เมื่อแสงที่ส่องลงมาจากม่านเมฆสว่างจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่อยู่ภายในค่ายกลก็เริ่มตื่นตระหนก
ทันใดนั้น ลมแรงก็พัดกระหน่ำไปทั่วสนามรบ ฝุ่นปกคลุมไปทั่วชั้นฟ้า ทุกคนต้องยกมือป้องกันพายุทรายพัดเข้าตา
อวิ๋นจิ่นปกป้องซูจิ่นซีที่หมดสติไว้ในอ้อมแขน เขาใช้แขนเสื้อกว้างปิดบังใบหน้าของนางไว้ ส่วนตนเองก็หลับตาลง
พายุทรายและเศษหินกระแทกใบหน้าเขาอย่างต่อเนื่อง แก้มของอวิ๋นจิ่นถูกหินบาดจนเลือดไหล ทว่าเขาไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย เขายังคงเงยหน้าและหลับตาทั้งสองข้าง พลางโอบกอดซูจิ่นซีไว้ในอ้อมแขนให้แน่นยิ่งขึ้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ พายุทรายสงบลง สนามรบกระจัดกระจาย คนจากโลกเขตแดนหนีกระเจิงเหลืออยู่เพียงครึ่ง
อวิ๋นจิ่นปัดทรายที่ติดอยู่ตามตัวออก ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้น เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีที่เขาปกป้องเอาไว้ปลอดภัย จึงวางใจ
หากไม่มีค่ายกลสามประสาน ความสามารถของอวิ๋นจิ่นคงฟื้นฟูแล้ว แสงประหลาดและพายุทรายเมื่อครู่เปรียบดั่งฝนที่ตกได้ทันเวลา อวิ๋นจิ่นไม่มีเวลาขบคิดอันใดมากนัก เขาคิดเพียงว่า นี่เป็นโอกาสเหมาะที่จะชิงป้ายคำสั่งมา เขาต้องฉวยโอกาสนี้ นำป้ายคำสั่งมาไว้กับตัวให้ได้
อวิ๋นจิ่นวางซูจิ่นซีไว้ด้านข้างเนินทราย จากนั้นจึงรวบรวมพลังสร้างเขตเวทมนตร์ที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่แก้ได้ เพื่อปกป้องซูจิ่นซี ก่อนจะหยิบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ไท่หยวน และเดินไปยังราชาเฮยซาหู่ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด
ระหว่างทาง ทหารของโลกเขตแดนยังคงถืออาวุธไว้ในมือ พวกเขาจ้องมองอวิ๋นจิ่นด้วยท่าทีดุดัน ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้เข้าใกล้อวิ๋นจิ่น ก็ถูกอวิ๋นจิ่นปัดแขนเสื้อเหวี่ยงพวกเขาจนลอยกระเด็นออกไปโดยไม่ต้องใช้แรงมากนัก
ราชาเฮยซาหู่เงยศีรษะขึ้นมาจากทราย และปัดฝุ่นที่อยู่บนร่าง เมื่อหันศีรษะกลับมา เขาก็เห็นลำแสงเย็นยะเยือกของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ไท่หยวน ตามมาด้วยชายผ้าสีขาวราวหิมะของอวิ๋นจิ่น
เขาค่อยๆ เงยศีรษะขึ้นมองตามชายเสื้อ แสงแดดทอประกายฉาบร่างขาวราวหิมะเป็นชั้นแสงสีทอง แสงนั้นทำให้ร่างของอวิ๋นจิ่นดูราวกับเทพเจ้าที่ลงมาจุติ พลังรอบตัวแผ่ซ่านจนลืมตาไม่ขึ้น
ครู่หนึ่ง ร่างของราชาเฮยซาหู่สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ เขารีบคว้าอาวุธที่อยู่ข้างกาย อวิ๋นจิ่นก้าวเข้ามาเหยียบมือของราชาเฮยซาหู่ ก่อนที่เขาจะทันได้หยิบอาวุธ
ใบหน้าของราชาเฮยซาหู่พลันถอดสี น้ำเสียงของเขาสั่นเทาเล็กน้อย กระทั่งเจ้าตัวก็ไม่ทันได้สังเกต ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่อวิ๋นจิ่น “เจ้า… เจ้าคิดจะทำอันใด? ”
ใบหน้าราวกับเทพเซียนของอวิ๋นจิ่นปรากฏแสงเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “ข้าเพียงต้องการป้ายคำสั่งเพื่อข้ามแม่น้ำฉางซือ มอบป้ายคำสั่งให้ข้า แล้ววันนี้จะไม่มีผู้ใดต้องตาย”
เสียงนั้นเย็นชา ไม่มีแม้แต่ความอบอุ่น ราวกับเทพเจ้าผู้มองดูสรรพสิ่งกำลังออกคำสั่งโดยไม่อนุญาตให้ผู้ใดสงสัย
ไม่ว่าอย่างไร ราชาเฮยซาหู่ก็เป็นผู้นำของแดนปีศาจ ทว่าภายใต้พลังของอวิ๋นจิ่น เขากลับหวาดกลัวจนร่างกายและริมฝีปากสั่นเทา สุดท้ายก็หยิบป้ายคำสั่งออกมามอบให้อวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นรับป้ายคำสั่งมาและปล่อยราชาเฮยซาหู่
ในที่สุด หัวใจที่เต้นด้วยความระทึกของราชาเฮยซาหู่ก็ผ่อนคลายลง เขากดเสียงต่ำถามอวิ๋นจิ่นอย่างเร่งรีบ “เจ้าเป็นใครกันแน่? ”
อวิ๋นจิ่นปรายตามองราชาเฮยซาหู่อย่างเหยียดหยาม “สำนักแพทย์เทียนอี จิ่วหรง! ”
“สำ… สำนักแพทย์เทียนอี… ”
สำหรับสามโลกเจ็ดดินแดน สำนักแพทย์เทียนอีไม่เพียงเป็นดั่งสวรรค์กับโลกเท่านั้น ทว่ายังเป็นสำนักลึกลับที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์
ราชาเฮยซาหู่ราวกับได้ยินข้อมูลอันยิ่งใหญ่ เขาเบิกตากว้างมองไปที่ร่างของจิ่วหรง “เจ้า… เจ้าเป็นคนของสำนักแพทย์เทียนอี”
ดูเหมือนจิ่วหรงจะไม่ได้ยิน และไม่เห็นอาการตกใจของราชาเฮยซาหู่ เขาหยิบป้ายคำสั่ง ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปหาซูจิ่นซี
อย่างไรก็ตาม คิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะหายตัวไป
ซูจิ่นซีหายตัวไปแล้ว?
นี่มันเกิดอันใดขึ้น?
เมื่อครู่ ตอนจากมา เขาได้สร้างเขตเวทมนตร์เพื่อปกป้องซูจิ่นซีไว้อย่างดี
เขตเวทมนตร์นั้นมีเพียงเขาผู้เดียวที่สามารถเปิดได้ ไม่ต้องพูดถึงคนภายนอก แม้แต่ซูจิ่นซีก็ออกจากเขตเวทมนตร์ไม่ได้ ไม่มีผู้ใดสามารถคลายเขตเวทมนตร์ได้โดยง่าย
ทว่าตอนนี้ ซูจิ่นซีหายตัวไปแล้ว!!!
ผู้ใดคลายเขตเวทมนตร์ของเขา?
หรือว่าเป็นจอมมารนรกเก้าขุมกับยมทูตกุ่ยซา?
ไม่ พวกเขาไม่อาจทำได้!
อวิ๋นจิ่นตัดพวกเขาออกไปทันที
แม้พวกเขาจะมีตบะแก่กล้า ทว่าหากคิดจะคลายเขตเวทมนตร์ของเขา ยังห่างชั้นนัก!
ทันใดนั้น อวิ๋นจิ่นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในพริบตา ก่อนจะมองไปรอบๆ
หรือว่าเกี่ยวข้องกับแสงประหลาดและพายุทรายนั่น?
ภายในโลกเขตแดน นอกจากเขาและซูจิ่นซีแล้ว ยังมีผู้อื่นเข้ามาอีกหรือ?
หากเป็นเช่นนั้นจริง ผู้ใดเข้ามากัน?
เป็นคนจากโลกมนุษย์ที่มีตบะแก่กล้า หรือเป็นคนจากเผ่าสวรรค์?
เขาตำหนิตนเองที่เมื่อครู่คลายโซ่พันปีบนข้อมือของซูจิ่นซี
แท้จริงแล้ว ตอนนี้ ซูจิ่นซีอยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก เพียงแต่สถานที่แห่งนี้ กระทั่งคนของโลกเขตแดนก็ไม่รู้จัก เนื่องจากเป็นปราสาทซึ่งอยู่ใต้พื้นดินที่พวกเขายืนอยู่
เมื่อครู่ อวิ๋นจิ่นวางนางไว้ด้านข้างเนินทราย แม้เขาจะสร้างเขตเวทมนต์ไม่ให้คนภายนอกเข้ามาได้ และตัวนางเองก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน ทว่าเนินทรายใต้ร่างของนางกลับขยับ หมุนราวกับกระแสน้ำวน และค่อยๆ แยกออกจากกัน ร่างของนางจึงตกลงไปในน้ำวน
นี่คือปราสาทใต้ดินที่ถูกทิ้งร้างมานาน แม้ผนังรอบด้านจะเต็มไปด้วยใยแมงมุม ทั้งบนพื้นและของประดับตกแต่งยังปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ ทว่าตะเกียงหมื่นปีบนกำแพงยังส่องแสงสว่าง
ไม่รู้ว่าตอนที่หล่นลงมา ซูจิ่นซีชนกับอันใดเข้า เมื่อตื่นขึ้นนางจึงรู้สึกเจ็บไปทั่วร่าง นางพยายามลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เมื่อมองเห็นรอบด้านได้ชัดเจน ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงทุ้มต่ำของบุรุษซึ่งร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
ซูจิ่นซีเปิดอาคมกำไลปี่อั้น และค่อยๆ เดินตามเสียงนั้นไป จนพบบุรุษผู้หนึ่งนอนบาดเจ็บอยู่ตรงมุมทางเดิน
บุรุษผู้นั้นสวมชุดยาวสีฟ้าอ่อน ถักผมเปียพันไว้บนหน้าผากสองครั้งและปล่อยปลายผมยาวลงมาบนไหล่ การแต่งกายเช่นนี้ดูไม่เหมือนคนจากโลกเขตแดน และไม่เหมือนคนของอาณาจักรเทียนเหอ
ไม่แน่ชัดว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ซูจิ่นซีตระหนักได้ว่าตอนนี้ นางไม่ควรไปยุ่งวุ่นวายเรื่องของผู้อื่น รีบคิดหาทางนำป้ายคำสั่งออกไปจากโลกเขตแดนดีกว่า ซูจิ่นซีหันหลังกลับเตรียมจากไป ทว่าข้อเท้าของนางกลับถูกมือข้างหนึ่งคว้าไว้
“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าด้วย”
ด้านหลังมีเสียงทุ้มต่ำของบุรุษร้องขอความช่วยเหลืออย่างยากลำบาก
ซูจิ่นซีหันหลังกลับมา ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นมีเส้นผมดำหนาบดบัง แขนข้างที่เต็มไปด้วยเลือดดึงข้อเท้านางไว้แน่น ราวกับสาหร่ายหนึ่งเส้นที่หาทางเอาชีวิตรอดท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
สุดท้าย ซูจิ่นซีก็เกิดความรู้สึกสงสาร จึงตัดสินใจช่วยชีวิตบุรุษผู้นั้น นางนั่งยองเพื่อตรวจบาดแผลให้เขา ก่อนจะพบว่าทั่วร่างของเขามีบาดแผลไม่ต่ำกว่าสิบหกจุด แผลแต่ละแห่งลึกมาก และไม่ใช่บาดแผลจากอาวุธธรรมดา
ซูจิ่นซีตรวจความลึกและรูปร่างของบาดแผล ทว่าไม่สามารถระบุได้ว่าถูกทำร้ายด้วยอาวุธใด นอกจากนั้น เขายังมีแผลไฟไหม้ตามร่างกายอีกด้วย
เขาผ่านเหตุการณ์อันใดมาจึงบาดเจ็บเช่นนี้? เขาเป็นผู้ใด? พบเจออันใดมา?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางค่อยๆ ยื่นมือออกไปปัดเส้นผมที่ปิดบังใบหน้าของเขา