GGS:บทที่ 844 บ้าไปแล้ว
อีกสองวันถัดมา ณ วัดหลานเล่อ ผู้คนในตอนนี้ก็ยังเนืองแน่นกันอย่างล้นหลาม
ในช่วงเช้า ทันทีที่วัดได้เปิดประตู มีผู้เข้าสักการะต่อแถวยาวออกไกลสุดลูกหูลูกตา
ในตอนสิบโมงเช้า ผู้คนต่างเนื่องแน่นอยู่เต็มวัดจนล้นออกไปถึงถนน แทบจะเรียกได้ว่าเดินเบียดกันจนไหล่ชนกันเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามไม่มีใครเลยสักคนที่จะบ่นกันเรื่องนี้เลยสักนิด มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะบ่นเรื่องคนที่แออัดยัดเยียด และอีกบางส่วนที่ตื่นตะลึงในภาพที่เห็น
“เดี๋ยวก่อนสิ พวกเราไม่ควรจะใส่ราคาที่ภาพพระวิทยาราชาทุกภาพนะ เราควรที่จะใส่ราคาที่ภาพภาพเดียวในราคาที่สูงก็พอ ยังไงก็ต้องนำมาครองให้ได้สักภาพก็ยังดี”
เสี่ยวไจ๋ผู้ได้รับมอบอำนาจในการจัดการเรื่องภาพพระวิทยาราชาได้พูดออกมาด้วยเสียงอันกังวานว่า “ประสกทั้งหลายไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่างใด ยังไงซะภาพพระวิทยาราชาเหล่านี้กว่าจะปิดการเสนอราคาก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายวัน มาวันหลังก็ได้”
“ตอนนี้คนมากเกินจนแทบจะไม่เป็นแถวอยู่แล้ว อย่าบอกว่าวันหลังเลย วันนี้จะได้เข้าไปเขียนราคารึเปล่าก็ยังไม่รู้ หากวันนี้พลาดโอกาสไปวันหลังที่ว่าอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วก็ได้”
“เรื่องนี้จริงมากๆ ยังไงซะตอนนี้ก็ขอเขียนราคาที่สุดทิ้งเอาไว้ก่อนก็ยังดี”
ตอนนี้เหล่าผู้คนที่เข้ามาสักการะต่างก็ถึงกับทำหน้ามึนงงในทันที เขาได้ยินคำพูดแบบนี้เกือบจะทั้งวันแล้ว มีหลายคนที่ต้องการที่จะซื้อภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้
ทำให้คนที่มาที่วัดในตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่เหล่าผู้ที่ต้องการมาสักการะเท่านั้น แต่ยังมีเหล่านักสะสมที่มาเพื่อเสนอราคาเอาไว้
คนพวกนี้ส่วนใหญ่คือคนรวยที่เลื่อมใสในพุทธศาสนาและต้องการที่จะอัญเชิญภาพเขียนที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังเหล่านี้ไปไว้ที่บ้าน และคิดว่าจะช่วยสร้างเสริมบุญบารมีให้กับครอบครัว ตลอดจนการปกป้องคุ้มครองตระกูลของตัวเองให้พ้นภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวงได้
“มีคนมากเกินไปแล้วเฟ้ย” ผู้อาวุโสซี่ผู้ที่อยู่ในกลุ่มหลังนี้เผลอพูดออกมาด้วยความตกตะลึง
“คุณปู่ ผมว่าคุณปู่ถอดใจดีกว่าครับ นี่ก็แค่ภาพเขียนพระพุทธรูปเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มคนหนึ่งร้องห้ามปราม
“ไม่! ฉันต้องอัญเชิญภาพพระวิทยาราชาเหล่านี้ไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ให้ได้” ผู้อาวุโสซี่ปฏิเสธที่จะยอมแพ้เรื่องนี้
“ผู้อาวุโส ผมว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่าครับ ทางนี้ให้ผมเป็นคนจัดการเองดีกว่า” ชายหนุ่มในชุดบอดี้การ์ดคนหนึ่งให้ไปคุยกับชายวัยกลางคนคนหนึ่งด้วยท่าทีกังวลกับภาพที่เห็น
“ไม่ล่ะ อย่างน้อยๆฉันก็ขอเห็นภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้าตัวเองก่อนสักครั้งเพื่อประเมิน” ผู้อาวุโสหวู่ปฏิเสธในทันทีพร้อมส่ายหัวออกมา
เขาเองก็ได้เห็นรูปภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้าผ่านอินเตอร์เน็ตแล้วก็จริง และเขาก็ได้รับรู้ถึงมนต์ขลังของภาพวาดทั้งเก้าแล้ว แต่ยังไงซะ ระหว่างการเห็นผ่านรูปถ่ายกับการเห็นด้วยตาตัวเอง การเห็นด้วยตาตัวเองย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
ในตอนแรกนั้นเขาเองก็อยากได้หัวใจพระสูตรและพระพุทธฉบับของจริงมาไว้ แต่ซูจิ้งก็ได้ปฏิเสธที่จะขาย
ตอนนี้ซูจิ้งกลับยอมขายภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขานั้นจะนิ่งเฉยได้ เขาเองก็ได้แต่สงสัยว่าซูจิ้งนั้นมีสมบัติไว้ในครอบครองกี่อย่างกันแน่
เขานั้นตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงซะก็ต้องนำภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้มาครอบครองให้จงได้ แต่จากสถานการณ์ที่เห็นนี้บอกได้เลยว่าช่างยากยิ่ง ในตอนนี้เขาจึงจำยอมต้องเปลี่ยนใจเป็นนำมาครอบครองไว้สักชิ้นก็ยังดี
ในช่วงเวลาเดียวกันนะก็ได้มีเหล่านักสะสมที่แอบแฝงเข้ามาในฝูงชน บางคนก็ดูเหมือนคนทั่วไป ไม่โดดเด่นหรือสำคัญแต่อย่างใด แต่ความจริงคนเหล่านี้มีบางคนเป็นสุดยอดคนรวยอันดับต้นๆของประเทศ
ใจของเขาในตอนนี้มาที่นี่เพียงเพื่อประเมินมูลค่าของภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้ก็เท่านั้นเอง
จนในที่สุดก็ถึงคิวของพวกเขาที่จะได้เข้าไป
ทันทีที่พวกเขาได้เห็นราคาของภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้าถึงกับต้องประหลาดใจไปแทบจะทุกคน
นั่นก็เพราะว่าราคาในตอนนี้สูงกว่าที่พวกเขาคาดไว้อย่างมาก พวกเขาในตอนนี้ทำได้เพียงประเมินราคาใหม่และเขียนลงไปเท่านั้น
ทันทีที่พวกเขาได้ลงราคาเสร็จ พวกเขาก็ได้เห็นชายท่าทางสง่างามคนหนึ่งและชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่อยู่ในแถวที่ยังยื่นออกไปยาวมากนัก
“นี่จะเย็นแล้วก็ยังไม่ได้เข้าไปเลย ทำไมคนถึงได้เยอะแยะขนาดนี้เนี่ย” ชายหนุ่มบ่นอุบขึ้นมาในทันที
“ไม่น่าเลยจริงๆ พวกเขาจะปิดประตูตอนหกโมงครึ่งซะด้วยสิ ถ้าวันนี้เราเข้าไม่ทันล่ะก็คงต้องมาพรุ่งนี้แทนแล้วล่ะ” ชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามได้แต่ส่ายหัวยอมรับอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกเขาจะทำท่าเสียดายยังไง แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดที่จะเอาเปรียบคนอื่นแต่อย่างใด
พวกเขานั้นยอมรับเหตุการณ์และมีท่าทีสงบไม่รีบร้อนหรือโวยวายแต่อย่างใด ชายหนุ่มคนนี้คือเบ่ยเจียฮ่าวและอีกคนคือพ่อของเขา
พ่อของเขานั้นได้นับถือในศาสนาพุทธมานานหลายปีแล้ว ตัวเขาเองก็ได้ซึมซับและเรียนรู้พระธรรมคำสอนมาตั้งแต่เด็กเช่นเดียวกัน และเหนือสิ่งอื่นใดนั้น ตัวเขาเองก็มีจิตใจแกร่งกล้าเหนือกว่าคนทั่วไป
นี่ทำให้เพลงบรรเลงกู่จิ้งของเบ่ยเจียฮ่าวนั้นแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งพระธรรมคำสอน นี่ถือได้ว่าเป็นจุดขายของเขาและทำให้ผู้คนทั่วไปต่างการหลงใหลและยากที่จะไม่ฟังได้
เมื่อตอนที่หัวใจพระสูตรและพระพุทธได้ถูกเผยแพร่ออกไปนั้น พวกเขาต่างก็รู้สึกตกใจและแน่นอนว่าพวกเขาเองก็อยากจะได้ไว้ในครอบครองเช่นเดียวกัน
ถึงแม้จะเป็นฉบับไม่สมบูรณ์แต่ราคาในตอนนั้นพุ่งสูงมากจนพวกเขาเองก็ทำได้เพียงถอดใจเท่านั้น
มาตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ยินว่าซูจิ้งยอมขายภาพพระวิทยาราชานั้นจึงได้รีบตรงมาที่นี่ในทันทีด้วยความหวังที่จะได้กลับไปเพียงสักภาพก็ยังดี
“ผมได้ยินมาว่าภาพพระวิทยาราชาตอนนี้พุ่งทะลุไปเกินสามล้านแล้วนะพ่อ นี่ก็สักพักใหญ่แล้วไม่รู้ว่าตอนนี้ราคาจะขึ้นไปที่เท่าไหร่แล้ว” เบ่ยเจียฮ่าวพูดออกมาอย่างท้อใจ
“ถ้าพวกเราอยากอัญเชิญท่านไปไว้ที่บ้านจริง อย่างน้อยๆเราก็สมควรจะไปสักการะท่านเสียก่อน ยังไงซะอย่างน้อยๆถ้าเราได้เข้าไปแล้วเดี๋ยวก็รู้เองล่ะว่าราคาจะอยู่ที่เท่าไหร่” พ่อของเบ่ยเจียฮ่าวพูดออกมา เขาเองก็ได้แต่พยักหน้ารับตาม
จนในที่สุดพวกเข้าก็ได้เข้าไปยังหอโลกาบาลทั้งสิบจนได้ กว่าจะได้เข้ามาก็เกือบจะเป็นตอนหกโมงครึ่งเข้าไปแล้ว ถือได้ว่าเกือบจะเสียโอกาสไป
หลังจากสักการะพระโลกาบาลทั้งสิบเสร็จสิ้นพวกเขาจึงได้เข้าไปดูราคาที่คนอื่นเสนอ แวบแรกที่เห็นทั้งคู่ถึงกับทำตาเบิกโพลงออกมา
“ผมเห็นไม่ผิดใช่รึเปล่าครับพ่อ ทำไมราคาสูงจัง” เบ่ยเจียฮ่าวได้แต่นิ่งอึ้งไป
“ไปกันเถอะ ราคาที่เราคิดช่างน้อยนิดเทียบไม่ได้ดังการผายลมเลย” เบ่ยฟู่ คนที่ศึกษาในหลักธรรมคำสอนมานานนับสิบปีเมื่อเห็นราคาแล้วยังเกือบจะตั้งสบถออกมา
เหตุที่เขาเห็นจนต้องอารมณ์เสียและเดินจากไปนั้นก็คือรายการตัวเลขกว่าพันรายการซึ่งเป็นราคาที่มีคนได้เสนอซื้อภาพพระวิทยาราชาภาพที่พวกเขาต้องการเอาไว้ และราคาที่มีคนให้มากที่สุดในตอนนี้อยู่ที่ 13.25 ล้านหยวน
สำหรับราคาของภาพพระวิทยาราชาที่มีคนเสนอราคามากที่สุดก็คือภาพพระวิทยาราชาใบหน้าโกรธเกรี้ยวมีคนเสนอไว้สูงสุดอยู่ที่ 18 ล้านหยวน ซึ่งเรียกได้ว่าสูงกว่าห้าเท่าของราคาที่พวกเขาได้ยินมา
“พ่อ กลับกันเถอะ พวกเราคงได้แต่เก็บภาพพระวิทยาราชานี้เอาไว้ในใจของเราเท่านั้น คงไม่มีทางอัญเชิญไปยังบ้านของพวกเราได้แล้วล่ะ” เบ่ยเจียฮ่าวพูดออกมา
“ก็คงได้แต่ยึกถือตามคำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าจะยึดมั่นแค่นั่นก็คงได้เพียงความรู้สึกสินะ” เบ่ยฟูพูดออกมา
ถึงแม้พวกเขาจะดูไม่ทุกไม่ร้อนและไม่แสดงท่าทีอะไร ทำเพียงแค่เดินหันหลังจากออกไปนั้น แต่เอาจริงๆแล้วใจของพวกเขาตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดอย่างมากราวกับมีมีดมากรีดแทงจนเลือดไหลซิบ
ในขณะเดียวกัน ซุนหยูเฮง ที่เพิ่งประชุมเสร็จและได้เดินออกมาจากห้องประชุมก็ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่น่าจะเป็นเลขาของเขาได้ตรงเข้ามาทันทีพร้อมกับพูดออกมาว่า “หัวหน้าคะ หัวหน้าหม่าโทรมาแต่เพิ่งจะวางสายไปค่ะ”
“แล้วเขาว่าไงบ้าง” ทันทีที่ได้ยิน ซุนหยูเฮงได้แต่ทำตากระตุกก่อนที่จะหยิบมือถือออกมาเพื่อเตรียมโทรหาคนชื่อหม่าคนนี้
“เขาบอกว่าหัวใจพระสูตรและพระพุทธของหัวหน้าราคาแพงเกินไป แถมยังไม่ใช่ของแท้ซะอีก
เป็นเพียงฉบับคัดลอกที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น เขาว่าเขาไม่ต้องการจะซื้อค่ะ” เลขาสาวเองก็ได้พูดด้วยเสียงที่ค่อยๆแผ่วลงตามลำดับ เพราะเธอรู้ดีว่าเมื่อหัวหน้าเธอได้ยินข่าวนี้ย่อมจะไม่มีความสุขอย่างแน่นอน
“ห้ะ” อย่างที่เธอคาดเอาไว้ ซุนหยูเฮงในตอนนี้หน้านิ่วคิ้วขมวดและได้เพียงออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจออกมาว่า
“แต่ให้มันเป็นฉบับไม่สมบูรณ์แต่อย่างน้อยๆเมื่อขายมันก็น่าจะได้หกล้านหยวนเลยนะ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ นี่ฉันขายด้วยเงินเพียงห้าล้านหยวนเท่านั้น นี่เขายังว่าแพงไปอีกงั้นหรอ”
ซุนหยูเฮงพูดออกมาด้วยอารมณ์คุ่นเคืองอย่างมาก เขานั้นยอมขายแบบลดราคาสะบั้นหั่นแหลกขนาดนี้แต่ยังไม่ยอมซื้อ ช่างไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
ในตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันทำให้ธุรกิจด้านการเกษตรของเขาในตอนนี้ประสบปัญหาอย่างหนัก
ธุรกิจของเขาในตอนนี้ต้องการช่องทางในการขายผลิตภัณฑ์ หัวหน้าหม่าคนนี้มีช่องทางการขายผลิตภัณฑ์อยู่มากมาย
หากเขาสามารถเชื่อมสัมพันธ์ได้ล่ะก็จะช่วยกู้วิกฤตของเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่ซูจิ้งกับเตียนจงยี่ก็เทียบกับเขาได้ไม่ติดอย่างแน่นอน
อีกเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็สามารถเอาคืนซูจิ้งได้แล้ว แถมยังเป็นการเอาคืนชนิดที่หาทางตอบโต้เขาไม่ได้อย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องหัวใจพระสูตรและพระพุทธเองเขาก็ได้เข้าไปคุยกับหัวหน้าหม่าจนเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว การที่อยู่หัวหน้าหม่าไม่ยอมซื้อหัวใจพระสูตรของเขานี่ถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลยจริงๆ
“หัวหน้าคะ ฉันคิดว่าที่เขาเปลี่ยนใจอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ก็ได้ค่ะ” เลขาสาวได้ส่งมือถือของเธอให้ซุนหยูเฮงดู มันเป็นข่าวที่ว่ามีการขายภาพวาดพระวิทยาราชาที่จัดไว้ให้สักการะในวัดหลานเล่อ ที่หาโลกาบาลทั้งสิบนั่นเอง
ซุนหยูเฮงเองได้หยิบไปดูพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมากกว่าเดิม ยิ่งเขาดูมากเท่าไหร่ หน้าของเขาก็ขมวดมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดเขาก็สบถออกมาว่า
“ไอ้ลูกกระ…เอ๊ย ทำไมถึงได้มีรูปวาดพระพุทธคุณภาพดีมากมายขนาดนี้ห้ะ ทำไมมันถึงไม่ยอมเอาออกมาตั้งแต่วันนั้นกัน
แม่..เอ๊ย แล้วทำไมต้องเอาออกมาตอนนี้ด้วย นี่แกหมายความว่าภาพของฉันนี่ไม่ได้มีค่าอะไรเลยสินะ”
พูดตามตรงหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้สมควรจะมีหนึ่งไม่มีสองแต่อย่างใด ต่อให้เป็นฉบับคัดลอกก็สมควรจะหาได้ยากยิ่งไม่แพ้กัน ฉะนั้นแล้วฉบับคัดลอกเองก็สมควรที่จะได้ราคาสูงด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ได้รูปภาพพระพุทธปางอื่นออกมา แถมไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มีนับสิบ ย่อมไม่แปลกที่ฉบับคัดลอกแบบไม่สมบูรณ์ของเขาจะไม่อาจตีค่าราคาสูงได้อย่างที่คาดหวังไว้
“ถึงคุณหม่าจะไม่อยากซื้อหัวใจพระสูตรนี้แล้วก็ช่างมันเถอะ ว่าแต่เขาได้พูดคุยเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของพวกเรามั่งรึเปล่า” ซุนหยูเฮงถามออกมาด้วยอาการที่กำลังข่มอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน
“เท่าที่จับใจความได้ บอสหม่าบอกว่าเขานั้นไม่ต้องการที่จะเป็นหุ้นส่วนกับเราค่ะ เขาบอกว่าถ้าเขายอมเป็นหุ้นส่วนกับเราล่ะก็ เขากลัวว่าคุณซูจะไม่ยอมขายภาพพระพุทธภาพอื่นๆให้ ดังนั้นเขาเลย…”
ยังไม่ทันที่เลขาสาวจะพูดจบดี เสียงเธอค่อยเบาลงจนพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป นั่นก็เพราะว่าใบหน้าของซุนหยูเฮงนั้นหน้ากลัวและน่าเกลียดประดุจดั่งเมียวโอไปแล้ว
ซุนหยูเฮงยังไม่ยอมละความพยายาม เขานั้นได้กดโทรศัพท์ที่เขากำเอาไว้แน่นตั้งแต่ก่อนหน้านี้เพื่อโทรไปหาหัวหน้าหม่า
อย่างไรก็ตามบอสหม่าไม่ได้รับสายแต่อย่างใด เขาตัดสายทิ้ง ในตอนนี้ซุนหยูเฮงได้ยืนครุ่นคิดถึงสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เขาคิดว่าการที่หัวหน้าหม่าไม่ยอมเป็นหุ้นส่วนของเขานั้นอาจไม่ใช่เพียงเพราะเล่องของภาพวาดพระวิทยาราชาทั้งเก้า แต่น่าจะเป็นเรื่องที่ตัวเขาเองต่างหากที่ไม่สามารถหารูปพระพุทธของจริงมาได้
ซุนหยูเฮงในตอนนี้โกรธจัดจนเขวี้ยงมือถือลงพื้นอย่างรุนแรง ถึงแม้ซูจิ้งจะยังไม่ทำอะไรเลยก็ตาม แต่ยังไงซะที่เขาเกิดปัญหาแบบนี้ก็ยังเป็นเพราะซูจิ้งอยู่ดี มันเหมือนกับว่าซูจิ้งได้วางกับดักดักกระต่าย แต่มีหมีลงไปติดบ่วงดักตายยังไงอย่างนั้น
เป็นเขาเองที่ตามืดบอดในตอนแรก หากเขาไปขอซูจิ้งตรงๆอีกในครั้งนี้ก็ถือได้ว่าเขานั้นสูญเสียศักดิ์ศรีของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
หากว่าเขาไม่ได้ภาพพวกนั้นมาเขาก็เหมือนโดนซูจิ้งเตะตัดขาอยู่ดี
หากเขาจะไปเสนอราคา ราคาตอนนี้ก็พุ่งสูงจนเกินกว่าปกติ แม้แต่ภาพหัวใจพระสูตรของเขาเองก็ยังเทียบไม่ติดเลยสักนิด ซูจิ้งเองในครั้งนี้ก็สมควรจะได้เงินไปจากภาพวาดพระพุทธทั้งเก้านั้นไปไม่น้อยเลย
แค่เรื่องเงินที่ได้จากการขายภาพนี่ก็ทำให้ซุนหยูเฮงทำอะไรไม่ถูกแล้ว
ขณะเดียวกันชาวเน็ตเองที่รู้ข่าวนี้ต่างก็มีสายตาโง่งมกันไปหมด
“ห้ะ ภาพวาดพระพุทธเก้าภาพ ราคารูปหนึ่งเกินสิบล้าน”
“นี่ยังไม่ถึงเดือนตามที่กำหนดไว้เลยด้วยซ้ำ ยังเหลืออีกตั้งหลายวัน ฉันว่าราคาจะพุ่งขึ้นไปสูงกว่านี้อีกนะ”
“ตอนแรกฉันก็อยากได้เหมือนกันนะ แต่พอมาเห็นราคาแบบนี้แล้วขอถอนตัวดีกว่า หัวพวกคนรวยเล่นกันไปเถอะ ขอเพียงเป็นผู้ชม ไม่ขอเล่นด้วยอย่างแน่นอน”
“มันก็แค่ภาพวาดพระพุทธ ทำไมทุกคนถึงได้บ้ากันขนาดนี้เนี่ย”
“โลกแห่งคนรวยนี้ยากที่คนธรรมดาจะเข้าถึงได้จริงๆ”
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือเหล่าคนรวยที่เสนอราคาไปนั้น ราคาที่พวกเขาเสนอเปรียบได้เป็นการลองเชิงหยดน้ำจิ้มดูเท่านั้น
พวกเขายังรอคอยดูอยู่อย่างใกล้ชิดจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย วันนั้นต่างหากที่ทุกคนจะได้รับรู้ถึงความบ้าของเหล่าคนรวยอย่างแท้จริง
ในขณะที่โลกภายนอกกำลังวุ่นวายกันอยู่นี้ ซูจิ้งผู้ตัดขาดจากโลกภายนอกกำลังนั่งขมักเขม้นในการวาดรูปตามสั่งกว่าสองร้อยรูปที่เขาได้รับมาจากอินเตอร์เนต
นอกจากนั้นเขายังหาจังหวะดีๆในการวาดภาพวาดพระวิทยาราชาทั้งเก้าไว้เพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว กว่าเขาจะรู้สึกเหนื่อยก็ได้เลยเวลานอนของเขา เขาจึงรีบเข้านอนในทันที
และในช่วงตีสาม อยู่ๆก็ได้มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวของเขาว่า “ท่านเจ้าของ ขยะมาแล้วค่ะ”
ได้ยินดังนั้น ซูจิ้งได้ดีดตัวผึงออกมาจากที่นอนและรีบวิ่งลงไปชั้นหนึ่งในทันที