขาก็เริ่มต่อสู้กับคนแคระด้วยมือเปล่าหลังถูกกลุ่มคนแคระเข้าโจมตี
ชายหนุ่มที่มีสุขภาพสมบูรณ์และมีความสูงเฉลี่ย 180 เซนติเมตรต่อสู้กับคนแคระที่มีความสูงที่สุดแค่เพียง 130 เซนติเมตรในทางทฤษฎีแล้วพวกเขาควรเป็ยฝ่ายได้เปรียบเช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก
อย่างไรก็ตามความจริงนั้นกลับตรงกันข้ามไปโดยสิ้นเชิง เทคนิคการฆ่าของคนแคระไร้ความปราณีและมีประสิทธิภาพกว่ามาก ร่างกายหนา ๆ ทำให้พวกเขาสามารถฆ่าชายหนุ่มที่กำลังกลัวหัวหดได้อย่างรวดเร็ว
นอกเหนือจากคนแคระ 2 คนที่ถูกรัดคอจนเสียชีวิตไปโดยลูกเรือ 2 – 3 คนที่ต่อสู้ด้วยการระเบิดสัญชาตญาณตามธรรมชาติของตัวเองในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังเมื่อความตายใกล้เข้ามาแล้วก็ไม่มีใครพบร่องรอยบาดเจ็บที่ส่วนอื่น ๆ อีกเลย
ชายหาดที่ปกคลุมไปด้วยทรายหยาบราวกับมีดโกนหนวดเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มหลายสิบคนยุ่งเหยิงจนปรากฏเป็นแผลเล็ก ๆ ตามตัวหลายแห่ง
คนแคระเลียเลือดที่ออกจากใบหน้าของชายหนุ่มอย่างที่พวกเขาเลียเค้กช็อกโกแลตครีมเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาจ้องเขม็งด้วยความโกรธพร้อมการแสดงออกอย่างโหดร้ายไปที่ทหารยามและลูกเรือที่ค่อย ๆ ถอยกลับไปที่ชายป่า หน่วยรักษาความปลอดภัยและลูกเรือเหล่านี้รีบวิ่งไปช่วยเหลือเด็ก ๆ ก่อนจะตระหนักได้ว่าพวกเขามาไม่ทันเวลาเสียแล้ว
ความเหี้ยมโหดของคนแคระพื้นเมืองยิ่งทำให้ทุกคนเกิดอาการหวาดกลัวจนตัวสั่น จางลี่เฉินเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ผ้าห่มปิดกั้นแสงอาทิตย์พร้อมพึมพำมองดูด้วยความสนใจ “ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งและขนาดของร่างกายจะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดเลยทำให้คนแคระเป็นฝ่ายชนะในการสังหารหมู่ครั้งนี้ หลังจากชาวพื้นเมืองเหล่านี้เดือดดาลกันอย่างเต็มที่แก่ความเชื่อที่มีในใจของพวกเขา ระดับความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่คาดคิดก็พรั่งพรูออกมาจากคนพวกนั้นอย่างน่าหวาดกลัว ก็ดีแล้วที่เราคิดแบบนั้นได้ทันเวลาซะก่อน ยิ่งพวกนั้นโกรธแค้นมากเท่าไหร่กำไรที่เราจะได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเมื่อต้องออกตามล่าในภายหลัง … ”
“ลี่เฉิน ชาวพื้นเมืองพวกนี้โหดร้ายเกินไปแล้วนะ! นี่นายจะไม่ลงไปช่วยพวกเขาหน่อยเลยเหรอ!”
“ทีน่า ที่นี่ไม่ใช่โลกที่เราเคยอยู่ ใครจะไปรู้ว่าเราจะสามารถกินสัตว์ พืชหรือผลไม้บนโลกนี้ได้ไหม ยิ่งระยะเวลาในการดำเนินการการขยายตัวทางความร้อนและการหดตัวเพื่อทำลายเสาหินนานขึ้น เราก็มีโอกาสเจอกับความยากแค้นมากขึ้นตาม ด้วยเหตุนี้เราจำเป็นต้องมีอาหารเหลือไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จำเป็น…”
“มีอาหารเหลือไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จำเป็น? นี่นาย…นายหมายถึงให้พวกเรามองดูพวกเขาตายไปต่อหน้าอย่างนั้นเหรอ?!”
“ใช่ ผมทำได้แค่ยืนมองดูพวกเขาล้มตายไปก็เท่านั้นทีน่า ผมพูดไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ใช่พระเจ้า! ผมต้องปกป้องชีวิตของทริช ชีล่า คุณและตัวผมเองเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น” คำอธิบายของจางลี่เฉินคือความจริงสูงสุดที่ไม่อาจปฏิเสธไปได้
ทริชผู้อยู่ข้าง ๆ กระซิบ “ลี่เฉิน ทางเลือกของนายนั้นถูกต้องแล้วหากมองจากธรรมชาติของมนุษย์ แต่การเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงการเดินทางระยะสั้น ๆ เชื้อเพลิงของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ไม่เพียงพอที่จะทำให้ห้องเย็นคงอยู่บนเรือได้นานขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้แม้ว่าทุกคนที่อยู่ใต้ท้องเรือจะตายแต่อาหารก็จะไม่ถูกรักษาเอาไว้ได้เช่นกันเนื่องด้วยอุณหภูมิของการจัดเก็บ ในกรณีนี้มันจะมีประโยชน์สำหรับเรามากกว่าถ้าหากฝั่งเรามีคนมากกว่า”
ในขณะที่หญิงสาวกำลังพูดอยู่นั้น คนแคระก็เริ่มไล่ฟันและเริ่มโจมตีชาวโลกที่ยืนอยู่ทางขอบป่า เมื่อเสียงปืนดังกึกก้องอาวุธขั้นสูงก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงพลังร้ายแรง
เมื่อร่างกายที่ยากลำบากของชาวพื้นเมืองถูกปืนไรเฟิลโจมตี แม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้เกิดการฉีกขาดที่น่ากลัวแต่ก็สามารถเจาะทะลุผ่านผิวหนังไปได้อย่างง่ายดาย ในสภาพแวดล้อมที่อยู่ในระยะใกล้ทำให้พวกเขายิงโดนตัวได้อย่างแม่นยำ เจ้าหน้าที่ของเรือสามารถฆ่าชาวพื้นเมืองได้ทุก ๆ 1 นัดที่ยิงออกไป
สำหรับกะลาสีที่กำลังถือขวานยาว ถึงแม้ว่าการโจมตีของพวกเขาจะไม่ทรงพลังเท่ากับหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ใช้ปืนไรเฟิล แต่ขวานอันแหลมคมก็สามารถเฉือนร่างกายชาวพื้นเมืองได้อย่างง่ายดายเหมือนกับการตัดเนยทาขนมปัง อาศัยความช่วยเหลือจากอาวุธที่ทรงพลังทันใดนั้นชาวโลกก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับการต่อสู้ที่วุ่นวายเป็นครั้งแรก
น่าเสียดายที่เหล่ากะลาสี หน่วยรักษาความปลอดภัยและลูกเรือที่ถืออาวุธยังมีข้อจำกัดอยู่มากเมื่อเทียบกับจำนวนคนแคระที่มีหลายร้อยคน คนแคระที่มีความรุนแรงซึ่งไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดค่อย ๆ ทยอยพลิกสถานการณ์กลับขึ้นมาอีกครั้ง
เช่นเดียวกับคนที่อยู่บนเรือที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง จางลี่เฉินที่นั่งอยู่บนดาดฟ้าและคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนในทันใด
เขาพันผ้าห่มรอบ ๆ ไหล่ของเขาก่อนจะกระซิบกับ 3 สาวข้าง ๆ “ผมขอเตือนพวกคุณอีกครั้ง ถ้าพวกคุณกลัวก็ให้ปิดตาเอาไว้จะดีซะกว่า” จากนั้นเขาก็พึมพำคำที่จับไม่ได้ความออกมา
ไม่กี่วินาทีต่อมาบนสนามรบทางลาดบนเขา คนแคระ 2 – 3 คนที่งอร่างกายของตัวเองขณะขยับไปทางซ้ายและทางขวาอย่างว่องไวเหมือนกับตอนที่พวกเขาทำในตอนออกล่า ทันใดนั้นเองก็เหมือนกับว่าทั้งเนื้อและเลือดของพวกเขาถูกดูดออกไปโดยอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น พวกเขาทรุดตัวลงไปกับพื้นอย่างไร้เหตุผลก่อนจะเปลี่ยนเป็นกองผิวหนังที่เหี่ยวแห้ง
ต่อมาคนแคระอีก 2 – 3 คนก็มีรอยแผลขนาดใหญ่และมีเลือดปนออกมาจากทางด้านหลัง แม้แต่กระดูกสันหลังและอวัยวะภายในสีชมพูของพวกเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยผิวหนังก็ถูกเปิดเนื้อออกก่อนที่พวกเขาจะล้มลงไปบนพื้นเพื่อดิ้นรนอยู่สักครู่และในที่สุดก็ถึงขั้นเสียชีวิตจากการเสียเลือดมากเกินไป …
เมื่อเลือดไหลออกมาตามข้างหลัง จิ้งจกยักษ์ตัวเรียวยาวก็ปรากฏตัวขึ้นพลางอ้าปากกว้าง ๆ ก่อนจะโผเข้าหาคนแคระที่อยู่ไม่ไกลถัดไป
ขณะเดียวกันเสียงที่น่ากลัวของสัตว์ร้ายที่พ่นเสียงออกมาว่า “ฮู้ววววว…..” ก็ดังกึกก้องออกมาจากทางมหาสมุทร
พื้นผิวของมหาสมุทรที่แต่เดิมสงบนิ่งแต่ในตอนนี้กลับมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
จระเข้ยักษ์ตัวหนึ่งที่มีลำตัวยาวประมาณ 40 ถึง 50 เมตรซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับเรือยอชท์ค่อย ๆ โผล่หัวออกมาจากคลื่นใต้น้ำพลางร่อนแขนขาทั้งสี่ออก ดูเหมือนว่ามันกำลังคืบคลานเข้าชายฝั่งด้วยความเร็วที่อาจดูช้าแต่คือว่าเร็วมากพร้อมกับการปากเปิดกว้าง ๆ ก่อนจะพุ่งเข้าหาคนแคระที่อยู่ทางขอบป่า
จระเข้ยักษ์ได้ทำการเหยียบทับตัวคนแคระและหั่นเนื้อคนพวกนั้นออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงบนพื้นดิน
“นั่น…นั่นมันจระเข้หรือเปล่าน่ะ? ดูที่ปากมันสิ มันต้องเป็นจระเข้แน่ ๆ! ลี่เฉิน นั่นเป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของนายหรือเปล่า?” จระเข้ยักษ์ที่กำลังฆ่าและกลืนกินเหล่าคนแคระหลายร้อยคนไปในเวลาเพียงไม่กี่นาทีพร้อมกับเกาะมังกร ทีน่าอ้าปากค้างขณะเอ่ยถามพลางชี้ไปที่โครโคดราก้อน
“ใช่” จางลี่เฉินผู้ซึ่งรู้สึกว่าไม่มีพลังอำนาจพ่อมดในเนื้อและเลือดของเขามากพอพยักหน้ารับ ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองหญิงสาวผมแดงข้าง ๆ “ทริช คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าเมื่อผู้ศรัทธาที่เชื่อในตัวผู้พิทักษ์ของเขาอย่างมาก เวลาที่ถูกฆ่าโดยสัตว์ประหลาดทำไมถึงไม่มีความโกรธและความกลัวในแง่ลบออกมาบ้างเลย?”
หญิงสาวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาอย่างพร่ามัว “ผู้ศรัทธาที่แท้จริงจะไม่รู้สึกโกรธหรือกลัวหากพวกเขาได้อุทิศตนแด่พระเจ้า”
“อ้อ เข้าใจแล้ว” จางลี่เฉินที่ได้รับผลกระทบอย่างมากพยักหน้าเข้าใจ เขาควบคุมให้จิ้งจกตัวใหญ่ปกปิดร่างกายตัวเองหลังจากที่โครโคดราก้อนใช้หางหนา ๆ ที่มีความยาวมากกว่า 10 เมตรเพื่อทำลายต้นไม้ไปจำนวนนับไม่ถ้วนก่อนจะสั่งให้มันค่อย ๆ พุ่งตัวกลับลงมหาสมุทรและจมหายไป
มนุษย์ที่อยู่ใต้ท้องเรือที่ได้รับการช่วยเหลือจากสัตว์ร้ายตัวยักษ์ที่ปรากฏออกมาจากที่ไหนไม่รู้กำลังพากันตกใจอยู่เงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดก็มีใครบางคนก็ร้องไห้ออกมา “อา…ฮึก…” ก่อนจะทรุดตัวลงไปกับพื้น
เมื่อเหตุการณ์เริ่มสงบกัปตันสูงวัยก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “พวกเรารอดแล้ว! สัตว์ประหลาดสองตัวนั้นฆ่าคนแคระทั้งหมดแต่ไม่ทำอันตรายต่อพวกเราเลยสักนิด ไม่เพียงแค่นั้น พวกมันยังทำลายต้นไม้จำนวนมากให้เราไว้ด้วย! พวกมันต้องเป็นผู้ส่งสารจากพระเจ้ามาช่วยพวกเราแน่ ๆ! พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราเสมอ! เขากำลังเฝ้าดูและปกป้องพวกเราจนกว่าพวกเราจะกลับสู่โลกแห่งอารยธรรมของนิวยอร์กได้! ชายหนุ่มทั้งหลายจงลุกขึ้น! ขจัดความโศกเศร้าและความกลัวที่ได้สูญเสียเพื่อนของเราไปครู่หนึ่งแล้วเริ่มทำงานกันอีกครั้ง! แฮร์รี่ นำลูกเรือ 2 – 3 คนพาเพื่อนของเราที่ถูกชาวพื้นเมืองฆ่าไปยังเสาหินเพื่อที่พวกเขาจะได้ถูกเผาอย่างถูกต้อง ทำความสะอาดใบหน้าและมือของพวกเขาและทิ้งเสื้อผ้าไว้ข้างหลังเพื่อเป็นการระลึกถึง ปล่อยให้พวกเขามองดูโทเท็มของพวกคนชั่วเหล่านั้นและเฝ้ามองท้องฟ้าด้วยดวงตาของพวกเขาด้วยร่างกายที่สะอาด…”
ในขณะที่กัปตันกำลังจัดเรียงคำพูดของเขาอย่างชาญฉลาดและเปลี่ยนคนตายให้กลายเป็นเชื้อเพลิงที่ลุกโชติช่วง จางลี่เฉินก็พูดพึมพำบนดาดฟ้าของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ว่า “ผมคิดว่าพวกเขาคงรู้แล้วว่าความน่ากลัวที่ไม่รู้จักนั้นน่ากลัวมากเพียงใด” จากนั้นเขาก็ยกผ้าห่มมาบังแดดและกลับมานั่งลงอีกครั้ง
“สัตว์ร้ายสองตัวนั้น…จ… จระเข้ยักษ์ นั่นคือ…” มันเป็นช่วงเวลาที่ในที่สุดชีล่าก็กลับมาสู่แห่งความเป็นจริง เธอชี้ไปที่จางลี่เฉินอย่างสับสน เธอยังคงพูดติดอ่างราวกับว่าเธอกำลังหายใจไม่ออก
“เบาเสียงหน่อยชีล่า” ทีน่าปิดปากเพื่อนสนิทของเธอและกระซิบ “ตอนนี้เธอได้เห็นด้วยตาของเธอเองแล้วเพราะงั้นเธอก็รู้แล้วสินะว่าทำไมทริชกับฉันถึงลากให้เธออยู่ติดกับลี่เฉินเขาตั้งแต่แรกแบบนี้”
“ตะ… แต่นี่คือความแข็งแกร่งของมนุษย์จริง ๆ น่ะเหรอ? จริง ๆ แล้วเขาควบคุมสัตว์ร้ายพวกนั้น บ้าที่สุด! แม้ว่าฉันจะเห็นพวกนั้นกลืนคนแคระและพวกนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะ…” ชีล่าพูดติดอ่างจนจับใจความไม่ได้
“ซูเปอร์แมนสามารถชนดาวเคราะห์ที่พุ่งเข้าหาโลกเป็นชิ้น ๆ ได้เพื่อปกป้องโลก อาจกล่าวได้ว่าลี่เฉินเองก็เป็นเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ที่อาจจะดูเย็นชาและหยิ่งผยองไปเล็กน้อยแต่เขาก็ใจดีมากเหมือนกับไอรอนแมน” ทีน่าตอบกลับอย่างมั่นใจ
“โอ้ เป็นอย่างนั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าแม้ว่าเราจะไม่สามารถกลับไปยังนิวยอร์กได้แต่อย่างน้อยเราก็ยังสามารถรวมกลุ่มกับคนแคระและกลายเป็นหัวหน้าเผ่าหรืออะไรทำนองนั้นได้ใช่ไหม? แม้ว่าเราจะไม่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าฤดูร้อนที่ออกแบบโดยละติน มัวร์หรือกินสเต็กย่างที่ร้านอาหารคอมมอนเทิลได้แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็จะไม่ถูกทำเป็นอาหารของชาวพื้นเมืองเหล่านั้น … ”
“หยุดพูดแบบนั้นได้แล้วชีล่า ฉันไม่ต้องการมีชีวิตอยู่บนเกาะร้างนี้ตลอดไปหรอกนะ! เราจะต้องได้กลับไปแน่นอน! เราสามารถกลับนิวยอร์กกันได้! ใช่ไหมลี่เฉิน?”
“เราน่าจะกลับไปได้ถ้าเรากลับไปตามเส้นทางที่เราจากมา ไม่ต้องกังวลทีน่า คุณจะได้กลับไปนอนที่บ้านเพื่อนึกถึงการเดินทางที่น่าตื่นเต้นครั้งนี้หลังจากผ่านไปแล้วหลาย 10 ชั่วโมง” จางลี่เฉินปลอบประโยนเหล่าหญิงสาวที่กำลังแตกตื่น
ในความเป็นจริงเขาไม่มั่นใจในเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์นี้เลยว่าจะสามารถกลับนิวยอร์กได้แม้ว่าจะเดินทางไปตามเส้นที่จากมาแล้วก็ตาม ในขณะที่เขามองดูฝูงชนที่เริ่มดึงสภาพจิตใจตัวเองกลับมาได้และเริ่มกลับมาแบกฟืนกันอีกครั้งภายใต้การสนับสนุนของกัปตัน จางลี่เฉินถอนหายใจออกมาอย่างเงียบ ๆ และเริ่มฉีกผ้าปูโต๊ะเป็นแถบยาว ๆ อีกครั้ง