เล่มที่ 23 เล่มที่ 23 ตอนที่ 688 อุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีจะทำให้เห็นว่านางไม่ได้เก่งแต่ปาก

“ลงมือเถิด! ”

นางมีท่าทางเย็นชา ไอสังหารคุกรุ่น ขณะเดียวกัน สัตว์เทพกิเลนและสัตว์เทพจิ้งจอกเก้าสีก็ถูกเรียกออกมา

สัตว์ร้ายจากแดนปีศาจ มีเพียงตัวที่ฝึกตนจนถึงระดับขั้นที่กำหนดเท่านั้นจึงจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ มีเพียงสัตว์ร้ายไม่กี่ตนที่แปลงกายเป็นมนุษย์ ส่วนสัตว์ร้ายที่เหลือ เมื่อพวกมันเห็นสัตว์เทพกิเลนต่างก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความหวาดกลัว

เพียงสัตว์เทพกิเลนกับสัตว์เทพจิ้งจอกเก้าสีผนึกกำลังกันจัดการกับพวกสัตว์ร้ายก็พอแล้ว ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น

อวิ๋นจิ่นพิจารณาสถานการณ์ของศัตรูอย่างกระจ่างแจ้ง เมื่อซูจิ่นซีตัดสินใจลงมือ อวิ๋นจิ่นจึงพูดเตือนไปว่า “แม้คนจากโลกเขตแดนไม่ได้เข้าร่วมทั้งหมด ทว่าจำนวนคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเราในวันนี้คือกองกำลังหลัก หากคนจากโลกเขตแดนร่วมมือกัน ข้าและเจ้าสองคนไม่มีทางสู้พวกเขาได้ สิ่งที่พวกเราต้องการคือป้ายคำสั่ง เพียงกำหนดเป้าหมายชัดเจนไปที่สามผู้นำ ไม่ต้องสนใจส่วนที่เหลือ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและเหลือบมองโซ่พันปีที่ผูกอยู่บนมือ “ปลดมันเสีย เดิมทีพลังของพวกเราก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว เจ้าล่ามไว้เช่นนี้จะสู้อย่างไร? ”

หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว อวิ๋นจิ่นจึงปลดโซ่พันปีออก

ศัตรูพุ่งเข้ามาราวกับคลื่นพายุ ซูจิ่นซีตั้งหลักอย่างมั่นคง นางยกกระบี่เฟิ่งอวี่ในมือขึ้นมา ก่อนจะรวบรวมพลังทั้งหมดในร่างกายและฟาดฟันลงไป ศัตรูจำนวนมากที่พุ่งมาจากทางด้านซ้ายพลันกระเด็นออกไปราวกับพายุ

แม้สีหน้าของซูจิ่นซีจะไม่เปลี่ยน ทว่าภายในใจกลับตื่นตระหนกอย่างมาก ไม่คาดคิดเลยว่าตอนนี้ พลังสยบมังกร กอปรกับหินเซิ่งอวิ๋น และแสงแห่งเงามืดจะทรงพลังเช่นนี้ เมื่อครู่นางใช้พลังภายในไปเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น!

เมื่อซูจิ่นซีฟาดฟันกระบี่เป็นรอบที่สอง พลังของมันยังคงแข็งแกร่งเทียบเท่ากัน ศัตรูจำนวนมากต่างกระเด็นลอยไปไกล

อย่างไรก็ตาม ผู้นำของทั้งสามดินแดนใช่ว่าจะต่อกรได้ง่าย แม้พวกเขาจะได้รับผลกระทบจากซูจิ่นซี ทว่าพวกเขายังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม

ใบหน้าของยมทูตกุ่ยซาปรากฏความเหี้ยมเกรียม “ในตัวเจ้ามีพลังสยบมังกร ยังพูดว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาคุนหลุนอีกหรือ เจ้ากับซีหวังมู่มีความเกี่ยวข้องอันใดกันแน่? ”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก และจ้องไปที่กระบี่เฟิ่งอวี่ในมือราวกับชื่นชมสมบัติอันล้ำค่า “ข้าพูดเมื่อใดว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาคุนหลุน? แม้ความสัมพันธ์ของข้ากับซีหวังมู่… ” ทันใดนั้น แววตาของซูจิ่นซีก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางยกกระบี่เฟิ่งอวี่ในมือขึ้นและฟาดไปที่ยมทูตกุ่ยซา “เจ้าเป็นเพียงผู้นำแดนมารตัวเล็ก มีสิทธิ์สอบถามเรื่องนี้หรือ? ”

ยมทูตกุ่ยซาถูกพลังที่ซูจิ่นซีรวบรวมไว้ที่กระบี่เฟิ่งอวี่ซัดจนถอยหลังไปสองก้าว ทันใดนั้น เขาก็ปักหอกลงบนพื้น เพื่อทำให้ร่างกายมั่นคง

พลังของซูจิ่นซีแข็งแกร่งยิ่งนัก ยมทูตกุ่ยซาเพียงสนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างซูจิ่นซีกับซีหวังมู่เท่านั้น จึงทำให้เขาไม่ทันป้องกันตัว พูดได้ว่าเขาใช้ความพยายามไม่น้อยเพื่อจับการเคลื่อนไหวนี้ หลังจากยืนมั่นคงดีแล้ว กล้ามเนื้อมุมปากของเขาก็สั่นเทาไม่หยุด

จอมมารและราชาเฮยซาหู่เห็นยมทูตกุ่ยซาเสียท่าให้ซูจิ่นซี ใบหน้าทุกส่วนพลันเคร่งขรึม

“กุ่ยซา ตั้งค่ายกลสามประสาน”

ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ยมทูตกุ่ยซาก็กระโดดขึ้นไปและร่อนลงมายืนอยู่ข้างกายจอมมารนรกเก้าขุมและราชาเฮยซาหู่

ทั้งสามตะโกนพร้อมกัน “ตั้งค่ายกลสามประสาน”

กองกำลังหลักของสามโลกเจ็ดดินแดนที่อยู่ด้านหลังพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง พลังที่หมุนวนราวกับเมฆดำเคลื่อนตัวแบ่งออกเป็นสองสาย ดั่งแม่น้ำที่ปิดล้อมซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นไว้ตรงกลาง

กลุ่มคนเคลื่อนไหวราวกับมีพลังมาร หากมองเป็นเวลานานก็ทำให้เวียนหัวตาลาย พวกเขาวิ่งไปพลางพูดประโยคเดียวกันอย่างต่อเนื่อง เสียงที่ดังออกมาจากพลังภายในนั้นสั่นสะเทือนทั้งแผ่นดิน ทำให้จิตใจสับสนวุ่นวาย

เมื่ออวิ๋นจิ่นเห็นซูจิ่นซีมีใบหน้าซีดขาว จึงถามอย่างเป็นกังวล “ซีเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”

จิตใจของซูจิ่นซีจดจ่อจนไม่ทันได้สังเกตว่าชื่อที่อวิ๋นจิ่นเรียกตนนั้นเปลี่ยนไป นางส่ายศีรษะช้าๆ “ข้ายังต้านทานไหว”

อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว จากนั้นจึงยกมือขึ้นปิดอาคมกำไลปี่อั้น และใช้แสงสีขาวปกคลุมใบหูของซูจิ่นซี

จอมมารนรกเก้าขุมในตอนนี้หัวเราะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียงดัง “ข้าขอเตือนพวกเจ้าทั้งสอง อย่าเสียเวลาเปล่าเลย ค่ายกลสามประสานของโลกเขตแดนข้า ไม่มีผู้ใดทำลายได้ ต่อให้ผู้ที่มาคือคนของแดนสวรรค์ชั้นฟ้าอันว่างเปล่าจากเผ่าสวรรค์ ก็ต้องสู้กันพักใหญ่ หรือพวกเจ้าทั้งสองเก่งกาจยิ่งกว่าคนจากแดนสวรรค์ชั้นฟ้าอันว่างเปล่า? ”

แดนสวรรค์ชั้นฟ้าอันว่างเปล่าไม่เพียงเป็นสถานที่ที่ร้ายกาจที่สุดในโลกสวรรค์ ทว่าในบรรดาสามโลกเจ็ดดินแดน ที่นั่นยังเป็นสถานที่ที่หาคู่ต่อสู้ได้ยาก ต่อให้ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นจะเก่งกาจ ทว่าพวกเขายังเทียบคนจากแดนสวรรค์ชั้นฟ้าอันว่างเปล่าไม่ได้

ผู้คนในค่ายกลสามประสานยังคงหมุนวนและส่งเสียงคำรามอยู่รอบตัวซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น ซูจิ่นซีรู้สึกกระวนกระวาย เวียนหัวตาลาย นางต้องการรวบรวมพลัง ทว่ากระบี่เฟิ่งอวี่ในมือราวกับมีน้ำหนักห้าร้อยชั่ง นางไม่สามารถยกกระบี่ขึ้นมาได้

แม้สถานการณ์ของอวิ๋นจิ่นจะไม่หนักหนาเท่าซูจิ่นซี ทว่าก็ไม่ต่างกันนัก

เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีกำลังจะหมดสติ อวิ๋นจิ่นจึงพยุงตัวซูจิ่นซีและพูดว่า “ซีเอ๋อร์ เจ้าอย่าหลับ ห้ามหลับ! ”

สำหรับอวิ๋นจิ่นแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาเยือนโลกเขตแดน อย่างไรก็ตาม ไม่คาดคิดเลยว่าค่ายกลสามประสานของโลกเขตแดนจะร้ายกาจถึงเพียงนี้

เมื่อยมทูตกุ่ยซ่า จอมมารนรกเก้าขุม และราชาเฮยซาหู่เห็นสถานการณ์ทางฝั่งของซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น พวกเขาจึงยกยิ้มลำพองใจ สามคนร่วมแรงร่วมใจ รวมตัวกันเป็นกลุ่มเมฆสีดำเหนือค่ายกลสามประสาน ท่ามกลางกลุ่มเมฆปรากฏเป็นใบหน้าที่คล้ายคลึงมนุษย์ ทว่ามีปากเหมือนสิงโต จมูกเหมือนเสือดาว ดวงตาขนาดใหญ่ที่สว่างจ้าราวกับโคมไฟ ทั้งปากยังพ่นหมอกหนาสีดำออกมาอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มหมอกปกคลุมทั่วท้องฟ้าเหนือค่ายกลสามประสาน คนในค่ายกลยิ่งเพิ่มความเร็วและหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ภายในยังมีพลธนูปะปนอยู่ ขณะที่ก่อตั้งค่ายกล ห่าฝนกระบี่ก็พุ่งใส่ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นไม่หยุด

ซูจิ่นซีหมดสติไปแล้ว แม้อวิ๋นจิ่นจะยังมีสติอยู่ ทว่าสถานการณ์ของเขาไม่ต่างจากซูจิ่นซีนัก

เดิมที อาศัยฝีมือของอวิ๋นจิ่น เขาสามารถจัดการกับสามผู้นำแห่งโลกเขตแดนได้อย่างไม่มีปัญหา ทว่าห้าร้อยปีที่ผ่านมา เขาสูญเสียตบะพันปีไปเพื่อรวบรวมวิญญาณ แม้จะฟื้นฟูขึ้นได้ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ อย่างไรก็ตาม มันยังมีขีดจำกัด นอกจากนั้น เมื่อก้าวเข้าสู่โลกเขตแดน พลังวิญญาณของเขาได้รับผลกระทบ ตอนนี้เขาค่อยๆ อ่อนแอลง แม้มีใจจะรับมือกับค่ายกลสามประสาน ทว่ากลับไร้ซึ่งกำลัง

อย่างไรก็ตาม เพื่อซูจิ่นซีแล้ว อวิ๋นจิ่นต้องอดทนไว้

มือข้างหนึ่งของเขาโอบซูจิ่นซี ส่วนอีกข้างก็กวัดแกว่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ไท่หยวน

เมื่อลำแสงของกระบี่แห่งจิตวิญญาณฟาดผ่าน คนจำนวนมากที่อยู่ภายในค่ายก็ล้มลง ทว่าไม่ช้าก็มีคนใหม่มาเติมเต็มตำแหน่งว่าง

อวิ๋นจิ่นกวัดแกว่งกระบี่อีกครั้งจนเกิดช่องว่าง แต่ก็มีคนมาเติมช่องว่างนั้นอย่างรวดเร็ว

คนของโลกเขตแดนมีจำนวนมากเกินไป

ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นเข้ามาในโลกเขตแดนวันนี้ ถือว่าโชคร้ายไม่น้อย นอกจากจะพบความวุ่นวายภายในโลกเขตแดนแล้ว กองกำลังเกือบทั้งหมดในโลกเขตแดนยังมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

เวลานี้ พวกเขาได้ผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว และร่วมมือกันเพื่อจัดการซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น

ใช้คนมากจัดการคนน้อย ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาแน่นอน

ขณะที่อวิ๋นจิ่นเริ่มต้านทานไม่ไหว ทันใดนั้น เมฆดำเหนือค่ายกลสามประสานก็สลายตัว กลางเมฆดำหนาทึบเกิดเป็นช่องว่าง ใจกลางช่องว่างมีแสงสว่างสาดส่องลงมาอย่างต่อเนื่อง มันแยกและกลืนกินกลุ่มเมฆดำที่เกิดจากผู้นำดินแดนทั้งสาม

“นั่นคืออันใด? ”

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ”

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ”

ค่ายกลสามประสานที่พวกเขาสร้างมานับพันครั้ง ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นี่คืออุบัติเหตุ เป็นอุบัติเหตุที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นั่นคืออันใด?