ตอนที่ 130

The Great Worm Lich

ในเวลานี้ เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารและลูกเรือคนอื่น ๆ ถูกครอบงำโดยความเศร้าและความหวาดกลัว ฟยอดน่าเคลื่อนตัวเดินนำจากป่าไปยังชายฝั่งและจากชายฝั่งกลับไปที่ป่าเหมือนหุ่นยนต์อีกครั้งเพื่อหาฟืนเข้ากองไฟพร้อมกับการเผาร่างผู้ที่เสียชีวิต

 

ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่ต้นเรือแนะนำให้เขาหยุดพักกัปตันจะกระซิบตอบอยู่ตลอดขณะที่เดินไปมาไม่หยุดหย่อน “ฉันจะไม่หยุดพักเด็ดขาด! ตอนนี้ทุกคนกำลังมองมาที่ฉัน ตราบใดที่ชายสูงวัยคนนี้ยังเคลื่อนไหวได้คนหนุ่มสาวทั้งหลายจะยิ่งมีกำลังใจและฝืนทนกลั้นอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น ฉันไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาคิดมากเกินไปในตอนนี้ได้ ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้พวกเราจะตายกันหมดถ้ามีคนแคระกลุ่มอื่นมาพบเจอหรือถ้าสัตว์ประหลาด 2 ตัวที่กินคนแคระทั้งหมดไปกลับมาหิวอีกครั้ง! เรามีโอกาสหนีรอดเพียงครั้งเดียว ซึ่งก็คือคืนนี้ คืนนี้เท่านั้น!…” ฟยอดน่าเน้นย้ำคำตอบเดียวกัน 7 – 8 ครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

โดยไม่รู้ตัว ค่ำคืนที่เขาเฝ้ารอก็มาถึง ด้วยสถานการณ์ที่ดูไม่เป็นใจและความแข็งแกร่งของกัปตันที่ออกคำสั่งให้หนุ่มสาวชาวนิวยอร์กที่ไม่เคยทนทุกข์ทรมานจากที่ไหนมาก่อนขึ้นมาเป็นอาสาสมัครด้วยความดื้อรั้นที่เขาเองก็นึกไม่ถึง การใช้ใช้แรงที่นานกว่า 10 ชั่วโมงได้สอนให้พวกเขากลายเป็นคนที่อดทนต่อสิ่งต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น

 

ตอนนี้สาว ๆ ที่อยู่บนเรือและชายชรารักสบายที่มีไหวพริบต่างก็พร้อมใจกันพาไปที่ชายฝั่งเพื่อหาฟืนมาเสริมให้กับกองไฟหลังจากผ้าปูโต๊ะทั้งหมดถูกฉีกเป็นเส้น ๆ จนหมด แม้แต่ผู้อำนวยการบริหาร มิสเตอร์ฮัดเนอร์จากบริษัทชิปปิ้งโอเชี่ยนที่มีความสูงเกือบ 170 เซนติเมตรและน้ำหนักที่เกิน 230 ปอนด์ก็พร้อมที่จะมอบความช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วย

 

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เลยพลอยทำให้จางลี่เฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าร่วมหาฟืนกับฝูงชนเพื่อไม่ทำตัวโดดเด่นจนเกินไป

 

หลังจากค้นพบกระเป๋าเป้สะพายหลังและใส่เมานท์โทดลงไปข้างในเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินเข้าไปในป่าเพียงลำพัง เขารู้ว่าต้นไม้ที่นี่เป็นมีความฉ่ำมากกว่าป่าฝนบนโลกแต่ไม่ค่อยมีต้นไม้ที่มีความสูงมากกว่า 10 เมตรเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นกิ่งก้านที่ทั้งแห้งและเหี่ยวมากมายก็กระจายอยู่ทั่วพื้นเต็มไปหมด ดูเหมือนว่าวงจรการขยายพันธุ์พืชบนโลกนี้จะสั้นและใช้เวลาที่ค่อนข้างนานในการเติบโต

 

การเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวาหมายถึงต้นไม้จะมีน้ำมันภายในเป็นจำนวนมาก หากปริมาณน้ำมันในไม้สูงก็หมายความว่ามันจะสามารถสร้างอุณหภูมิที่สูงยิ่งขึ้นเมื่อถูกเผาไหม้ได้ ด้วยความช่วยเหลือของฟืนจำนวนมากที่ถูกเผาอยู่ใต้เสาหินยักษ์ กองไฟจะสามารถเผาไหม้ด้วยความร้อนที่เดือดดาลได้แม้จะมีความสูงของไฟเพียงไม่กี่เมตรก็ตาม หากใครสามารถทนความร้อนและสังเกตอย่างระมัดระวังอยู่ข้าง ๆ ได้ก็จะเห็นว่าเสาหินในกองไฟเริ่มเป็นสีแดงจาง ๆ และอ่อนตัว

 

นอกเหนือจากเสียง “แกร่ก แกร่ก แกร่ก … ” เมื่อไม้สด ๆ ถูกโยนลงไปในกองไฟก็ไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยินบนชายฝั่งอีกเลย จนกระทั่งเมื่อดวงจันทร์บนต่างโลกขึ้นมาแทนที่ดวงตะวันซึ่งเกือบจะเหมือนกันทุกประการกับของบนโลกได้ลอยตัวสูงขึ้นมาถึงจุดศูนย์กลางทันใดนั้นคลื่นก็เตรียมพลุ่งขึ้นจากมหาสมุทร

 

“กระแสน้ำกำลังเพิ่มระดับแล้ว! มันกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว” ฟยอดน่าผู้ที่คอยให้ระดับน้ำขึ้นอย่างใจจดใจจ่อในที่สุดก็เริ่มระบายยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าพร้อมกับเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาตัวเซเล็กน้อยในขณะพยายามลุกขึ้นยืนก่อนจะตะโกนออกไปด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี “ทุกคน โยนไม้ในมือของตัวเองลงไปในกองไฟแล้วรีบขึ้นเรือทันที มันกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว…”

 

ภายใต้การเรียกร้องของกัปตัน กระแสน้ำในมหาสมุทรก็ค่อย ๆ กระเพื่อมมากยิ่งขึ้น ทันใดนั้นป่าที่อยู่ห่างไกลออกไปก็กลับมาสว่างไสวขึ้นอีกครั้งด้วยคบเพลิงที่ปรากฏขึ้นเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนดวงไฟก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดดวงไฟก็ปรากฏตัวยาวเป็นหางว่าวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันกำลังพุ่งเข้าหาทางชายฝั่ง

 

เมื่อนึกถึงความสยองขวัญของคนแคระพื้นเมืองในช่วงกลางวันที่ผ่านมา กลุ่มคนที่กำลังเดินขึ้นเรือก็เริ่มเป็นวิตกกังวล

 

“ไม่ต้องกังวลไปทุกคน! แม้ว่าชนพื้นเมืองเหล่านี้จะดูน่าหวาดกลัวแต่พวกเขายังอยู่ห่างไกลจากเรามาก! เมื่อพวกเขามาถึงชายฝั่งพวกเราทุกคนก็ขึ้นเรือกันครบหมดแล้ว ไม่ต้องวิตก ทำตามคำสั่งอย่างช้า ๆ อย่าไปกลัว หายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินช้า ๆ! มันจะต้องไม่เป็นไร!” กัปตันที่ยังคงสงบและนิ่งเงียบ

 

ในช่วงเวลาที่น่าหวดหวั่นเขากลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง ภายใต้การรับรองอย่างปลอบโยน ความวุ่นวายที่แสนอันตรายบนบันไดได้กลับคืนสู่ความสงบในไม่ช้า ผู้คนเริ่มหลั่งไหลกลับขึ้นสู่ดาดฟ้าของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์เป็นระเบียบอย่างต่อเนื่อง

 

เมื่อทุกคนได้กลับขึ้นเรือมาจนครบ บันไดช่วงล่างก็ถูกหดตัวกลับขึ้นมาท่ามกลางเสียงมอเตอร์คำราม ฟยอดน่าซึ่งปีนกลับขึ้นเรือมาเป็นคนสุดท้ายได้สั่งการเจ้าหน้าที่ต้นเรือที่อยู่ข้าง ๆ เขาไปว่า “แฮร์รี่ ฉันจะไปดูแลพวงมาลัยที่ห้องควบคุมเอง จับตาดูพวกเขาเหล่านี้เอาไว้ให้ดี ๆ จำไว้ว่าถ้าเรายังไม่ออกเดินทางและถ้าหากพวกคนแคระมาถึงชายฝั่งเมื่อไหร่อย่าปล่อยให้ใครทำอะไรที่เป็นการยั่วยุคนพวกนั้นเด็ดขาด!”

 

“ครับผม!” เจ้าหน้าที่ต้นเรือตอบกลับอย่างมั่นใจ

 

กัปตันพยักหน้าก่อนจะตบไหล่เจ้าหน้าที่ต้นเรือของเขา “ใช่แล้วแฮรี่! ฉันขอกลับคำพูดที่ฉันบอกว่าฉันมองนายผิดไปเมื่อวานนี้ ทุกคนสามารถทำผิดพลาดกันได้! การทำผิดพลาดไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแต่สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่เต็มใจที่จะกลับตัวกลับใจหลังจากทำผิดไปแล้วนั่นต่างหาก เห็นได้ชัดว่านายไม่ได้เป็นอย่างนั้น”

 

หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็หันหลังกลับและเดินจากไปในทันทีเพื่อตรงไปยังห้องควบคุม

 

เมื่อเวลาผ่านไป ดวงจันทร์ที่สว่างสดใสบนท้องฟ้าก็ค่อย ๆ เอียงองศาขึ้นเรื่อย ๆ คลื่นทะเลในมหาสมุทรก็ค่อย ๆ รุนแรงขึ้นและในท้ายที่สุดมันก็ค่อย ๆ จมเสาขนาดใหญ่บนชายหาด

 

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังทะลุออกมาจากฝั่งป่า ชาวพื้นเมืองหลาย 10 คนกำลังขี่แมลงที่มีร่างกายปกคลุมด้วยขนสีดำ มีลักษณะร่างกายเป็นวงรี มี 8 ขายาวที่แยกออกเป็น 3 ส่วนเหมือนแมงมุมที่ถูกขยายขนาดมาหลายพันครั้ง มันกำลังพุ่งตัวออกมาจากป่าขณะที่ชาวพื้นเมืองเหล่านั้นสวมเสื้อเกราะที่ทำจากหนังสัตว์พร้อมกับถือหอกไม้ที่พื้นผิวดูเรียบเนียนไว้ในมือ

 

เมื่อเทียบกับชาวพื้นเมืองที่ไม่มีอาวุธในระหว่างวันเห็นได้ชัดว่าชาวพื้นเมืองเหล่านี้เป็นสมาชิกของกองทัพในขณะที่ชาวพื้นเมืองที่ไม่มีอาวุธนั้นเป็นเพียงพลเรือน ทันทีที่คนพวกนี้ปรากฏตัวผู้โดยสารต่างพากันสบถและตะโกนไปที่คนแคระด้วยความหวาดกลัว

 

แตกต่างจากชาวโลกที่ตะโกนในลักษณะที่เป็นศัตรู คนแคระที่กำลังขี่แมลงยักษ์เหล่านี้ไม่ได้ปรารถนาที่จะเข้าโจมตีเรือตั้งแต่แรก พวกเขารีบพุ่งเข้าหากองไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ใต้เสายักษ์

 

ณ เวลานี้น้ำยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และด้วยเหตุผลที่ว่ากองไฟนี้มีมนุษย์เป็นเชื้อเพลิงมากมายสำหรับการเผาไหม้ทำให้มันไม่ได้ดับไปตามน้ำทะเลในทันที แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้มันใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว

 

ดูเหมือนว่าแค่เพียง 1 วินาทีก็กลายเป็นความทรมานที่ไม่สามารถอดทนได้สำหรับคนแคระพื้นเมืองที่กำลังวิ่งไปที่ชายหาด พวกเขาถูกกลืนกินไปโดยคลื่นสูงอย่างต่อเนื่องในขณะที่ระดับน้ำกำลังเพิ่มขึ้นหรือถูกเผาไหม้จนตายโดยเสาหินร้อน ๆ

 

ไฟที่กระพริบอยู่ท่ามกลางคนแคระเป็นเหมือนกองไฟที่ดึงดูดแมลงเม่าเข้าสู่ความตายโดยตัวของมันเองขณะที่กองไฟเหล่านั้นกำลังล่อลวงคนแคระให้พุ่งออกมาจากป่าอย่างต่อเนื่อง

 

วิธีที่ชาวพื้นเมืองดั้งเดิมแสวงหาความตายของพวกเขาในลักษณะที่คนมีอารยธรรมไม่อาจเข้าใจได้ดูเหมือนจะน่ากลัวยิ่งกว่าการที่พวกเขาเข้าโจมตีอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์เสียอีก “พวกนั้นบ้าไปแล้ว! คนแคระพวกนี้บ้าไปแล้วจริง ๆ ! พระเจ้า! ได้โปรดเถิดพระเจ้า โปรดช่วยพวกเราด้วย!”

 

“เห้ย! อะไรกันเนี่ย? นี่มันนรกแล้ว! ที่นี่คือนรก!”

 

“ออกเดินทางสิวะ! ทำไมเรือถึงไม่เคลื่อนที่สักที! ไอน้ำก็มากขึ้นแล้วแต่ทำไมเรือยังไม่ขยับ … ” เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของความสิ้นหวังดังขึ้นที่ด้านนอก ฟยอดน่าที่กำลังยืนอยู่ในห้องเพื่อคุมหางเสือจ้องมองหมอกที่ขึ้นมาทางด้านซ้ายของเรือจากหน้าต่าง ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความกังวลแต่เขาก็ยังไม่ออกคำสั่งใด ๆ

 

“เซอร์ คะ…คุณจะยังไม่สตาร์ทเครื่องยนต์หรอครับ? ตอนนี้เรือควรจะอยู่ลึกพอแล้วนะครับ….?” ในบรรยากาศที่ทำให้หายใจลำบากนี้ อเลกซานโดรคนถือหางเสือเรืออดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีไร้ประโยชน์และเอ่ยถามออกไป

 

“อย่าเร่งรีบนักอเลกซานโดร ไอน้ำที่พุ่งขึ้นมาจากมหาสมุทรยังคงมีขนาดใหญ่มาก   ผลกระทบทางกายภาพของการขยายตัวทางความร้อนและการหดตัวยังไม่เสร็จสมบูรณ์! เราต้องรอให้มันเสร็จสมบูรณ์เสียก่อนและปล่อยให้รากฐานของเสาหินเปราะบางมากยิ่งขึ้น…เปราะบางมากขึ้น…เดี๋ยวก่อน…เตรียมตัวได้แล้วเหล่าชายหนุ่ม! การเพิ่มขึ้นของไอน้ำกำลังลดลงในขณะนี้แล้ว! เราไม่มีโอกาสมากนัก … ตอนนี้เลย!”

 

เมื่อฟยอดน่าตะโกนเสียงดัง อลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ก็ค่อย ๆ สตาร์ทเครื่องยนต์จนทำให้เรือส่งเสียง “วู วู… ” เสียงดังและขยับก้มไปข้างหลัง

 

รากฐานของเสาหินยักษ์ทางด้านซ้ายในขณะที่แช่อยู่ในน้ำตอนนี้เต็มไปด้วยรอยแตกขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อครูดไปกับด้านข้างที่ทำให้เกิดเสียงแหลมเจาะหูเสียงไม้ยังคงไม่ยุบและยังคงยึดติดแน่นกับเรือยักษ์ในมหาสมุทร มันไม่อนุญาตให้เรือเคลื่อนที่ได้เลย

 

ความพยายามครั้งแรกของมนุษย์ที่พยายามเอาตัวรอดล้มเหลว เมื่อไฟค่อย ๆ ลดลงคนแคระพื้นเมืองก็รวมตัวกันที่ชายฝั่งในขณะที่เริ่มหันมาสนใจอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์

 

ในเวลานี้กฎน้ำขึ้นน้ำลงที่ไม่เหมือนใครของต่างโลกได้แยกคนแคระออกห่างจางเรือสำราญแล้ว โชคไม่ดีที่ระยะทางนี้ไม่ได้หมายความว่าชาวพื้นเมืองของเกาะจะไม่สามารถสังเวยชีวิตเพื่อความเชื่อของตัวเองได้

 

พวกเขาหลายพันคนมารวมตัวกันเพื่อขับไล่แมลงยักษ์ในหมาสมุทรที่ลอยอยู่บนน่านน้ำ พวกเขาบางคนพยายามว่ายน้ำไปที่เรือและแม้ว่าบางคนจะถูกกระแสน้ำพัดหายไปแต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังค่อย ๆ ว่ายเข้าหาเรือมากขึ้น

 

“คนแคระพวกนั้นเข้าใกล้เรือของเรามากขึ้นแล้ว! หน่วยรักษาความปลอดภัยเตรียมพร้อมสำหรับการป้องกัน! ลูกเรือทั้งหมดที่ถือขวานจะต้องอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมด้วยเช่นกัน! เราไม่รู้ว่าคนบ้าพวกนี้จะปีนขึ้นมาบนดาดฟ้าด้วยวิธีแปลก ๆ ได้หรือไม่ ทุกคนจงมีสติให้ดี! และจะดีกว่านี้ถ้าทุกคนสามารถมองหาอาวุธเพื่อป้องกันตัวเองไว้ได้ จะเป็นเก้าอี้ ขวดไวน์หรืออะไรก็ตามที่สามารถใช้การได้ทั้งหมด!” ณ ดาดฟ้า เจ้าหน้าที่ต้นเรือกำลังตะโกนด้วยเสียงสั่น ๆ เลียนแบบน้ำเสียงของกัปตันในขณะที่เฝ้ามองแมลงขนาดยักษ์จำนวนมากที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เรือบนมหาสมุทรภายใต้แสงจันทร์ที่สว่างจ้า

 

“เราควรทำไงดีลี่เฉิน เราควรจะไปหาเก้าอี้มาป้องกันตัวเองหรือเราควรจะหลบหนีด้วยการใช้เกาะมังกรไปดี? ตะ…แต่ตอนนี้มีคนแคระในมหาสมุทรมากเกินไป…” เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าหน้าที่ต้นเรือ แม้ทีน่าที่เชื่อมั่นในพลังของจางลี่เฉินก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวล

 

ดาดฟ้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและวุ่นวาย จางลี่เฉินที่ยืนอยู่ริมขอบเรือห่อผ้าห่มไว้รอบตัวพลางกระซิบ “ไม่ต้องกังวลทีน่า ไม่นานมานี้เมื่อที่เครื่องยนต์ของเรือเริ่มสตาร์ทผมเห็นเสาหินด้านซ้ายสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่ารากฐานของเสาจะไม่มั่นคงแล้วและผมมีแผนที่จะไล่คนแคระพวกนี้ออกไปได้อย่างรวดเร็ว”

 

“พวกเขาไม่กลัวความตาย แล้วพวกเขาจะหนีไปได้อย่างไร…”

 

“ทริช เหตุผลที่พวกเขาไม่กลัวในตอนนี้ก็เพราะไม่มีใครสอนพวกเขาให้กลัวเลยต่างหาก…” ชายหนุ่มยิ้มและปล่อยหินเยลลี่ลงบนข้อมือของตัวเองก่อนจะยืดมันออกแล้วโอบล้อมนิ้วมือของเขา ปากของเขาขยับเบา ๆ ก่อนที่เขาจะพ่นเลือดสีเข้มออกไปทางมหาสมุทรอย่างเงียบ ๆ ด้วยเสียงเบา ๆ เขากระซิบ “เชื่อมต่อ!”

 

ขณะนั้นเองเรือก็ส่งเสียง “วู วู …” ออกมาอีกครั้ง เมื่อผู้คนบนร่วมใจกันเรืออธิษฐาน อลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ก็เริ่มจมลงน้ำไปด้านหนึ่งก่อนที่มันจะเริ่มถอยหลังได้สำเร็จ

 

คราวนี้เห็นได้ชัดว่าเสาหินทางด้านซ้ายของเรือสำราญสั่นอยู่ครู่หนึ่งแต่น่าเสียดายที่มันยังไม่พังทลายลงมาได้เสียที