เฉินฉางเซิงเอนกายพิงเสาอยู่เป็นเวลานาน กระทั่งถึงยามที่พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยสู่ทิศตะวันตกและร่างกายต้องไออุ่น เขาถึงได้ลืมตาขึ้น
แพะดำเดินนำหน้าเขาเตรียมตัวที่จะพาเขาออกไป
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าให้มันและกล่าว “ข้ายังมีบางอย่างต้องทำ”
เขานั่งอยู่ที่เดิม จ้องมองก้อนน้ำแข็งในสระอย่างเงียบงันประหนึ่งกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ดวงตาของแพะดำที่ดำราวกับราตรีเผยความประหลาดใจออกมา
หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เฉินฉางเซิงก็ยืนขึ้น ไม่ได้เดินออกจากวังหลวงกลับไปยังสำนักฝึกหลวง แต่ไปยังตำหนักหลังหนึ่ง
เขาได้มายังตำหนักนี้หลายครั้งแล้ว ทุกครั้งเขาจะมาในยามราตรีและพูดกับนางไม่กี่คำผ่านหน้าต่าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินเข้ามาในตำหนัก
อย่างที่คาดไว้ ซวงเอ๋อร์ก็เข้ามาในวังหลวงเช่นกัน นางหน้าซีดลงในทันทีแทบจะกรีดร้องออกมาครั้นเห็นหน้าเขา นางสงบใจลงอย่างยากลำบาก เมื่อนางยกน้ำชามาก็มือสั่นจนแทบจะทำหกรดตัวเขา
“อย่าได้ใส่ใจ ข้าบอกได้อย่างมั่นใจว่านางไม่ได้ฉวยโอกาสล้างแค้นเจ้า”
สวีโหย่วหรงมองดูเขาและถามอย่างใจเย็น “เกิดอะไรขึ้น”
นางรู้ดีว่าเมื่อนางขอให้เก็บความสัมพันธ์ของพวกเขาเอาไว้เป็นความลับ เฉินฉางเซิงย่อมไม่เสี่ยงมาให้ถูกพบเห็นหากเป็นสถานการณ์ทั่วไป
เฉินฉางเซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ข้า…มีเพื่อนที่ถูกขังอยู่ในที่แห่งหนึ่งเป็นเวลานานและข้าอยากจะช่วยเขา”
ได้ยินดังนั้นสวีโหย่วหรงก็นิ่งเงียบไปและถามขึ้นเบาๆ “แล้ว?”
“ในอดีตเขาคงทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ แต่…เขาก็ถูกขังมานานแล้ว ช่างน่าสงสารยิ่งนัก”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้อย่างไรดี ดังนั้นคำพูดของเขาจึงออกจะสับสน “แต่ข้าไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนั้น ก็เลย…”
สวีโหย่วหรงไม่รอให้เขาพูดจบ มองดูตาของเขาอย่างสงบและถาม “แน่ใจหรือว่าอยากจะทำเช่นนั้นจริง”
เฉินฉางเซิงมองจ้องกลับไปอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และตอบไปอย่างจริงจัง “ข้าต้องการจะทำเช่นนั้น”
สวีโหย่วหรงจ้องตาเขาและถาม “เพื่อนของเจ้าคือ…จูซาหรือ”
เฉินฉางเซิงรู้สึกสับสน “จูซา?”
สวีโหย่วหรงรู้สึกประหลาดใจและถาม “เจ้าไม่รู้จักชื่อนางหรอกหรือ”
เฉินฉางเซิงตกตะลึงถามกลับ “เจ้ารู้ว่าข้าพูดถึงใครอย่างนั้นหรือ”
สวีโหย่วหรงอธิบาย “จูซาเป็นชื่อของมังกรสาวน้อยตัวนั้น ว่ากันว่าตอนนั้นหวังจื่อเช่อเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้นาง”
เฉินฉางเซิงมองนางด้วยความตกใจและกล่าว “เจ้ารู้เรื่องมังกรดำด้วยหรือ”
สวีโหย่วหรงพยักหน้า
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน มังกรดำเป็นของต้องห้ามของวังหลวงต้าโจว ความลับที่มีคนรู้ไม่กี่คน อย่างไรก็ตาม สวีโหย่วหรงเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และยังถูกสอนเลี้ยงดูมาโดยจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สำหรับนางแล้วการได้รู้เรื่องนี้ก็ไม่ยากเกินจะเข้าใจได้
“ที่แท้…นางชื่อจูซา”
“ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้”
“ไฉนใต้เท้าหวังจื่อเช่อถึงตั้งชื่อนี้ให้นาง”
“หลายปีก่อนเผ่ามังกรทองได้หายไปจนหมดสิ้น ดังนั้นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งซึ่งเป็นที่นับถือจึงกลายเป็นผู้มีสิทธิ์ ได้เป็นผู้นำเผ่ามังกรต่อ แต่มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นนั้นมีวิญญาณที่โหยหาความเป็นอิสระเป็นที่สุด ไม่อยากที่จะแบกรับภาระ จึงมายังโลกมนุษย์อย่างเงียบๆ ไม่มีใครเห็นและพบกับโจวตู๋ฟู”
“หลังจากนั้นเล่า”
“มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่แข็งแกร่งที่สุด สูงส่งที่สุด ภาคภูมิที่สุด ในรอบพันปีได้ตกลงสู่ปฐพี กลายเป็นหุบเขาอัสดงในสวนโจว”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไป
ตอนที่อยู่ในสวนโจว เขาได้เห็นภาพอันงดงามของเทือกเขาที่ลุกโชนอยู่ในยามสนธยาด้วยตาตนเอง เขายังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ผุดขึ้นจากวิญญาณของมังกรดำ แต่ไม่คิดเลยว่าหุบเขาอัสดงจะมีต้นกำเนิดมาจากร่างกายของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่ตายลง
“หลังจากนั้นเล่า”
“จูซาเป็นลูกสาวของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งตัวนั้น นางจากเกาะมังกรในหนานไห่ด้วยวิธีบางอย่างและมาถึงโลกมนุษย์ตามลำพัง…ตามบันทึกที่เหลืออยู่ในพระราชวังหลีและวังหลวง นางบอกว่าก่อนที่บิดานางจะจากมา เขาได้ลืมตั้งชื่อให้กับนาง และชื่อที่ผู้อาวุโสในเผ่าตั้งให้นางนั้นยาวเกินไป น่าเกลียดเกินไป จำยากเกินไป นางไม่ชอบ จึงมายังโลกมนุษย์เพื่อหาบิดา ให้เขาตั้งชื่อที่ดีกว่าให้นาง”
“นางแค่ต้องการชื่อเท่านั้นหรือ”
“ใช่ ในช่วงนั้นนางจึงถูกเรียกว่ามังกรชั่วร้ายที่ตามหาชื่อ”
“มังกรชั่วร้าย?”
“ใช่แล้ว ตอนนางมาถึงฝั่งของต้าลู่จากหนานไห่ ก็ทำลายหมู่บ้านชาวประมงและเมืองต่างๆ มากมาย สังหารคนไปเป็นจำนวนมาก และเกือบจะทำให้เกิดความโกลาหลในนครจิงตูด้วย เจ้าคงรู้เรื่องที่เกิดหลังจากนั้นแล้ว ใต้เท้าหวังจื่อเช่อวางแผนที่จะจับนางและใช้ค่ายกลกักขังนางเอาไว้ใต้สะพานอุดรใหม่”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “นั่นไม่เรียกว่าแผน มันคือกลลวง”
สวีโหย่วหรงคิดดูแล้วก็เห็นด้วย “จริงอย่างเจ้าว่า”
เฉินฉางเซิงถาม “ทำไมหวังจื่อเช่อถึงได้ตั้งชื่อนางว่าจูซา”
สวีโหย่วหรงสังเกตเห็นว่าครั้งนี้เขาเรียกหวังจื่อเช่อโดยไม่เรียกว่า ‘ใต้เท้า’ นางจึงอดที่จะยิ้มน้อยๆ ไม่ได้
“ไม่มีใครรู้ว่าทำไม แต่ต้องมีความหมายลึกซึ้งเบื้องหลังชื่อที่ใต้เท้าหวังจื่อเช่อตั้งให้นาง”
นางมองดูเขาราวกับว่ามันมีความหมายบางอย่าง
เฉินฉางเซิงไม่สนใจและถามต่อ “แล้วตอนนี้นางอายุเท่าไร”
“หากเทียบอายุของเผ่ามังกรกับมนุษย์แล้ว นางก็คงอ่อนกว่าพวกเราปีสองปีกระมัง”
“แม้ว่าข้าจะคิดเรื่องนี้มาก่อน ก็ยังรู้สึกว่ามันแปลก…ข้าเรียกนางว่าผู้อาวุโสตลอดเลย”
“เจ้ายังต้องการจะช่วยนางต่อหรือไม่”
“ต้องการ”
“แม้ว่านางจะเคยทำความผิดใหญ่หลวงน่ะหรือ”
“เจ้าพูดก่อนหน้านี้ นางอายุน้อยกว่าเราปีสองปี ดังนั้นตอนที่นางออกจากหนานไห่มายังโลกมนุษย์ นางอายุเท่าไรกัน สักขวบสองขวบหรือ”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวต่อ “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนนั้นในหมู่บ้านชาวประมงและเมืองเหล่านั้น ข้าไม่มีเจตนาจะแก้ตัวแทนนาง แต่นางยังเป็นทารกอยู่ในตอนนั้น ต่อให้นางทำผิดใหญ่หลวงเพียงไร ข้าคิดว่าการกักขังนานหลายร้อยปีก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
สวีโหย่วหรงครุ่นคิดอย่างจริงจังและตอบกลับอย่างแผ่วเบา “นับว่าพอแล้วจริงๆ”
เฉินฉางเซิงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่นางมีความคิดเช่นเดียวกับเขา แต่ไม่ว่าเขาจะหัวช้าแค่ไหนก็ตาม ก็รู้ว่าการขอร้องนี้ออกจะไม่เหมาะสม จึงไม่รู้สึกดีใจเกินไปนักแต่รู้สึกระแวดระวังมากขึ้นแทน เสียงของเขาอ่อนลงและถาม “เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่”
สวีโหย่วหรงมองเขากลับไปและตอบอย่างซื่อตรง “ย่อมได้ แต่นอกจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และใต้เท้าสังฆราชแล้ว ผู้ใดจะสามารถทำลายค่ายกลที่ใต้เท้าหวังจื่อเช่อทิ้งไว้ได้อีก”
เฉินฉางเซิงนึกถึงบทสนทนาในราชวังหลี ที่เขาพูดกับอาจารย์อาใต้เท้าสังฆราชหลังจากออกจากสวนโจวมาถึงนครจิงตู จากนั้นก็ส่ายหน้า
สวีโหย่วหรงเข้าใจและกล่าว “แม้ว่าข้าจะไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ก็พอจะจินตนาการได้ว่าค่ายกลนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสองคนจะทำลายได้ด้วยระดับความแข็งแกร่งในตอนนี้”
“เรารอตลอดไปไม่ได้หรอก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ก็ไม่มีทางที่สะพานอุดรใหม่จะกลายเป็นสะพานจริงๆ ไปได้”
“ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น แม้แต่ทะเลยังเปลี่ยนเป็นท้องนาได้ ความแข็งแกร่งของกาลเวลานั้นทรงพลังยิ่งกว่าที่เราจะจินตนาการได้”
……