บทที่ 1982 – เจ้ามันเลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1982 – เจ้ามันเลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
  เมื่อเธอรับประทานอาหารเสร็จ เธอก็ยังคงไม่พูดจาใดๆ ดวงตาของเธอจดจ่ออยู่ที่ชิงสุ่ยด้วยความแปลกใจ
  การที่หญิงสาวผู้นี้มีวันนี้ได้ก็เพราะภัตตาคารหยกรัญจวน แต่ในตอนนี้ภัตตาคารหยกรัญจวนกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามใหญ่ ถ้าหากชายคนที่อยู่ตรงหน้าเธอตั้งใจจะขยายขอบเขตหอคอยจักรพรรดิ มันจะต้องเข้ามาแทนที่ภัตตาคารหยกรัญจวนได้ในไม่ช้า
  ชิงสุ่ยยังคงนิ่งเงียบ เหมือนรอคอยให้หญิงสาวคนนั้นเริ่มต้นปริปาก เขามั่นใจมากว่าเธอมีอะไรบางอย่างต้องการจะพูด
  “เรื่องนี้มันช่างประหลาดใจยิ่งนัก มีคนบอกไว้เสมอว่าผู้ใดก็ตามที่ทำการค้าเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะต้องเป็นศัตรูกัน หากข้าจะบอกว่าท่านคือศัตรูของข้า มันคงไม่แปลกใจ

  เมื่อเธอรับประทานอาหารเสร็จ เธอก็ยังคงไม่พูดจาใดๆ ดวงตาของเธอจดจ่ออยู่ที่ชิงสุ่ยด้วยความแปลกใจ
  การที่หญิงสาวผู้นี้มีวันนี้ได้ก็เพราะภัตตาคารหยกรัญจวน แต่ในตอนนี้ภัตตาคารหยกรัญจวนกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามใหญ่ ถ้าหากชายคนที่อยู่ตรงหน้าเธอตั้งใจจะขยายขอบเขตหอคอยจักรพรรดิ มันจะต้องเข้ามาแทนที่ภัตตาคารหยกรัญจวนได้ในไม่ช้า
  ชิงสุ่ยยังคงนิ่งเงียบ เหมือนรอคอยให้หญิงสาวคนนั้นเริ่มต้นปริปาก เขามั่นใจมากว่าเธอมีอะไรบางอย่างต้องการจะพูด
  “เรื่องนี้มันช่างประหลาดใจยิ่งนัก มีคนบอกไว้เสมอว่าผู้ใดก็ตามที่ทำการค้าเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะต้องเป็นศัตรูกัน หากข้าจะบอกว่าท่านคือศัตรูของข้า มันคงไม่แปลกใจมากนักใช่หรือไม่?”หญิงสาวผู้นั้นกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม คำพูดของเธอมันไม่ได้ฟังดูเหมือนโกรธเลย แต่มันฟังดูเหมือนคนกำลังมีความสุข
  “ภัตตาคารหยกรัญจวนมุ่งเน้นไปในการค้าอาหารเป็นหลัก ดังนั้น สิ่งที่ข้าทำจึงไม่ใช่การแย่งลูกค้าของท่านให้มาหาข้า แต่บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าการค้าของข้าดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าว
  “ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้พวกเราต้องแข่งกันเอง ข้าก็เธอคิดทบทวนเกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านี้มาก่อน เพียงแต่ข้าไม่คิดเลยว่า มันจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้”
  …………………………
  ชิงสุ่ยค่อนข้างชื่นชมในความซื่อสัตย์ของเธอ คำพูดทุกอย่างเขารับรู้ได้เลยว่ามันออกมาจากใจจริงโดยไม่ได้มีความโป้ปดแม้แต่น้อย
  ในขณะเดียวกันเสียงฝีเท้าของคนนับไม่ถ้วนก็ดังมาจากภายนอก แล้วค่อยๆถูกเสียงพูดคุยกลบเสียงเท้าจนหมดสิ้น
  “ดูนั่นสิ ผู้นำตระกูลหลางมาที่นี่แล้ว”
  “อ้า ดูเหมือนเราจะมีสิ่งน่าสนใจให้ดูแล้วล่ะ”หญิงสาวผู้นั้นกล่าว ซึ่งมันทำให้ชิงสุ่ยถึงกับพูดไม่ออก
  “เจ้าคิดว่าผู้นำตระกูลหลางมาที่นี่เพื่อทำสิ่งใด?”เหล่าประชาชนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
  “เจ้าอย่าทำเป็นเสแสร้งถามคำถามนี้นี้หน่อยเลย? มันแน่นอนอยู่แล้ว ชายหนุ่มผู้ที่เปิดหอคอยจักรพรรดิสงสัยจะต้องจมอยู่กับปัญหาใหญ่”
  “แต่เจ้าก็อย่าสบประมาทชายหนุ่มคนนั้น ดูเหมือนเขาเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา ถึงได้กล้าท้าทายตระกูลที่มีอำนาจแบบนี้ หรือว่าบางทีตระกูลหลางจะทำอะไรเขาไม่ได้”
  “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น แสดงว่าวันนี้เรากำลังจะได้เห็นการแสดงใหญ่”
  …………..  กลุ่มคนประมาณ 10 คนเดินเข้ามาในหอคอยจักรพรรดิ บรรยากาศที่ผ่อนคลายในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดแทบจะทันที ชิงสุ่ยจ้องมองไปยังผู้นำกลุ่มคนที่เดินเข้ามา ผู้นำคือชายฉกรรจ์ ที่มีใบหน้าดูเด็ก และกลิ่นอายที่ดูหนักแน่น
  ในขณะเดียวกัน แม่นางหลางก็เดินลงมาจากชั้น 2 เมื่อเธอสบตากับชายผู้เป็นผู้นำ เธอถึงกับตัวสั่นทันที ส่วนชายคนนั้นที่เห็นแม่นางหลาง สีหน้าการแสดงออกของเขาก็ยิ่งน่าเกลียดน่ากลัว เขาเหลือบมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่พร้อมจะกินเลือดกินเนื้อ
  ชิงสุ่ยค่อยๆลุกขึ้นยืน ก่อนจะยิ้มให้กับคนของตระกูลหลาง “วันนี้ คือวันเปิดทำการร้านค้าของข้าเป็นวันแรก ข้าจึงยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมร้านค้าของข้า”
  “ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมสิ่งที่ข้าเคยบอกไปแล้วสินะ? หืม เจ้าฟื้นฟูพละกำลังของตัวเองได้ ก็ดี ข้าจะได้ทำให้เจ้ากลับมาพิการอีกครั้ง”ชายคนนั้นทำตัวราวกับมองไม่เห็นหัวชิงสุ่ย เขาเหลือบสายตากลับไปมองแม่นางหลางและกล่าวในสิ่งที่เขาอยากจะพูด
  แต่การแสดงออกที่เธอทำ กลับกลายเป็นการเพิกเฉยคำพูดของผู้นำตระกูลหลาง และไม่แม้แต่จะชำเลื่องสายตามอง เธอเดินตรงไปหาชิงสุ่ยแทน ” ต้องขอโทษที่ข้าสร้างปัญหา ข้า…..”
  “พอแล้ว ตอนนี้เจ้าคือคนของหอคอยจักรพรรดิ ฉะนั้นเจ้าจึงอยู่ภายใต้การคุ้มครองของข้าเป็นเรื่องธรรมดา”ชิงสุ่ยรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ต้องการจะพูดอะไร เขาจะรีบกล่าวขัดจังหวะเธอ
  ผู้นำตระกูลหลาง โกรธจัดยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นการกระทำอันแสนดูถูกและเพิกเฉยคำพูดของเขา เขาจะมองไปที่ชิงสุ่ยและกล่าวว่า “ขนของและไสหัวออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ อย่าบังคับให้ข้าต้องเป็นคนลงมือ มิฉะนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างน่าสังเวชใจ”
  ชิงสุ่ยรู้ความหมายคำพูดเหล่านี้ดี แน่นอนว่าชายคนนั้นไม่ได้พูดเพียงแค่ข่มขู่อันที่จริงแล้วตระกูลหลาง ย่อมต้องเชื่อมั่นว่าตระกูลของตนเองเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งมีอำนาจพอจะกดขี่พ่อค้าตัวน้อยๆ มันจึงกลายเป็นเรื่องปกติผู้นำตระกูลหลางจะกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา
  ชิงสุ่ยค่อยๆยิ้มอย่างผ่อนคลาย แต่ในขณะเดียวกัน แม่นางหลางก็กล่าวกับชิงสุ่ยด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล “นายท่าน ได้โปรดออกไปเถอะ ยิ่งท่านไปไกลจะยิ่งดีต่อตัวท่าน อย่ากลับมาอีกเลย!!”
  เมื่อผู้นำตระกูลหลางเป็นผู้หญิงของเขากลายเป็นคนเช่นนี้ ทุกครั้งที่เขามองดูใบหน้าใสงดงามเขาก็เต็มไปด้วยความกังวล ในใจของเขายังคงมีความรู้สึกเศร้าโศก ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นผู้หญิงของเขา แล้วยังเป็นคนที่เขารักอย่างสุดซึ้ง กระนั้นเขาก็เลือกทางเดินอื่นที่ทำให้เขาต้องสูญเสียเธอไปตลอดกาล
  แต่เมื่อเห็นเธอเป็นกังวลในชายอื่น ความรู้สึกโศกเศร้าก็ฝันแปลเป็นความโกรธสุดขีด เขาจ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตาเหี้ยมโหด ไม่ว่าอย่างไรชายคนนี้ก็ต้องตาย และมันจะกลายเป็นตัวอย่างที่เป็นเครื่องเตือนสติผู้คนให้รู้ว่าห้ามมายุ่งกับหญิงสาวคนนี้
  ชิงสุ่ยมองดูแม่นางหลางก่อนจะส่ายหน้า “ก็ดี ข้าชักอยากรู้แล้วว่าความตายอันน่าสมเพชที่คนอย่างเจ้าพูดถึงมันเป็นแบบไหน”
  ผู้นำตระกูลหลางเหมือนตกใจไปชั่วขณะ เขาจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจและไม่คิดว่าชายที่อยู่เบื้องหน้าจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ออกมา “ทำลายทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ให้พังพินาศ!! ข้าอยากจะรู้จริงๆว่าเจ้าทําอะไรได้บ้าง”
  คนของตระกูลหลางกระจายตัวเดินไปทั่วทั้งชั้น 1 ของหอคอยจักรพรรดิ
  เพล้งงงง!! โครมมมม!!
  หลังจากผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว เสียงอึกทึกจากภายในก็ดังตลอดเวลา ชิงสุ่ยยังคงอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ เจ้าของภัตตาคารหยกรัญจวนก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ในขณะที่เธอลุกขึ้นยืนและอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ชิงสุ่ยก็ยิ้มและกล่าวว่า “ขอบคุณมากแม่นางที่มาในวันนี้ ดูเหมือนมันจะมีสิ่งต่างๆมากมายเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้าคงไม่อาจไปส่งท่านได้ ถ้าหากท่านต้องการจะกลับ ก็กลับได้เลย”
  หญิงสาวผู้นั้นสายหน้า “ข้าคิดว่าถ้าหากข้าอยู่ ข้าอาจจะคอยช่วยเหลือท่านได้ ท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”
  ชิงสุ่ยยิ้มตอบ “ไม่จำเป็น”
  คำตอบของเขายิ่งทำให้เธอสงสัย ร้านค้าที่เขาเพิ่งเปิดกำลังถูกทำลาย ทำไมชายผู้นี้ถึงยังอารมณ์ดี สิ่งที่เกิดขึ้นมันยากเกินกว่าจะอธิบาย…..บางทีมันอาจต้องเรียกว่าชายคนนี้กำลังอารมณ์ดีแบบผิดปกติ เหมือนกับว่าสิ่งที่ถูกทำลายมันไม่ใช่ร้านค้าของเขาเอง
  ภายในไม่กี่อึดใจ ทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในชั้นแรกก็ถูกบดขยี้จนพังพินาศ ทั้งห้องเต็มไปด้วยเศษซากสมุนไพรที่ถูกทำลาย
  “ท่านแม่!!”
  ในขณะเดียวกัน เจ้าหนูน้อยตัวเล็กก็วิ่งลงมาจากชั้น 2 และส่งเสียงร้องเรียกแม่ของเขาทันทีที่เขาเห็นเธอ
  ชายที่อยู่ใกล้บันไดที่สุดกำลังถือท่อนเหล็กทุบตีของ เมื่อเห็นเด็กน้อยกำลังลงมา เขาก็เตรียมตัวที่จะเอาท่อนเหล็กทุบตีเด็กน้อยคนนั้น
  ชิงสุ่ยโกรธจัดเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะคำสั่งของผู้นำตระกูลหลาง ชายป่าเถื่อนก็คงไม่กล้าทำร้ายเด็กที่พวกเขารู้จักสถานะเด็กน้อยคนนี้ดีแม่นางหลางตกใจอย่างมากและพยายามเข้าไปช่วยลูกของเธอ แต่กระบองที่ชายป่าเถื่อนกำลังทุบตีมีความเร็วสูงมาก ต่อให้เธอเร่งความเร็วมากเพียงใดก็เข้าไปช่วยไม่ทัน ถึงกระนั้นเธอก็ยังพยายามเข้าไปช่วยเหลือลูกของเธอ โดยหวังว่าท่อนเหล็กจะทุบตีลงมาที่ร่างของเธอแทนลูกของเธอ
  ปังงงง!!
  เสียงกระแทกดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้องโถง ชายที่ถือท่อนโลหะหยุดชะงัก ก่อนจะล้มลงอย่างเชื่องช้า กลางศีรษะของเขาปรากฏให้เห็นเป็นรูกว้างที่เกิดจากแท่งตะเกียบเจาะทะลุสมอง
  ร่างกายของชิงสุ่ยเคลื่อนไหวราวกับภูตผี พร้อมกับเสียงดัง ปัง ปัง ปัง ติดต่อกัน
  เสียงอึกทึกครึกโครมครามยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เหล่าชายฉกรรจ์ที่รออยู่ข้างนอกห้องโถง พ้นเลือดคำโตออกมาท่วมถนน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ตาย แต่ก็ไร้สิ้นลมปราณ ไม่อาจหยัดยืนได้อีกต่อไป
  หญิงสาวคนนั้นเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมอก แม้ว่าเธอจะสีหน้าซีดเผือด แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังค่อยๆฟื้นฟูกลับมาเป็นความดีใจ
  และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หลางซีได้เป็นสักขีพยานความสามารถของชิงสุ่ย แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าขยะพวกนั้นเลย การโจมตีที่ชิงสุ่ยใช้ทั้งรุนแรงและแม่นยำไร้ซึ่งความลังเล เขามีความสุขอย่างมากที่ได้เห็นยอดยุทธผู้ทรงพลังแสดงฝีมือ
  “ยินดีที่ได้พบ ผู้นำตระกูลหลาง วันนี้ร้านค้าของค่าเปิดทำการเป็นวันแรก และเจ้าก็ช่างกล้ามาทำลายวันสำคัญของข้า ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องชดใช้ความเสียหายทั้งหมดที่เจ้าทำไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากรู้จริงๆก็คือ นักกวีและผู้คนมักกล่าวกันเสมอว่า แม้แต่สัตว์มันยังรู้จักเลี้ยงลูกของตัวเองไม่ยกให้คนอื่น แต่ทำไมข้าถึงคิดว่าเจ้ามันเลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานพวกนั้นอีก?”ชิงสุ่ยหันหน้ากลับมา และค่อยๆเดินตรงไปหาผู้นำตระกูลหลางด้วยรอยยิ้ม
  แต่ผู้นำตระกูลหลางก็ยังคงหน้านิ่งไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าว เขากลับจ้องมองชิงสุ่ยพร้อมกับเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าพูดแบบนี้กับข้ามาก่อน วันนี้ ข้าจะคำนวณค่าเสียหายทั้งหมด แล้วมาดูกันว่าเจ้าจะแบกรับค่าเสียหายอันน่าสมเพชได้มากเพียงใด”