GGS:บทที่ 845 ขยะชุดใหม่
ซูจิ้งได้รีบลงมาที่ชั้นหนึ่งและตรงเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศทันทีหลังจากได้ยินเสียงที่ฉิงหยุนบอกเขา
เหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมา มีวังวนมิติลอยอยู่เหนือลานทิ้งขยะห้วงเวลาฯ และก็ได้มีขยะห้วงเวลาฯจำนวนมากไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย
แต่ด้วยสนามพลังงานแม่เหล็กชนิดพิเศษของสถานีทำให้ขยะเหล่านั้นไม่ได้ร่วงลงมากองกับพื้นแต่อย่างใด
ขยะเหล่านั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศและค่อยๆลอยแยกตามหมวดหมู่เท่าที่ฉิงหยุนจะจัดจำแนกได้
ไม่นานนักขยะห้วงเวลาฯก็ได้หยุดการไหลลงมา และวงวันมิติที่เห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นก็ค่อยๆจางหายไป
และครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีเสียงอะไรหลุดรอดออกมาจากวังวนมิติแบบคราวก่อน
ซูจิ้งประเมินขยะห้วงเวลาฯชุดนี้ทันทีที่ขยะหยุดไหลลงมา จากการสังเกตเบื้องต้นเขาเห็นว่าส่วนใหญ่นั้นคราวนี้เป็นผ้ากองใหญ่ และเฟอร์นิเจอร์ไม้
ดูเหมือนว่าครั้งนี้ขยะห้วงเวลาก็น่าจะมาจากยุคที่ออกจะโบราณซักหน่อย
ซูจิ้งได้ตรงไปยังกองขยะห้วงเวลาฯที่ถูกจำแนกออกมากองเล็กที่สุดก่อน ในกองนั้นเขาพบเมล็ดพืช แมลงปีกแข็ง ไส้เดือน และสิ่งมีชีวิตต่างๆที่ถูกคัดแยกไว้ตามแต่ละสายพันธ์เบื้องต้นเอาไว้
ทันทีที่ซูจิ้งดูนั้นเขาสามารถแยกแยะได้ทันที่ว่าสิ่งมีชีวิตตัวไหนที่เป็นสายพันธุ์ธรรมดา ถึงแม้จะไม่รู้จักชื่อแต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความพิเศษแต่อย่างใด
ซูจิ้งยังได้ทดลองโดยการให้หลี่น้อยไปจับหนูแถวนั้นมาเพื่อที่จะลองกินและรอดูผล แต่ดูๆไปแล้วเขาก็ยังไม่พบว่าพวกมันมีความพิเศษตรงไหน
ซูจิ้งนั้นเลิกสนใจพวกมันไปก่อนเพราะตอนนี้ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรพิเศษ ความจริงนั้นตัวเขาเองค่อนข้างจะกังวลเรื่องสิ่งมีชีวิตที่พัดหลงมามากๆ
นี่จึงทำให้เขานั้นเลือกที่จะรีบมาจัดการสิ่งมีชีวิตที่พัดหลงมากับกองขยะก่อนเป็นอันดับแรก
ก่อนหน้านี้ตัวเขานั้นมีเพียงหมาป่าสงครามเท่านั้นที่พอช่วยได้ แต่ตอนนี้สถานีฯของเขาได้ยกระดับและมีกำแพงกาลอวกาศกางอยู่แล้ว
นอกจากสิ่งมีชีวิตพวกนั้นจะมีความสามารถในการทำลายกำแพงออกมาได้แล้วซึ่งมันก็น่าจะยากพอดูเพราะกำแพงนี้แม้แต่หมาป่าสงครามและบรรดาสัตว์เลี้ยงของเขาก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย
แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด เขานั้นได้สั่งฉิงหยุนเอาไว้ว่าหากมีตัวอันตรายให้ส่งไปพื้นที่กักกันในทันที
อีกอย่างเขานั้นยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับปัญหาใดๆในตอนนี้นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ตอนนี้เขาจะได้ฝึกตำราวิถีมังกรที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯพระเจ้าจากโลกฝั่งตะวันตกจนฝีมือพัฒนาแกร่งกล้ามากขึ้นแล้วก็จริง
แต่ในตอนนี้เขายังฝึกได้ไม่เท่าไหร่นั่นก็เพราะว่าตอนที่เขาฝึกนั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ต้องใช้งานตราประทับมังกร
เขารู้สึกได้เลยว่าตัวเขาในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะใช้ตราประทับมังกรได้เต็มประสิทธิภาพ แถมยังส่งผลให้ร่างกายของเขาอ่อนแรงลงชั่วขณะ นี่เองจึงทำให้เขานั้นยากที่จะฝึกต่อไปได้
การที่เหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ในห้วงเวลาฯเทพเจ้าจากโลกฝั่งตะวันตกไม่มีปัญหาเรื่องนี้นั่นก็เพราะว่าพวกเขามีอาหารที่ไม่ธรรมดาเลยสักอย่างเดียว
อาหารของพวกเขาอุดมไปด้วยสารอาหาร มียาที่ช่วยเสริมพลังร่างกาย ตลอดจนสมบัติและสภาพแวดล้อมต่างๆที่เหมาะสม
แน่นอนว่าอาหารธรรมดาของโลกนี้ไม่สามารถส่งเสริมร่างกายให้มีความพร้อมในการฝึกวิชาเหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ
หรือจะให้กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ ร่างกายก็จำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งเพื่อรองรับพลังเหล่านั้นมากขึ้นเท่านั้น
ในตอนแรกเขานั้นก็หวังพึ่งเนื้อสัตว์วิเศษ ต่อมาก็เป็นปลาเขี้ยวหยก หินจิตวิญญาณ และต้นโสม นี่คือสิ่งที่เขามีเพื่อช่วยเสริมสร้างร่างกายของเขาได้
อย่างไรก็ตามด้วยการที่ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มมากขึ้น ทำให้ในตอนนี้ทำให้ของที่กล่าวมาแล้วนั้นใช้กับเขาไม่ได้ผลเท่าที่ควร
ปลาเขี้ยวหยกในตอนนี้สำหรับเขาแล้วใช้ได้เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บเท่านั้นหาได้เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายแต่อย่างใด
สำหรับเนื้อสัตว์วิเศษนั้น ปกติที่เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างมาก แต่ในตอนนี้ก็ใช้ได้เพียงไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่เขาเองก็เอาไว้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงของเขาซะมากกว่า
ซูจิ้งได้ทำการเก็บเมล็ดและแมลงเหล่านี้และแยกพวกมันเอาไว้เผื่อว่าจะใช้ได้ทีหลัง
ต่อมาเขาได้ไปยังกองกระดาษที่อยู่ข้างๆและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งชึ้นมา
ในนั้นมีภาพที่สะดุดตาเขาตั้งแต่แวบแรกที่เห็น มันคือภาพของสัตว์ประหลาดที่อ้วน และไม่ใช่อ้วนธรรมดาแต่มันอ้วนมาก ร่างกายของมันเท่าที่ซูจิ้งดูแล้วจากสรีระน่าจะสูงไม่ต่ำกว่าสามเมตรเป็นแน่ นอกจากนั้นยังมีรูปวาดของมังกรกำลังคลอไฟไว้ในปาก และมนุษย์ต้นไม้
ซูจิ้งคิดว่านี่ไม่น่าเป็นเพียงแต่ภาพงานศิลป์ทั่วไป แต่อย่างน้อยเขาก็พอรู้แล้วว่าขยะห้วงเวลาฯชุดนี้น่ามาจากห้วงเวลาฯที่มันมีกลิ่นอายของโลกแฟนตาซีแบบตะวันตกอยู่
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ซูจิ้งคุ้ยกระดาษกองนั้นเพิ่มเติมก็เจอเพียงกระดาษไร้ประโยชน์อย่างพวกจดหมายโต้ตอบ จดหมายบอกรัก หนังสือฉบับคัดลากด้วยลายมือ และเศษหนังสือเก่าๆ ดูๆไปก็ไม่ได้ทำให้เขาได้อะไรเพิ่มเติม
“หืม อะไรล่ะเนี่ย” ซูจิ้งได้หยิบเศษกระดาษขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มันเป็นเศษกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษร แต่พอดีๆก็ทำให้เขาตะลึงได้เหมือนกัน นั่นก็เพราะว่ามันเหมือนกับเป็นขั้นตอนการทำอะไรบางอย่าง
มันเหมือนกับเป็นกระบวนการอะไรบางอย่างที่ต้องใช้มอลต์ เมื่อเขาลองดูดีๆก็พอจะคิดได้ว่านี่สมควรเป็นวีธีการทำเบียร์มอลต์แน่ๆ
แต่ก็มีปัญหาอยู่อย่างตรงที่กระดาษส่วนที่เหลือนี้เสียหายหนักจนเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
“เข้าวิธีการทำเบียร์มอลต์นี่ก็ดูน่าสนใจดีนะ ดีไม่ดีฉันอาจจะได้สินค้าเพิ่มมาอีกอย่างเลยแหะ ยังไงก็เถอะ ดูๆไปแล้วฉันว่ามันไม่เหมือนวิธีการทำเบียร์ตามที่ฉันรู้มาเลยสักนิด ไม่รู้ว่าทำออกมาจะรสชาติดีรึเปล่า”
ซูจิ้งมองกระดาษแผ่นนั้นพลางนิ่งคิดไปสักพัก หลังจากนั้นซูจิ้งได้เรียกเสี่ยวไป๋ออกมาและได้ลองให้มันซ่อมดู
“ฉันคงได้แต่หวังว่าส่วนที่เหลือของกระดาษแผ่นนี้จะยังคงอยู่ที่นี่ล่ะนะ” ซูจิ้งภาวนาขึ้นมาอยู่ในใจของเขา ถ้าส่วนที่เหลือของกระดาษยังคงอยู่ในห้วงเวลาฯที่มันจากมาล่ะก็ แต่ให้ความสามารถของเสี่ยวไป๋จะดียังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
หลังจากได้เห็นสแตนด์ของเสี่ยวไป๋ข่วนเข้าไปที่เศษกระดาษแผ่นนั้น ซักพัก ก็ได้มีเศษฝุ่นล่องลอยขึ้นมา พวกมันค่อยๆลอยไปต่อกับกระดาษแผ่นนั้นอย่างช้าๆทีละนิดทีละนิด
ในที่สุด สายตาของซูจิ้งก็ฉายแสงแห่งความดีใจ กระดาษแผ่นนั้นได้คืนสู่สภาพสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยโดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาที
ซูจิ้งลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำเบียร์จากข้าวมอลต์จากอินเตอร์เน็ตดู
แต่ไม่ว่าจะยังไงเขานั้นก็ไม่สามารถหาเคล็ดลับเกี่ยวกับการทำเบียร์ได้ มีเพียงวิธีการทำพื้นฐานธรรมดาเท่านั้น และวิธีการทำพวกนั้นก็แตกต่างไปจากวิธีการที่บันทึกไว้ในกระดาษแผ่นนี้แทบจะสิ้นเชิงเลยทีเดียว
“ช่างเป็นวิธีการที่แปลกตาที่คิดไว้จริงๆ อยากรู้แล้วสิว่าหลังจากบ่มแล้วรสชาติจะเป็นยังไง โชคดีจริงๆที่ในนี้มีเคล็ดลับเขียนเอาไว้ด้วย”
ซูจิ้งต้องการลองทำในทันทีเขาจึงได้โทรศัพท์ออกไปและสั่งคนให้ไปหามอลต์สำหรับใช้ทำเบียร์ที่คุณภาพดีที่สุดมา
หากเป็นไปตามที่กระดาษแผ่นนี้เขียนไว้ หลังจากเสร็จกระบวนการแรกที่ต้องใช้เวลาในการทำประมาณสามวันแล้ว หลังจากนั้นต้องทำการบ่มเบียร์ต่อไปอีกสองไม่ก็สามเดือนถึงจะเสร็จสิ้นกระบวนการ
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเขานั้นไม่จำเป็นต้องรีบแต่อย่างใด ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะของเขาต่อ เขายงคงยุ่งอยู่กับกระดาษกองนั้น
เขาได้เจอกระดาษที่เหมือนจะพับเป็นรูปร่างแปลกๆ บางอันก็เหมือนปีกมังกร บางอันก็เหมือนจรวด และทุกๆชิ้นนั้นเหมือนจะถูกทำให้เชื่อมต่อกันด้วยกิ่งไม้เอาไว้
โดยรวมแล้วมันก็ดูเหมือนกับตุ๊กตากระดาษ ถึงแม้มันจะดูธรรมดามากก็ตาม ต่อสำหรับซูจิ้งแล้วเขารู้สึกว่าพวกมันต้องเอาไว้ใช้ทำอะไรบางอย่างเป็นแน่
“ห้ะ” ซูจิ้งประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีอะไรยื่นออกมาจากตุ๊กตากระดาษนั่น มันเป็นเส้นๆเหมือนชนวนอะไรบางอย่างที่ทำจากลวดทองแดง
ซูจิ้งนิ่งไปได้สักครู่ เขาได้ลองตัดกระดาษส่วนที่เล็กที่สุดออก หลังจากนั้นเขาได้ใช้เวทไฟในทันที
ทันใดนั้นปลายนิ้วของซูจิ้งมีเปลวไฟเกิดขึ้น ราวกับว่าเป็นไฟที่จุดจากไฟแช็กก็ว่าได้
เมื่อเขานำไฟไปจ่อที่ลวดทองแดงนั่น ปรากฎว่าลวดนั่นได้ติดไฟในทันที เจ้านี้ต้องเป็นชนวนแน่ๆ
“อะไรวะเนี่ย” ซูจิ้งได้จ้องมองอย่างตาไม่กระพริบ เจ้ากระดาษของเล่นนี้มันถูกเชื่อมต่อด้วยกันด้วยชนวนจุดไฟ จนในที่สุดมันก็ปล่อยควันออกมา
“นี่มัน…สัญญาณควันงั้นหรอ หรือมันจะเป็นระเบิดควันกัน”
ซูจิ้งอยากจะลองอีกครั้งเหมือนกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าตุ๊กตากระดาษนี้ได้ขาดหมดแล้ว ต่อให้มันเป็นตุ๊กตาสัญญาณควันจริงแต่มันก็เหมือนจะด้านไปเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจึงได้ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมตุ๊กตากระดาษนี่ทันที
หลังจากซ่อมเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้เก็บตุ๊กตาสัญญาณควันไปก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้ลองดูกระดาษชิ้นอื่นๆต่อ
แต่ไม่ว่ายังไงกระดาษพวกนี้เองส่วนใหญ่กระเริ่มมีกลิ่นและยังเปียกน้ำอีก มันก็เหมือนที่ผ่านๆมาที่กระดาษในกองขยะห้วงเวลาฯมักเปียกน้ำและเละเทะจนทำอะไรไม่ได้
แต่สำหรับซูจิ้งในตอนนี้ เขานั้นไม่เหมือนก่อนแล้ว เพราะเขามีเสี่ยวไป๋ นักซ่อมแซม ตราบใดที่ชิ้นส่วนของพวกมันยังอยู่ที่นี่ เขานั้นก็ไม่มีอะไรต้องเสียดาย
หลังจากซูจิ้งให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมกระดาษกองนี้ เขาก็ได้หยิบเอาตุ๊กตาสัญญาณควันไว้ในมือ และได้เดินออกไปจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ เพื่อที่จะลองเอาไปเล่นดูซักหน่อย
แต่ทันทีที่เขาออกมา เขาก็ได้พบกับหวังซือหยา ถังเสี่ยวหยู และแขกอีกคนรออยู่ก่อนแล้ว