“ผู้ชายก็ล้วนแต่เจ้าชู้ทั้งสิ้น ทุกคนกล่าวว่าเจ้าสำนักเฉินเป็นผู้ไม่สนใจความงามของสตรี แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง เขาไม่ได้เห็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เพียงแวบเดียวหรอกหรือ แค่ได้เห็นความงามของนางเท่านั้นก็รู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมาในทันทีมิใช่หรือ”
ผู้คนที่พูดจาเช่นนี้ล้วนเป็นสตรี
“มีใครบางที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้วยังคงใจแข็งเป็นหินได้ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสำนักเฉินและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เคยมีพันธะหมั้นหมาย แล้วจะให้เขาควบคุมตัวเองได้อย่างไรกัน”
คนที่ช่วยแก้ตัวให้เฉินฉางเซิงแต่คำพูดก็ยังแฝงไว้ด้วยการหยอกล้ออยู่บ้างนี้ล้วนเป็นชาย
“บอกข้าซิ ว่าทำไมเจ้าสำนักถึงได้แกล้งโง่และยกเลิกการหมั้นตั้งแต่แรก”
“ใครบอกว่าเจ้าสำนักยกเลิกการหมั้น มันไม่ใช่แค่ข่าวลือที่ไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อยหรอกหรือ”
“มีข่าวออกมาจากพระราชวังหลีเมื่อนานมาแล้ว ไม่มีแม้แต่เงาของสัญญาหมั้นหมายในตำหนักขบวนรถอริพ่าย”
“ยกเลิกการหมั้นกันง่ายๆ เช่นนั้นเลยหรือ”
“ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น”
“นี่เป็นเรื่องที่ยาวมากทีเดียว ว่ากันว่าในฤดูวสันต์เมื่อสองปีก่อน เจ้าสำนักจากเมืองซีหนิงมาถึงนครจิงตูและเคาะประตูจวนขุนพลเทพตงอวี้…”
“พิโธ่ ถูกหยามหยันจากจวนขุนพลเทพตงอวี้เช่นนั้น ถูกกดดันเช่นนั้น เป็นข้าก็ยังทนไม่ได้อย่าว่าแต่เจ้าสำนักเลย”
“จากนั้นเจ้าสำนักก็ทำงานอย่างมุ่งมั่นตั้งใจจนมีอนาคตที่ดีในตอนนี้ บางทีเขาอาจถูกล่วงเกินมากเกินไปในตอนแรก ตอนนี้เมื่อมีฐานะอำนาจเขาย่อมหันกลับไปตบหน้าจวนขุนพลเทพสักครั้ง อ้า เขาถึงได้บอกว่าอย่าได้รักแกคนหนุ่มตกยาก ตราบใดที่พวกเขาทุ่มเทศึกษาฝึกฝน ก็อาจจะยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ในอนาคต”
“แต่…จากข่าวลือพวกนั้น เจ้าสำนักก็รู้สึกผิดที่ตัดสินใจเช่นนั้นมิใช่หรือ นี่ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเองหรืออย่างไร”
“เจ้าเป็นคนที่พูดเช่นนั้น”
บทสนทนาข้างต้นนั้นอันที่จริงแล้วเป็นของพวกศิษย์สำนักฝึกหลวง
ความก้าวหน้าในการฝึกบำเพ็ญนำมาซึ่งผลประโยชน์มากมาย แต่ก็นำมาซึ่งความน่ารำคาญที่ไม่คาดคิดอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นประสาทสัมผัสทั้งห้าจะแหลมคมขึ้นมาก ดังนั้นแม้ว่าพวกแม่บ้านในตลาดจะป้องปากนินทา หรือชายที่อยู่ถัดไปจะฉีกยิ้มล้อเลียนผู้อื่น หรือการที่ลูกศิษย์ของตนเองกระซิบกระซาบกันเองในกลุ่ม ก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ในรถม้า มองออกไปนอกหน้าต่างดูหิมะที่โปรยปราย เขาดูสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมาก มีเพียงมือที่กำแน่นเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นรู้สึกอับอายอย่างแท้จริง
ถังซานสือลิ่วได้ให้คนไปส่งนางรำกลับบ้าน จากนั้นก็นั่งตรงข้ามกับเฉินฉางเซิง มองดูสีหน้าของเขาแล้วก็ยิ้มเย้ย
เฉินฉางเซิงดูเหมือนจะมองหิมะอย่างสนใจ แต่ความจริงแล้วเขาให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายอย่างลึกซึ้ง นับจากวันที่ข่าวลือนั้นเริ่มแพร่ออกไปทั่วนครจิงตู เขาก็เริ่มรู้สึกอ่อนไหว
“เจ้ายิ้มอะไรกัน”
“ยิ้มให้กับความโง่ของเจ้า”
รถม้าเงียบลงอีกครั้งหนึ่ง เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยความอับอาย ถังซานสือลิ่วพูดอย่างดูถูก “ย้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อ ข้าบอกเจ้าว่าเจ้ากับสวีโหย่วหรงนั้นต่างเป็นพวกที่ทำให้ผู้คนหมดคำพูด ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเจ้าสองคนจะเป็นพวกที่สร้างหายนะให้ตัวเองอีกด้วย”
ทุกครั้งที่พวกเขาพูดเรื่องนี้ ถังซานสือลิ่วจะพูดอย่างง่ายดายแต่ทำให้เฉินฉางเซิงพูดอะไรไม่ออกได้ทุกทีไป
เมื่อเขาไม่มีอะไรจะพูดในเรื่องนี้ ก็ได้แต่เปลี่ยนเรื่องพูด เขาถามอย่างจริงจัง “ตอนนั้นข้าเคยขอให้ลั่วลั่วสืบหาว่าสตรีเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ในสวนโจวเป็นใคร ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่านั่นเป็นความผิดพลาด ข้าอยากจะเขียนไปบอกนางเรื่องนี้ แต่ก็รู้สึกไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ถังซานสือลิ่วมองเขาอย่างดูถูกและกล่าว “ข้าคิดอย่างไรละหรือ หากเจ้ายังคิดไม่ได้ว่านี่ไม่เหมาะสม เจ้าก็เป็นสุกรโดยแท้”
“แล้วข้าจะทำอย่างไรดี”
“ข้าจะเขียนจดหมายถึงองค์หญิงลั่วลั่วและจากนั้นเจ้าก็สามารถอ้างถึงในจดหมาย”
ถังซานสือลิ่วเสนอความเห็น
เฉินฉางเซิงนึกถึงคำกระซิบกระซาบที่เขาได้ยินนอกจวนอ๋องและรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง เขาถาม “ทำไมนางไม่เห็นด้วยที่ข้าจะไปยังจวนขุนพลเทพเพื่อสู่ขอ”
“สู่ขอหรือ” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วถาม “แล้วอย่าไรต่อ”
เฉินฉางเซิงประกาศราวกับว่าเป็นเรื่องถูกต้องและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ “ข้าไปสู่ขอและนางก็จะตกลง จากนั้นข่าวลือและการนินทาเหล่านี้ก็จะจบลงไม่ใช่หรือ”
ถังซานสือลิ่วถามกลับ “ด้วยเหตุผลใดมิทราบเจ้าถึงเชื่อว่านางจะตอบตกลง”
เฉินฉางเซิงชะงัก คิดในใจว่า นี่ยังต้องคิดอีกหรือ
“หากเจ้าไปที่จวนขุนพลเทพตงอวี้เพื่อสู่ขอ สวีซื่อจีจะยอมรับเช่นนั้นหรือ หรือเจ้าจะหวังว่าสวีโหย่วหรงจะออกมายืนกรานด้วยตัวเอง” ถังซานสือลิ่วพูดอย่างโมโห “ตอนนั้นเจ้าแหกปากร้องว่าจะยกเลิกการหมั้นหมาย แล้วตอนนี้กลับต้องการให้นางแหกปากร้องว่าอยากแต่งกับเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่คิดหรือว่ามันจะเป็นเรื่องหน้าด้านไร้ยางอายขนาดไหนหากนางทำเช่นนั้น”
เฉินฉางเซิงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ตอนนี้คิดดูแล้วก็พบว่ามันช่างสมเหตุผลยิ่งนัก
“แล้ว…ข้าควรทำเช่นไรดี”
“คำนินทาเยาะเย้ยทั้งหมดนี้ก็เหมือนกับเกล็ดหิมะที่ลอยมา เจ้าต้องทนรับมันไว้ ทนเอาไว้จนกระทั่งนางคิดว่าพอแล้วและเริ่มสงสารเจ้า”
……
……
เนื่องจากเรื่องของการบรรจบกันของเหนือใต้ ประกอบกับเรื่องข่าวลือที่แพร่ไปทั่วนครจิงตู เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงจึงพบกันได้ยากยิ่งขึ้น
เขามองไปบนท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหิมะ รู้สึกสับสนและสงสัยว่าวันเวลาเหล่านี้จะจบลงเมื่อไร จากนั้นเขาก็ได้รับจดหมายที่ไม่ลงนาม
จดหมายนี้ไม่ใช่ของซูหลีแต่เป็นของสวีโหย่วหรง เขายืนอยู่ข้างทะเลสาบหิมะใกล้กับกำแพงสำนักที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ พลางอ่านจดหมายนั้นจนจบ มุมปากของเขายกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจ จากนั้นเขาก็ไปยังห้องสมุด คว้าพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายท่ามกลางสายตาประหลาดใจของพวกลูกศิษย์
จดหมายนี้ไม่ใช่จดหมายตอบ หากแต่เป็นจดหมายถึงใต้เท้าสังฆราช
ในจดหมายกล่าวว่าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมใหญ่จู่สือ เขาอยากปรับระดับการบำเพ็ญเพียรให้มั่นคง เพื่อเตรียมพร้อมขั้นรวบรวมดวงดาวให้มั่นคง เขาจึงต้องการที่จะเข้าไปยังสุสานเทียนซูอีกครั้งเพื่อศึกษาทำความเข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์
ในคืนวันนั้นเองเขาก็ได้รับจดหมายตอบจากใต้เท้าสังฆราช ในจดหมาย ใต้เท้าสังฆราชกล่าวชมและยินดีที่เขานั้นมีความใฝ่รู้ และอวยพรให้เขาโชคดีในการเข้าสู่สุสานเทียนซูอีกครั้งเพื่อศึกษาแผ่นป้ายอนุสรณ์ ในตอนท้ายใต้เท้าสังฆราชเขียนไว้ว่าหากเขาต้องการที่จะเข้าสุสานเทียนซูอีกในอนาคต เขาก็แค่เขียนบันทึกไว้ในราชวังหลี ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายถึงใต้เท้าสังฆราชเป็นการเฉพาะ
จากถ้อยคำในจดหมาย เฉินฉางเซิงสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในที่สุด
สุสานเทียนซูไม่ใช่สถานที่ซึ่งคนจะสามารถเข้าไปได้ตามใจ หากอยากมีสิทธิ์เข้าสุสานเทียนซู ผู้บำเพ็ญเพียรมีสองทางเลือก หนึ่งคือต่อสู้กับพวกเผ่ามารทางเหนือสะสมคุณงามความดีทางการทหาร อีกทางหนึ่งก็คือได้ระดับที่สูงพอในการสอบใหญ่สามารถเข้าสู่สามขั้นแรก แต่ถึงที่สุดแล้วก็มีน้อยคนนักที่จะสามารถได้รับคุณสมบัติเช่นนี้
สำหรับเขาในตอนนี้ สุสานเทียนซูกลายเป็นที่ซึ่งเขาสามารถเข้าไปได้ตามใจต้องการ
เขาไม่ใช่นักพรตน้อยจากเมืองซีหนิงอีกต่อไป
เขาคือเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง ศิษย์หลานของใต้เท้าสังฆราช และว่าที่สังฆราชคนต่อไป
เขายังเยาว์นักแต่ก็กลายเป็นคนสำคัญไปแล้ว
……
……
ประตูหินหนักเปิดขึ้นช้าๆ ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน
ครั้นเห็นว่าภูเขาอนุสรณ์ที่อยู่ตรงหน้ายังคงเขียวชอุ่มกลางเหมันต์เช่นนี้ เฉินฉางเซิงย่อมต้องคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีกลายยามที่แผ่นดินเริ่มสั่นสะเทือนตรงจุดนี้
เมื่อพวกนักบวชและทหารม้าที่ปกปักรักษาสุสานเทียนซูเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้ามุขนายกหลายคน พวกเขาก็เดาตัวตนของคนผู้นั้นได้และอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกอันซับซ้อนต่อเขา
เฉินฉางเซิงเดินเข้ามาในสุสานเทียนซู ในครั้งนี้ไม่ใช่แบบนักท่องเที่ยวหรือผู้เข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ทว่าเหมือนมาในฐานะผู้ตรวจสอบ
เป็นเพราะท่าทีเคารพนับถือของพวกมุขนายกด้านข้างเขา ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งเหมือนจริงมากขึ้น
เขาปฏิเสธสถานที่ที่พระราชวังหลี่จัดเตรียมไว้ให้ แต่เดินตรงไปยังกระท่อมที่สวินเหมยทิ้งไว้
กระท่อมนั้นไม่มีคนอยู่มานานแล้ว แม้แต่ขอบหม้อยังมีฝุ่นเกาะ เนื้อแห้งที่แขวนอยู่บนขื่อไม่มีใครกิน แต่รั้วโดยรอบกลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่า ไม่รู้ว่าเป็นถังซานสือลิ่วหรือกวนเฟยไป๋ที่เป็นคนซ่อมมัน
เมื่อนึกย้อนถึงวันเวลาที่ทำอาหารกันตอนนั้น มองดูดวงตะวัน ศึกษาแผ่นป้ายอนุสรณ์ เขาก็รู้สึกคิดถึงขึ้นมาเล็กน้อย เขาเห็นถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วได้ทุกเมื่อเชื่อวันในสำนักฝึกหลวง แต่ผ่านไปเป็นปีแล้วที่เขาไม่ได้พบโก่วหานสือและคนอื่นๆ และไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้างที่หลีซาน
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากนอกรั้ว บางทีอาจเป็นเพราะดอกล่าเหมยในป่าเพิ่งจะเบ่งบานจึงได้มีกลิ่นหอมอันใสเย็น
“นี่คือที่พักของผู้อาวุโสสวินเหมยอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นจากห้วงคำนึงและหันกลับไป เห็นสวีโหย่วหรงยืนอยู่ที่ริมรั้ว
ในป่านอกรั้ว ดอกล่าเหมยกำลังเบ่งบาน นางยืนอยู่ตรงนั้นทามกลางแสงอรุณที่สาดส่องลงมาดูงดงามราวบุหงา
เฉินฉางเซิงในตอนนี้สามารถเข้ามาในสุสานเทียนซูได้ตามใจต้องการ ด้วยฐานะเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สวีโหย่วหรงย่อมสามารถทำได้เช่นเดียวกัน
เขาตอบ “ใช่ ในตอนนั้นเราพักอยู่ที่นี่เป็นเวลานานทีเดียว”
สวีโหย่วหรงเดินผ่านรั้ว มองดูกระท่อมที่ทรุดโทรมท่ามกลางแสงอรุณ นางกล่าวอย่างใจเย็น “มีบางครั้งที่ข้ารู้สึกสงสัย ในตอนนั้นเจ้ากับศิษย์พี่จากสำนักกระบี่หลีซานเป็นดั่งน้ำกับไฟ แต่ก็สามารถอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันได้ เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเจ้าไม่ต่อสู้กันทุกคืน”
เฉินฉางเซิงตอบ “โก่วหานสือเป็นสุภาพบุรุษที่สุภาพเรียบร้อย”
สวีโหย่วหรงตอบ “แต่ศิษย์พี่ก็ไม่ใช่คนที่อารมณ์ดีนัก”
เฉินฉางเซิงคิดถึงคืนแรกตอนที่ถังซานสือลิ่วกับกวนเฟยไป๋แย่งชิงที่นอนสะอาดกันจนแทบจะลงไม้ลงมือ พลางยิ้มออกมา
“การสอบใหญ่ยังไม่เริ่มในวันพรุ่งนี้ สุสานเทียนซูคงจะสงบเงียบอย่างมาก”
เขามองไปทางสวีโหย่วหรงและกล่าวชม “นี่เป็นความคิดที่ดีมากจริงๆ”
จิงตูเต็มไปด้วยข่าวลือพวกนั้น แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะหยอกล้อเรื่องเฉินฉางเซิง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบไปถึงสวีโหย่วหรงด้วย
เป็นการยากที่ทั้งสองคนจะพบเจอกัน และยิ่งยากที่จะได้พูดคุยกันอย่างเงียบๆ จดหมายที่นางนัดเขามาพบกันที่สุสานเทียนซูนั้นเป็นความคิดที่บรรเจิดอย่างแท้จริง
แน่นอน การใช้สุสานเทียนซูที่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกนั้นดิ้นรนไขว่คว้าหาโอกาสได้เข้ามาเป็นสถานที่นัดพบนั้นออกจะเกินจริงไปบ้าง
และเป็นสิ่งที่มีแต่นางกับเขาเท่านั้นที่จะทำได้
เมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจความหมายของนางและยังพูดออกมาตรงๆ สวีโหย่วหรงก็รู้สึกอายอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้โกรธ
เพราะเมื่อเฉินฉางเซิงกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น ดวงตาของเขากระจ่างใส สีหน้าก็จริงใจออกปานนั้น
เขานั้นร้อนรุ่มไปด้วยความปรารถนาแต่ก็ยังรักษาความสงบเอาไว้ ดวงตานั้นกระจ่างจ้าแต่ก็ไม่ได้แผดเผาผู้อื่น
คนอาจเรียกชิวซานจวินว่าดวงตะวัน แผ่ความอบอุ่นร้อนแรงออกมา เปิดเผยจริงใจอย่างที่สุด
เฉินฉางเซิงก็เป็นเหมือนกับสายลมอันสดชื่น
ทุกคนต่างก็รักดวงตะวัน
แต่นางกลับรักสายลมอันสดชื่นที่ล้อมรอบกายนาง ขณะที่ฝีก้าวนางผ่อนคลายลงกว่าเดิม
นครจิงตูกลางเหมันต์นั้นเป็นสีขาวโพลนทอดยาวนับหมื่นลี้ แต่สุสานเทียนซูกลับยังคงเขียวชอุ่ม
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในป่าของสุสานเทียนซู สิ่งที่ต้อนรับพวกเขาก็คือสายลมวสันต์อันสดชื่นรื่นรมย์อย่างที่สุด
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเดินไปตามทางเดินบนเขา ตรงไปยังกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า
ชายวัยกลางคนปรากฏขึ้นกลางทางเดินบนเขา ขวางพวกเขาไม่ให้เดินต่อไป
สายตาของคนผู้นั้นลึกล้ำสงบนิ่ง ระดับการบำเพ็ญต้องสูงล้ำอย่างแน่นอน เมื่อเขามองมาที่เฉินฉางเซิง ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเย็นเยียบไร้ใดเทียม หากมองดูให้ดีจะเห็นความเกลียดชังอยู่บ้างเล็กน้อย
……