ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 44 ข่าวลือในจิงตู

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“อย่าได้บอกว่าต้องรอไปอีกหลายร้อยปี”

“บางทีเราอาจต้องศึกษาความแข็งแกร่งของกาลเวลา บรรดาตำนานในอดีตอาจจะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะกาลเวลาได้”

“ในคัมภีร์เต๋าทั้งสามพันมีเพียงเล่มเดียวที่พูดถึงเวลา”

“เช่นนั้นก็ควรดูคัมภีร์กาลเวลาก่อน”

“เข้าใจแล้ว ถ้าถึงเวลาแล้วก็ช่วยข้าศึกษาด้วย”

เมื่อกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยและเห็นว่าสายมาแล้ว เฉินฉางเซิงก็ยืนขึ้นกล่าวลา จากนั้นก็เดินออกจากตำหนักไป

ซวงเอ๋อร์ยืนอยู่กลางหิมะนอกตำหนัก สังเกตการเปลี่ยนแปลงภายนอกทั้งหลายอยู่เป็นระยะๆ ครั้นเห็นเขาเดินออกมา นางก็มีสีหน้าที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงเตรียมที่จะกล่าวกับนางสักสองสามคำ ทว่าเสียงสวีโหย่วหรงดังมาจากข้างหลังเสียก่อน

“เจ้ากับแม่นางจูซาสนิทสนมกันดีหรือ”

เฉินฉางเซิงยืนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจว่าแม่นางจูซาที่นางพูดถึงอันที่จริงแล้วก็คือมังกรดำน้อย เขาถามด้วยความงุนงง “สนิทสนม?”

“ม่ออวี่เคยเห็นพวกเจ้าสองคนกอดกัน”

เห็นได้ชัดว่าสวีโหย่วหรงนั้นตั้งใจขุ่มเสียงให้นิ่ง เพราะมันนิ่งเสียจนไม่เป็นธรรมชาติ

เฉินฉางเซิงพูดอะไรไม่ออก ได้แต่คิดว่ามังกรดำตัวใหญ่อย่างกับภูเขา เขาจะไปกอดนางได้อย่างไรกัน

“หรือว่าเจ้าไม่รู้…หากนางไม่อยู่ในรูปร่างมังกร นางก็เป็นสาวน้อยที่น่ารักคนหนึ่ง”

……

……

ในความมืดมิด เฉินฉางเซิงพิศดูผิวน้ำอันสงบนิ่งของสระน้ำที่ยังมีเศษน้ำแข็งลอยอยู่อย่างเงียบงัน

สาวน้อยกับมังกรดำ บางทีอาจเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไป แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

มีชื่อหรือไม่มีชื่อก็เป็นความแตกต่างอย่างยิ่งเช่นกัน

ย้อนไปตอนนั้น หวังจื่อเช่อมอบชื่อให้แก่นาง เรียกนางว่าจูซา

เขาเองก็ตังชื่อให้นางสองชื่อ ชื่อหนึ่งคือจี๊ดจี๊ด อีกชื่อคือหงจวง

ดูเหมือนทั้งสองชื่อจะมีการเชื่อมโยงกันอยู่บ้าง

มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่ตายลงในการต่อสู้ที่สวนโจวมีวิญญาณที่โหยหาความอิสระอย่างไร้ขีดจำกัด

นางเป็นลูกสาวของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งและน่าจะมีหัวใจที่โหยหาความอิสระอย่างไร้ขีดจำกัดเช่นเดียวกัน ทว่านางกลับถูกกักขังมานานหลายปีแล้ว

ช่างน่าสงสารอย่างแท้จริง

เขาจากไปโดยไม่พูดอะไรกับสระแห่งนี้

ในคืนวันนั้นเขาใช้ลูกปัดหินที่หวังจื่อเช่อทิ้งไว้เข้าสู่สวนโจว

เขาไม่สนใจอสูรที่เหมือนกับมหาสมุทรซึ่งโค้งคำนับให้เขา สังเกตเห็นแค่ว่าสวนโจวในปัจจุบันนั้นดีกว่าก่อนหน้านี้มาก

บรรดาทะเลสาบรอบทุ่งหญ้าถูกขุดลอกทำความสะอาด หน้าผาที่พังทลายก็ถูกเก็บกวาด

เขาไปยังริมทะเลสาบอีกด้านหนึ่งของน้ำตก พบคัมภีร์กาลเวลาอยู่ในหมู่ตำราที่ตากแดดอยู่

เขากลับมายังหุบเขาอัสดงและใช้แสงจากขอบฟ้าอ่านคัมภีร์

หลังจากผ่านไปนานทีเดียว เขาก็วางหนังสือลง และพูดกับเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่าตรงหน้า “โปรดวางใจ ข้าจะช่วยลูกสาวของท่านอย่างแน่นอน”

……

……

ในลานบ้านของตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง โจวทงเองก็กำลังอ่านคัมภีร์กาลเวลา

คนทั่วไปรู้แค่ว่าเขาเป็นขุนนางที่โหดเหี้ยมน่ากลัว ลืมไปแล้วว่าเขาเคยเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเรื่องความฉลาดปราดเปรื่องด้านการศึกษา รวมถึงเรื่องที่เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว

หลังจากมุขนายกเหมยลี่ซากลับสู่ทะเลดวงดาว เขาก็ทำการศึกษาคัมภีร์กาลเวลาอยู่เป็นนิจ มินานมานี้ก็สามารถทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงบางอย่างของคัมภีร์เต๋าเล่มนี้ได้

“คนผู้หนึ่งจะสามารถเปลี่ยนความเร็วการไหลเวียนของเวลาได้จริงหรือ”

เมื่อเขามองไปยังหิมะและต้นไห่ถังที่เดียวดายอยู่ในลานบ้าน ทะเลเลือดในดวงตาเขาก็เดือดพล่านไม่ยอมหยุด ดูโหดเหี้ยมน่ากลัวผิดปกติ นี่แสดงว่าจิตใจของเขาในตอนนี้อยู่ในสภาพตื่นตกใจ ส่งผลให้ห้วงแห่งจิตก็ไม่สงบ ยากจะรักษาเส้นทางแห่งจิตที่เย็นชาเอาไว้

ครั้งเวลาล่วงไป ทะเลเลือดในดวงตาของเขาก็ค่อยๆ สงบลง ใบหน้าขาวซีดเผยให้เห็นความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อยเล็กน้อย เขารู้ว่านับตั้งแต่เขาตัดสินใจจะติดตามจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และเปิดยุคแห่งความรุ่งโรจน์ นับตั้งแต่ที่เขาจมลงสู่ทะเลโลหิตอันเป็นการทรมานตลอดกาล ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปถึงจุดหมายปลายทางแห่งการฝึกบำเพ็ญได้ตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นกาลหรืออวกาศก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถสัมผัสได้ ทว่ามิได้หมายความว่าจะไม่มีใครในโลกสามารถทำได้

เขาเชื่อว่าหากมีคนสามารถบรรลุถึงขั้นอำพรางเทพในตำนาน หรือไม่ก็ได้รับการสนับสนุนจากค่ายกลที่ทรงพลังอย่างยิ่ง บางทีอาจมีคนที่สามารถใช้คัมภีร์กาลเวลาเพื่อปรับเปลี่ยนความเร็วการไหลของเวลาได้ นี่ย่อมหมายความว่าอายุของคนบางคนอาจจะถูกปรับเปลี่ยนได้ด้วยฝีมือของคนอื่น บางทีรัชทายาทเจาหมิงอาจมีอายุเท่ากับผู้เยาว์คนนั้นก็เป็นได้

……

            ……

มีข่าวลือสองข่าวกระจายไปทั่วจิงตู

ข่าวลือแรกนั้นเหลวไหลทั้งเพ เล่ากันว่าเจ้าสำนักเฉินนั้นเป็นทายาทของราชวงศ์ตระกูลเฉิน มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นรัชทายาทเจาหมิงที่หายตัวไปโดยไร้ร่องรอยระหว่างการกบฏที่ราชวังในตอนนั้น ไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้เพราะอายุของเฉินฉางเซิงนั้นอ่อนกว่ารัชทายาทเจาหมิงอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับข่าวลือที่น่าตระหนกตกใจเช่นนี้ ชาวเมืองจิงตูนั้นปรารถนาที่จะเชื่อข่าวลือที่ชั่วร้ายเย็นชามากกว่า นั่นก็คือรัชทายาทเจาหมิงผู้น่าสงสารได้ถูกบีบคอตายตั้งแต่ยังเป็นทารกด้วยฝีมือของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

ข่าวลือข่าวที่สองนี้น่าสนใจยิ่งกว่าและได้รับการยอมรับมากกว่า บางทีอาจเป็นเพราะถังซานสือลิ่วดื่มหนักเกินไปในคืนหนึ่งและกล่าวกับนางรำในภัตตาคาร หรือบางทีอาจเป็นเพราะซวงเอ๋อร์กลับไปที่จวนขุนพลเทพตงอวี้เพื่อเอาเตาผิงอุ่นมือที่คุณหนูของนางใช้ประจำ ได้เผลอพูดอะไรบางอย่างออกไประหว่างที่ฮูหยินซักถาม หรือแม้แต่เป็นไปได้ว่าคนที่ยืนตระหง่านอยู่บนแท่นสูงเหนือนครจิงตู มองลงมาบนท้องถนนอยู่บ่อยๆ บังเอิญพบเห็นชายหนุ่มหญิงสาวเดินเคียงคู่กัน ร่มกระดาษทองไม่อาจปิดบังหน้าตาของเฉินฉางเซิง…ผู้คนมากมายในนครจิงตูได้ยินมาว่าหลังจากการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และเจ้าสำนักเฉินมักจะพบกันอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังพูดกันว่าเจ้าสำนักเฉินมักจะเข้าไปในวังหลวงเพื่อพบนางอยู่บ่อยๆ

วันนี้เฉินหลิวอ๋องจัดงานเลี้ยงและเฉินฉางเซิงก็เป็นแขกผู้มีเกียรติ วันนี้งานเลี้ยงจัดเพื่อชื่นชมหิมะ และเมื่อชื่นชมหิมะก็เป็นธรรมดาที่จะมีการขับขานบทกลอน ศิษย์หลายคนจากสำนักฝึกหลวงที่ติดตามเฉินฉางเซิงมายังจวนท่านอ๋องได้แสดงความต้องการที่จะแข่งขันแต่งกลอนกับบรรดาศิษย์จากสำนักไม้เลื้อยอีกห้าแห่ง ผ่านไปไม่กี่รอบ พวกเขาทั้งหมดก็พ่ายแพ้ แต่ด้วนสถานะของเฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวงนั้นต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง จึงไม่มีอาจารย์หรือศิษย์คนใด ไม่ว่าจะมาจากสำนักเทียนเต้าหรือหอจงซื่อ กล้าที่จะใช้เรื่องนี้หยามหยันพวกเขา อย่างไรก็ตาม พวกศิษย์ของสำนักฝึกหลวงก็ยังรู้สึกอับอายอยู่ดีและมักจะแอบลอบมองไปทางเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงย่อมรับรู้ถึงสายตาของพวกเขาได้ และเป็นธรรมดาที่จะเริ่มคิดถึงถังซานสือลิ่วขึ้นมา เจ้าหมอนี่นั้นเหมาะที่จะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นที่สุด ไม่ว่าจะถูกยั่วยุ เยาะเย้ยหรือเมินเฉย เมื่อใดที่ขวัญกำลังใจของพวกเขาตกต่ำจนอาจจะถึงขั้นสิ้นหวัง แต่เขาก็ยังคงมีวิธีที่จะพลิกอารมณ์กลับมาได้เสมอ

เช่นเดียวกับในอดีต ถังซานสือลิ่วที่รู้สึกชิงชังอ๋องเฉินหลิวอย่างบอกไม่ถูกและขี้เกียจเกินกว่าจะหาข้อแก้ตัวจึงได้ปฏิเสธงานเลี้ยงวันนี้ตรงๆ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ไกล นำนางรำที่เขาสนิทสนมด้วยคนหนึ่งมานั่งรออยู่ในรถม้าภายนอกจวนอ๋อง ชี้หิมะที่ตกอยู่นอกหน้าต่างและขับขานบทกลอน เล่นบทคุณชายเจ้าสำราญได้เป็นอย่างดี

ประตูใหญ่ของจวนอ๋องเปิดออกและอ๋องหลิวเฉินก็มาส่งเฉินฉางเซิงและบรรดาศิษย์ของสำนักฝึกหลวงด้วยตนเอง

หิมะที่ร่วงโรยหยุดตกแล้ว ชาวเมืองจิงตูหลายคนผู้ชมชอบความตื่นเต้นก็มาออกันนอกจวน ครั้นเฉินฉางเซิงปรากฏกาย สายตานับไม่ถ้วนก็จับจ้องมองทางเขาทันที พร้อมๆ กันก็ตามมาด้วยเสียงกระซิบกระซาบต่างๆ นานา ถนนอันเงียบสงัดนอกจวนแลดูจะกลายเป็นห้องเรียนไปเสียแล้ว