นักพรตแซ่อู๋นี้ไม่ได้มีชื่อเสียงแม้แต่น้อย ตลอดชั่วชีวิตเขียนตำราเพียงสามเล่ม หนึ่งในนั้นก็คือรวมภาพค่ายกล ในตอนแรกเฉินฉางเซิงแค่มองดูหนังสือนี้ผ่านๆ เท่านั้น ไม่ได้คาดหวังอะไรนัก แต่ยิ่งอ่านมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องมากขึ้นเท่านั้น ค่ายกลในบันทึกของนักพรตแซ่อู๋ผู้นี้ต่างก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง บางอย่างก็ดูเงอะงะอยู่บ้าง สำหรับคนที่สำเร็จในการบำเพ็ญพรตนั้นไม่มีค่าให้เยาะเย้ยด้วยซ้ำ แต่ในบางหน้าง เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของค่ายกลจู่สือหลิน
เวลาผ่านไปช้าๆ เฉินฉางเซิงก็ศึกษาตำรานั้นต่อไป ไม่มีความกังวลหงุดหงิดแม้แต่น้อย ดวงตายังคงเต็มไปด้วยความสงบหนักแน่น
เขาให้สัญญากับมังกรดำว่าจะช่วยนาง ก็ต้องทำเช่นนั้นให้ได้ ปีนี้ทำไม่ได้ ปีหน้าทำไม่ได้ ก็ต้องมีสักปีที่ทำได้ เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่ามังกรดำคงไม่ต้องถูกจองจำใต้ดินไปอีกหลายร้อยปี แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาจะรอดชีวิตผ่านวัยยี่สิบปีไปได้หรือไม่
“หลายคืนก่อน ข้าเห็นกระบี่เพลิง…ช่างน่าเกรงขามนัก”
เสียงกระจ่างเย็นดังขึ้นด้านหลังเขา มังกรดำลอยมาอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เมื่อมังกรดำกล่าวถึงกระบี่เพลิง ประกายความกลัวก็ฉายขึ้นในส่วนลึกของนัยน์ตามังกร “นั่นคือ…กระบี่ของซูหลีอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงรู้เพศของมังกรดำมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยเมื่อได้ยินเสียงเช่นนี้
ในการเดินทางหมื่นลี้ลงใต้ มังกรดำช่วยเขาสะกดข่มอาการบาดเจ็บของเขาไว้ นางจึงสิ้นเปลืองดวงจิตไปมากมายและใช้เวลาส่วนใหญ่นอนหลับ ทว่านางก็ยังยอมรับว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่นางไม่ยอมตื่นขึ้นก็เพราะนางไม่อยากให้ซูหลีพบการมีอยู่ของนาง
ในตอนนั้น ซูหลีนั้นบาดเจ็บสาหัสอ่อนแอยิ่งกว่าคนธรรมดา แม้กระนั้นมังกรดำก็ยังหวาดกลัวเขาอยู่ ในการพบกันช่วงแรกที่บ่อน้ำพุร้อนในทุ่งหิมะนางสัมผัสได้ถึงกระบี่ของซูหลี…ว่ามันได้สังหารเผ่าพันธุ์ของนางมามากมาย แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านาง
“ผู้อาวุโสซูหลีและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สู้กัน ผลลัพธ์ก็คือ…น่าจะเสมอกันกระมัง”
“เจ้าเป็นอย่างไร ไม่เห็นเจ้ามาหาข้าหลายวันเลย ต้องยุ่งมากเป็นแน่ แต่ยุ่งเรื่องอะไรกัน”
“ข้ากำลังศึกษาตำราเกี่ยวกับค่ายกล”
เฉินฉางเซิงมองไปยังภาพใหญ่โตของขุนพลเทพทั้งสองบนผนังหิน จากนั้นก็กล่าวต่อ “…เวลาที่เหลือก็เตรียมตัวต่อสู้”
“เจ้าเป็นใต้เท้าสังฆราชคนต่อไป ใครจะกล้าสู้กับเจ้า”
“คนมากมาย”
“เจ้าสู้พวกเขาไม่ได้”
“สู้คนผู้นั้นไม่ได้”
“ใคร”
“สวีโหย่วหรง”
“…คู่หมั้นเจ้าหรือ”
ด้วยเหตุผลที่บอกไม่ถูก เสียงมังกรดำดูเฉยชายิ่งขึ้น น้ำเสียงก็เรียบเฉย
เฉินฉางเซิงไม่สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้และกล่าวต่อ “ข้าไม่รู้ว่านางเป็นหรือไม่ได้เป็นคู่หมั้นของข้ากันแน่”
อารมณ์ที่ซับซ้อนฉายขึ้นในดวงตาของมังกรดำ “ไหนเล่าให้ข้าฟังซิ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็บอกเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้มังกรดำฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องก่อนหรือหลังสะพานหน่ายเหอ หรือเรื่องที่เขาเข้าไปในวังกลางคืนหิมะโปรย ไม่ปิดบังแม้อารมณ์ที่อยู่ในส่วนลึกที่สุด เล็กน้อยที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาบอกเล่าเรื่องราวระหว่างตนกับสวีโหย่วหรงออกไป แม้จะบอกถังซานสือลิ่วไปบ้างแล้ว เขาก็ยังปิดบังรายละเอียดเอาไว้ ทว่าเขาไม่ปิดบังอะไรจากมังกรดำที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้หลายครั้งและเขาเชื่อใจอย่างที่สุด ถึงแม้เขาจะรู้ว่าด้วยชีวิตอันยาวนานไร้สิ้นสุดของเผ่ามังกรนั้น มังกรดำตัวนี้เพิ่งจะเข้าช่วงวัยแรกรุ่นเท่านั้น แต่ด้วยว่ามังกรดำมีชีวิตอยู่มาแล้วหลายร้อยปี เขาจึงยังนับถือมังกรดำตัวนี้เป็นผู้อาวุโสที่ควรให้ความเคารพ
โดยสรุปแล้ว เขาเชื่อมั่นในตัวมังกรดำอย่างลึกซึ้งและอย่างสบายใจ จึงได้พูดเรื่องมากมายโดยไม่ปิดบังรายละเอียดแม้แต่น้อย
พื้นที่ใต้ดินอันสงบสุขนี้พลันมีชั้นน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนกำแพงหิน ปิดบังใบหน้าของขุนพลเทพในตำนานทั้งสอง
มังกรดำลอยลงมา เฉินฉางเซิงสะท้อนอยู่ในดวงตาสีดำขลับ จากนั้นมันก็อ้าปากขึ้นช้าๆ
ในการมายังสะพานอุดรใหม่สองสามครั้งหลังมานี้ เมื่อใดก็ตามที่เฉินฉางเซิงศึกษาเรื่องค่ายกลและเหนื่อยล้าทั้งกายใจจากการขบคิดหาวิธีช่วยมังกรดำทำลายกรงขังของหวังจื่อเช่อ มังกรดำจะก้มหัวและหายใจเอาลมหายใจมังกรที่แผ่วเบาและเย็นสบายออกมา ช่วยให้เฉินฉางเซิงสามารถขับไล่ความเหนื่อยล้าและรู้สึกสดชื่น ดังเช่นที่ทำไปเมื่อครู่
เฉินฉางเซิงคุ้นเคยกับเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นมังกรดำเคลื่อนไหวเขาก็หลับตาลงเตรียมรับความเย็นของเกล็ดน้ำแข็ง
เสียงคำรามของมังกรที่แผ่วเบาและเย็นเยียบก็ดังขึ้น
ลมหายใจมังกรตกลงบนศีรษะและลำตัวของเฉินฉางเซิง
นี่ไม่ใช่ลมหายใจเย็นเยียบที่ก่อให้เกิดน้ำแข็ง แต่เป็นลมหายใจมังกรแท้จริงของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง
ร่างของเฉินฉางเซิงก็ถูกแช่แข็งอยู่ในก้อนน้ำแข็งที่ใสดุจแก้วผลึกในทันที
……
……
น้ำกระทบก้อนน้ำแข็งก่อให้เกิดเสียงดัง
นี่ไม่ใช่แม่น้ำลั่ว ทว่าสระน้ำเล็กๆ ในวังหลวง วังหลวงเป็นฤดูใบไม้ผลิอยู่ตลอดปีด้วยค่ายกล ดังนั้นสระน้ำเล็กๆ นี้จึงไม่เป็นน้ำแข็ง
สำหรับเฉินฉางเซิงแล้วนี่เป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดี
ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยขึ้นลงอยู่ในสระ ร่างของเขาถูกแช่แข็งอยู่ในนั้น
การที่น้ำในสระไม่แข็งเป็นเรื่องดี เพราะน้ำไหลสามารถละลายน้ำแข็งได้อย่างรวดเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เรื่องไม่ดีก็คือน้ำในสระกระเพื่อมขึ้นลงตลอดและก้อนน้ำแข็งก็ไม่นิ่งกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ตลอด เขาที่อยู่ในนั้นรู้สึกว่ามันยากจะทนไหวและยังน่าอายอีกด้วย
ความรู้สึกอับอายนั้นเป็นเรื่องธรรมดาหากมีใครมาพบในสภาพเช่นนี้
หากไม่มีใครเห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอย่างการที่ถังซานสือลิ่วกอดต้นไม้เอาไว้ขณะที่สะอึกไม่หยุด หรืออย่างในตอนนี้ที่ติดอยู่ในก้อนน้ำแข็งลอยไปลอยมา ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร สาเหตุที่เฉินฉางเซิงรู้สึกอับอายในตอนนี้ก็เพราะว่ามีคนมองดูเขาตั้งแต่แรก
จะพูดให้ถูกก็คือไม่ใช่คน
แพะดำยืนอยู่ข้างสระ เอียงศีรษะเล็กน้อยจ้องมองเขาที่แช่อยู่ในสระ
มันจ้องมองเขามานานแล้วดูเหมือนจะให้ความสนใจมาก ไม่ละสายตาเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงยิ่งรู้สึกกระดากอายมากขึ้นเรื่อยๆ
หากเขาสามารถทำลายก้อนน้ำแข็งนี้ได้ คงทำไปนานแล้ว แต่อย่างที่คาดไว้ ลมหายใจมังกรของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง สามารถแช่แข็งห้วงแห่งจิตและร่างกายไปพร้อมกัน แม้ว่าตอนนี้เขาจะเข้าใจกระบี่เผานภาและสามารถใช้เจตจำนงกระบี่จุดไฟได้ กระนัันกลับไร้อำนาจที่จะทำลายน้ำแข็งที่ล้อมรอบเขานี้
เขาใช้เวลานานมากแต่ก็ละลายน้ำแข็งไปได้เพียงนิดเดียวที่บริเวณใบหน้าและพอจะลืมตาขึ้นได้เท่านั้น
เวลาเคลื่อนผ่านไปช้าๆ ก้อนน้ำแข็งก็ลอยขึ้นลงต่อไป แพะดำยังคงจ้องมองเขาอย่างสนใจต่อไป มันเหมือนจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น คิดว่าเขากำลังฝึกวิชาอะไรอยู่หรือไร
น้ำแข็งตรงหน้าเฉินฉางเซิงละลายต่อไป หลังจากลืมตาได้เขาก็สามารถเปิดปากได้ในที่สุด เขารีบตะโกน “ช่วยข้าด้วย”
เนื่องจากเข้าอ้าปากตะโกน น้ำแข็งที่ละลายจึงไหลเข้าจมูกปากจนเขาสำลักอย่างเจ็บปวด
แม้ว่าเสียงเขาจะเบามาก เจ้าแพะดำก็สามารถเข้าใจการขยับปากของเขาได้
ดังเช่นที่มันทำมาตลอดสองปีนี้ เมื่อเฉินฉางเซิงต้องการให้ช่วย แพะดำก็จะทำตามคำขอร้องของเขา
แพะดำเดินมาที่สระอย่างช้าๆ ใช้เขาดันก้อนน้ำแข็งไปบนบันไดหินและเริ่มออกแรง
ก้อนน้ำแข็งแตกออกด้วยเสียงแหลมก่อนเฉินฉางเซิงจะร่วงลงมา
ร่างกายของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำจากน้ำแข็งที่ละลาย อยู่ในสภาพน่าอนาถ หน้าเขาซีดเซียว ความหนาวเย็นไหลเรื่อยไปทั้งห้วงแห่งจิตและแดนลี้ลับ เขาได้รับบาดเจ็บภายในอย่างไม่คาดคิด
ความขุ่นข้องและหวาดกลัวฉายขึ้นในดวงตาของเขา
ทำไมมังกรดำถึงได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เขาไปล่วงเกินมันตั้งแต่เมื่อไรกัน
เมฆเหนือวังหลวงค่อยๆ กระจายออกไป เผยให้เห็นดวงตะวันที่อ่อนแรงเหมือนกับของปลอม
ไม่ว่ามันจะอ่อนแอหรือไม่เหมือนจริงเพียงไร แต่มันก็ยังเป็นของจริง ส่องแสงอันอบอุ่นนุ่มนวลออกมา
เฉินฉางเซิงนำชุดสำรองออกมาจากฝักกระบี่ เพราะมือและเท้าของเขาแข็งเย็นจึงใช้เวลานานกว่าจะเปลี่ยนชุดเสร็จ
เขาเอนกายพิงเสาของตำหนักอันเย็นเยียบเปลี่ยวเหงานี้ หลับตาลงปล่อยให้แสงแดดอบอุ่นร่างกาย
แพะดำงอขาหน้าลงช้าๆ และนั่งลงข้างกายเขา จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลง
……
……
ในอนาคตเมื่อใดก็ตามที่เฉินฉางเซิงคิดถึงวันนี้ เขาจะรู้สึกโศกเศร้าและผิดหวัง
ในตอนนี้เขายังเยาว์ ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจ มีรายละเอียดมากมายที่เขาไม่ทันสังเกต
ไข่มุกราตรีส่องสว่างรายละเอียดในพื้นที่ใต้ดินและพระอาทิตย์ก็ส่องสว่างสระน้ำ
เขาเชื่อว่ามังกรดำเป็นผู้อาวุโส เป็นที่ไว้วางใจ ที่เขาจะสามารถบอกเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับความรักของเขา
นี่เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงสองประการ
ปกติมังกรดำนั้นสามารถไว้วางใจได้ แต่นางไม่ใช่ผู้อาวุโส เมื่อนางได้ยินเรื่องราวความรักของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง
เพราะนางเป็นสาวน้อย นางมีเหตุผลที่ดีที่จะโกรธ
ในถ้ำใต้ดินที่เย็นเยียบและมืดมน สาวน้อยกำลังกินอาหารอยู่
นางไม่อยากกินต่อหน้าเฉินฉางเซิงด้วยรูปลักษณ์ของมังกรดำ เพราะร่างนั้นกินอย่างมูมมามเกินไปไม่มีความงดงามแม้แต่น้อย นางเกรงว่าจะทำให้เขารู้สึกกลัว
แต่เฉินฉางเซิงไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมนางถึงได้โกรธมาก
เมื่อนางได้ยินเรื่องการต่อสู้ของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงบนสะพานหน่ายเหอ นางก็รู้สึกโกรธมาก
นางเคยคิดว่าหากเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเช่นนี้ก็ไม่เป็นไร แต่กลายเป็นว่า…อาจเป็นเพราะอาหารหรือเพราะนางโกรธหรือเพราะสาเหตุอื่น นางแก้มป่องและใบหน้างดงามก็แสดงความไม่ยินดีออกมา รอยแผลโลหิตตรงหว่างคิ้วแผ่รัศมีโหดเหี้ยมออกมา นัยน์ตาแนวดิ่งของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“คนไร้หัวใจ! หากเจ้าไม่ได้รับบาดแผลที่หว่างคิ้วบนสะพานหน่ายเหอและดูเหมือนเช่นข้าอยู่บ้าง…ข้าคนกลืนเจ้าเข้าไปแล้ว”
นางคว้ากุ้งมังกรครามขึ้นด้วยสองมือและกัดกินปานกัดอ้อย กัดอย่างรุนแรงและโกรธเกลียดเช่นเดียวกับความคิดที่เกลียดชังอย่างรุนแรง
ใช้เวลาไม่นานอาหารหลายสิบอย่างที่เฉินฉางเซิงนำมาก็ถูกนางกินไปจนหมด
ท้องของนางนูนป่องเล็กน้อยอยู่ใต้ชุดสีดำ
จากนั้นนางก็ก้มหน้าลงช้าๆ และนั่งอยู่ในเงา
อันที่จริงแล้ว นางไม่สนหรอกว่านางจะกินอะไร
ไม่ว่านางจะกินอะไรนางก็ต้องกินตามลำพัง
นางไม่ต้องการที่จะกินตามลำพัง
นางกินตามลำพังมานานหลายร้อยปีแล้ว
นางอยากกินร่วมกับใครสักคน
บางทีไม่กินก็ได้ แค่คุยกันก็ยังดี
ไม่คุยกันก็ได้ แค่นั่งเป็นเพื่อนกันก็ยังดี
……
[1] ชื่อตอนนี้มาจากสำนวน冰雪聪明 ฉลาดราวน้ำแข็งหิมะ หมายถึงคนที่ฉลาดอย่างมาก