ระหว่างผู้ชายทั้งสองคนมักจะมีหัวข้อสนทนาที่ทะลึ่งอยู่เสมอ ทั้งสองคนกระซิบกระซาบกันบนโต๊ะเล็กๆ ชี้ไปทางฮูหยินที่เดินไปเดินมาในสวนเป็นครั้งเป็นคราว คนที่กล้าหาญหน่อยก็ถ่มน้ำลายออกมาจากปาก คนที่ขี้อายหน่อยก็หน้าแดงเดินเข้าไปในบ้านไม่ยอมออกมา
“วันนี้พึ่งจะรู้ว่าสหายเป็นถึงโหวเจวี๋ยมาตลอด ช่างโชคดีเหลือเกิน เป็นขุนนางหน้าด้าน ใจดำ ไร้ยางอาย เจ้าใช้อาวุธวิเศษทั้งสามอย่างนี้ได้อย่างชำนาญ แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าซุนเฟิงซั่นเห็นผลจริงๆ จิ่วเหนียงเป็นคนที่เคยผ่านความยากลำบากมา มีจิตใจเข้มแข็ง ใช่ว่าผู้หญิงธรรมดาอ่อนแอพวกนั้นจะเทียบได้”
“ข้าแน่ใจ ต่อให้นางเป็นผู้หญิงที่หนักแน่น ใจศีลธรรม แต่หากเจ้าใช้ยาอันนี้ก็ยากที่จะหนีพ้นเงื้อมมือของเจ้าไปได้”
“ทำไมเจ้าถึงแน่ใจเช่นนี้ ราวกับว่าเจ้าเคยใช้มาก่อน” พูดประโยคนี้จบ เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่พูดไม่จา เขาก็ถามด้วยความประหลาดใจ “หรือว่าเจ้าเคยใช้ยานี้จริงๆ? ใครกัน ใช้ยานี้กับผู้ชายหรือผู้หญิง?” ถามเสร็จ เขาก็ขยับถอยไปข้างหลัง
“องค์หญิงน่ะ องค์หญิงองค์โตของต้าถัง ตอนนี้หลานของเจ้าหนึ่งขวบแล้ว หากใช้กับผู้ชาย เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเผาเมืองฉางอันทิ้งให้หมด” ไม่ว่าจะเป็นใคร เรื่องฉาวโฉ่ถูกเปิดเผยเช่นนี้ก็ต้องรู้สึกอับอายกันทั้งนั้น
ซีถงหัวเราะเสียงดัง ตัวสั่นจนฝุ่นบนชายคาตกลงมา อวิ๋นเยี่ยตกใจเล็กน้อย แล้วก็หัวเราะตาม เอาเรื่องที่น่าอายออกมาพูดต่อหน้าสหาย มันกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าตลกขบขันไปเสียได้
หลังจากนึ่งเนื้อปลาวาฬจนสุก พวกเด็กๆ เข้ามาล้อมรอบพ่อของตัวเองตามความเคยชิน ผู้ใหญ่ทั้งสองคนยังไม่ทันได้กิน ยกตะเกียบป้อนให้พวกเด็กๆ กินกันก่อน
“นี่คือความหวังของเจ้า?” อวิ๋นเยี่ยชี้ไปยังพวกเด็กๆ ที่พึ่งจะกินเนื้อปลาอิ่มและพากันแยกย้ายออกไป เห็นได้ชัดว่าซีถงมองเด็กๆ พวกนี้ด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ ปีนี้ข้าก็อายุสามสิบห้าแล้ว ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายมาแล้วครึ่งชีวิต พเนจรอยู่ท่ามกลางความเป็นและความตายมานานขนาดนี้ ควรจะมีรังได้แล้ว ตอนนี้ภรรยาและลูกข้าก็ไม่ขาดแคลน หลังจากที่เจ้ามา แม้แต่เสบียงอาหารก็ไม่ขาดแคลน แล้วยังจะมีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้อีก ตอนนี้ภูมิฐานของเด็กๆ ยังคงย่ำแย่ รอให้จิ่วเหนียงสอนหนังสือให้พวกเด็กๆ มากเพียงพอ ข้าจะพาพวกขาไปหาเจ้าที่ฉางอัน ให้พวกเขาไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา จะได้ดีหรือไม่ได้ดีก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเขา ความรับผิดชอบของคนเป็นพ่ออย่างข้าก็ได้ทำเต็มที่แล้ว เมื่อพวกเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มีความสามารถเลี้ยงดูแม่ของตัวเอง หากเจ้าเบื่อที่จะเป็นขุนนางแล้ว พวกเราก็ไปเดินเล่นที่ขอบฟ้าด้วยกัน พูดตามตรง ทิวทัศน์ของที่นั่นทั้งชีวิตนี้ข้าก็คงลืมมันไม่ลง”
พูดถึงเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “อยากจะไปให้ถึงไป๋อวี้จิงคงเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นก็คงจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า เรื่องบางเรื่องข้าอยากจะปิดบังเจ้า ตอนแรกเถียนเซียงจื่อจะไปไป๋อวี้จิง ข้าไม่ได้ห้ามเขาไว้ พูดได้ว่าถึงขั้นเติมเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟ เขาเป็นบุคคลที่อันตราย และเขาจะต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว ยุครุ่งเรืองกำลังจะมาถึง ข้าอยากจะเห็นเรือใบอยู่เหนือน่านน้ำทั้งแปดของฉางอัน พ่อค้ามีมากมายราวกับก้อนเมฆ ข้าอยากจะเห็นใบหน้าของราษฎรเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ
แต่เถียนเซียงจื่อนั้นถือเป็นศัตรูของสิ่งสวยงามทั้งหมด เขามองลอดผ่านโลกมาแล้วหลากหลายรูปแบบ ความเป็นความตายของทุกคนไม่สำคัญสำหรับเขา รวมถึงชีวิตของตัวเขาเอง เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้วเขาไม่ลังเลที่จะพาทุกคนไปตายพร้อมกับเขา คนที่ฉลาดจนกลายเป็นปีศาจนั้นน่ากลัวเพียงใด ข้าเห็นแล้วว่าต้าถังแบกรับความทรมานเช่นนี้ไม่ไหว”
“เช่นนั้น ทั้งๆ ที่เจ้ารู้ว่าเขาไปไม่ถึงไป๋อวี้จิง แต่กลับชี้ทางให้เขาไป ให้เขาตายไปพร้อมกับความฝันของเขาน่ะหรือ” ซีถงก้มหน้าลงด้วยความโศกเศร้าแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ย “เขาจะตายอยู่แล้วยังขอบคุณเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยถึงกับมือสั่น จอกเหล้าหลุดออกจากมือตกลงบนพื้น การจัดการชีวิตคนอื่นไม่ใช่ประสบการณ์ที่มีความสุข ถึงแม้ว่าจะมีจุดประสงค์ที่สูงส่งมากก็ตาม
“ข้ารู้ว่าท่านอาจารย์เถียนเข้าไปในไป๋อวี้จิงไม่ได้ เขาฆ่าคนมากเกินไป ตอนแรกข้าก็ติดตามท่านอาจารย์เถียนอยู่ข้างหลัง เฝ้าดูว่าเขาล่อให้จูเจี๋ยไปกินคนอย่างไร เขามีหนังสือลับเล่มหนึ่ง บันทึกว่ากินคนคนหนึ่งจะได้เลือดของคนคนนั้นแล้วอายุยืนนานมากขึ้น ปรากฏว่ามันไม่ใช่เช่นนั้นเลย และเพื่อพิสูจน์ว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นเพียงบันทึกเหลวไหล จูเจี๋ยก็กินคนไปอย่างน้อยสามร้อยคน สุดท้ายแม้แต่ภรรยารองของตัวเอง ลูกชายของตัวเองก็กิน จูเจี๋ยไม่ใช่คนอีกต่อไป เขาหงุดหงิด ขี้โมโห ดวงตาทั้งสองเป็นสีแดงเลือด เห็นคนทุกคนราวกับเห็นอาหาร เขากลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย กลายเป็นสัตว์ร้าย ที่กำลังจะถูกชะล้างจิตวิญญาณสุดท้ายไป
ท่านอาจารย์เถียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาพูดแค่เพียงน่าเสียดาย จากนั้นก็เผาหนังสือเล่มนั้นและพาพวกเราจากไป ต่อมาจูเจี๋ยก็ถูกผู้คนทั้งโลกรุมล้อม ถูกเผาทั้งเป็นในจวนของตัวเอง ข้าคิดว่าวินาทีสุดท้าย ข้าอยากจะขอร้องให้ท่านอาจารย์เถียนปล่อยเขาไป แต่น่าเสียดายที่เขากลายเป็นคนล้มเหลวที่ไร้ประโยชน์เสียแล้ว ท่านอาจารย์เถียนจึงทอดทิ้งเขาไป
ดังนั้นข้าคิดว่า ท่านอาจารย์เถียนถูกเจ้าหลอกล่อ และสุดท้ายก็ตายไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง นี่คือการจัดการที่ดีที่สุดของพระเจ้าแล้ว เหตุผลที่ข้าติดตามเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย เพราะต้องการจะดูว่าพระเจ้ามีตาหรือไม่ สุดท้ายปรากฏว่าดีมาก ดีที่สุด ตอนที่เขากำลังจะหมดลมหายใจลง ข้าแทบจะกราบไหว้พระเจ้า ฟ้ามีตา เขายุติธรรมกับทุกคนจริงๆ”
พูดเสร็จซีถงก็รินเหล้าสามจอก อุทิศให้กับพระเจ้า
“ตอนที่ข้าอยู่ที่เขาเหยี่ยเหรินซาน[1] ข้าก็เคยรู้สึกสับสน โดยเฉพาะหลังจากที่โต้วเยี่ยนซานตาย ตอนที่ข้าฝังเขา ที่จริงตอนนั้นข้าอยู่ในสภาพของการฝันละเมอ หากมีงูพิษหรือสัตว์ร้ายอะไรเข้ามาข้าก็คงจะตายไปแล้วเช่นกัน แต่พระเจ้าไม่ให้ข้าตาย งูพิษและสัตว์ร้ายในป่าดูเหมือนว่าล้วนแต่พากันหลบหนีข้า ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัว แม้แต่ปลิงที่สามารถพบเห็นได้ทุกที่ก็ดูเหมือนจะพากันหลบซ่อนตัว ตอนนั้นข้าคิดว่า ข้าเป็นที่รักของสรวงสวรรค์ ข้ามีสิทธิ์ฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้ จนกระทั่งข้าได้เห็นหลุมขนาดใหญ่ถึงได้เข้าใจว่าข้าโชคดี พื้นโลกสั่นสะเทือน สัตว์ร้ายพากันซ่อนตัว มันเป็นเรื่องปกติ
หลังจากออกมาจากเขาเหยี่ยเหรินซาน ข้ามีความทรงจำที่ดีในช่วงหนึ่ง พวกเขาปลอบประโลมหัวใจของข้า การเต้นรำที่ร่าเริง เสียงเพลงที่ไพเราะ ผู้คนที่มีจิตใจดีและความรักที่เรียบง่ายทำให้กลิ่นอายการฆาตกรรมอันน่ากลัวในใจของข้าสงบลงไปมาก สิ่งที่หลงเหลืออยู่ทำให้ข้าต้องส่งคนกว่าสองร้อยชีวิตสังเวยความตาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าไม่มีใครรอดพ้นกับดักเทพภูเขาตีกลองของข้าไปได้ แล้วข้ายังลอกหนังหัวที่หลงเหลืออยู่ของคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้มาทำเป็นโครงกะโหลก จะเอากลับไปเก็บสะสมไว้ที่บ้าน ข้าตะโกนสาปแช่งสรวงสวรรค์ท่ามกลางพายุทอร์นาโด หวังว่ามันจะพาข้ากลับไปยังที่ที่ข้าจากมา แต่พวกเขาไม่ต้องการข้า ไม่มีใครไม่ต้องการข้า! ข้าเป็นเด็กกำพร้าที่น่าสงสารที่สุดในโลก…”
อวิ๋นเยี่ยเริ่มพูดจามีชั้นเชิง แต่ต่อมาเขากลับยิ้มและมีน้ำตาไหลลงมา มุมปากยังคงยิ้ม หยดน้ำตาไหลผ่านมุมปาก ไหลหยดลงมาจากคาง รอยยิ้มนั้นช่างทำให้คนปวดใจเสียยิ่งกว่าการร้องไห้
ซีถงยื่นจอกเหล้าให้อวิ๋นเยี่ยบอกให้เขาดื่มให้หมด อวิ๋นเยี่ยเห็นตัวหนังสือที่เขียนคำว่ายี่สิบแปดบนโถเหล้าผ่านดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา เขาผลักมันไปอีกด้านหนึ่ง หยิบโถเหล้าที่มีตัวหนังสือคำว่าหกสิบ ตบมือลงบนพื้นกอดโถเหล้าร้องไห้ ดื่มไปไม่ถึงครึ่งก็ฟุบหน้าลงบนชามอาหารอย่างไม่รู้เรื่องราวอะไรอีก
ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือพื้นดินสูงเท่าต้นไม้ไผ่สามต้นอวิ๋นเยี่ยถึงได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาปวดหัวราวกับถูกลาเหยียบเป็นหมื่นครั้ง เอาหัววางลงบนโต๊ะ ลูบขมับและเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำของเมื่อวานขึ้นมาจากความว่างเปล่า นึกถึงคำพูดที่ตัวเองพูดออกมาเป็นคำสุดท้าย เขาก็ตบเข้าที่หน้าตัวเองสองที เอาตัวเองไปเปิดเผยต่อหน้าคนอื่นสนุกนักหรือ
เด็กอายุขวบกว่าโผล่หัวเข้ามาจากทางหน้าต่าง เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยตื่นแล้วจึงตะโกนออกไปข้างนอก “พ่อ ลุงอวิ๋นตื่นแล้ว กำลังขยี้หัว”
ซีถงที่หัวเต็มไปด้วยก้านใบหญ้าโผล่หัวเข้ามาชำเลืองมอง ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าดื่มเหล้าแล้วไม่กะล่อนปลิ้นปล้อน ที่แท้เหล้าของตระกูลเจ้า ตัวเลขยิ่งเยอะเหล้ายิ่งแรง คราวนี้ข้ารู้แล้ว หากคราวหน้าเจ้าหลอกข้าอีก ข้าจะเทเหล้าที่มีตัวเลขเยอะที่สุดสามโถให้เจ้าซะ ตอนอยู่ที่บ้านของเจ้า ถูกเจ้าหลอกจนน่าสงสาร ข้าสงสัยมาตลอดเลยล่ะว่าดูจากทรงของเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ดื่มเหล้าเก่ง แต่กลับดื่มกับข้าได้ถึงขนาดนั้น คนที่เมาเละเป็นข้าตลอด”
“รีบลืมเรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าเมื่อวานไปให้หมด ระวังข้าจะฆ่าคนปิดปาก เจ้ารู้ว่าหากขุนนางฆ่าคนปิดปากขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ข้าพึ่งจะฆ่าคนไปสองร้อยกว่าคน ข้าเป็นราชาปีศาจที่ฆ่าคนโดยที่แทบจะไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ”
“ราชาปีศาจอะไรกัน ฆ่าคนไม่กี่คนก็รู้สึกผิดโหยหวนทั้งคืน เจ้าเป็นแม่ทัพ ฆ่าคนเป็นเรื่องปกติ จะรู้สึกผิดทำไมกัน แค่สองร้อยกว่าคน เมื่อก่อนตอนที่ข้าฆ่าโจร เลือดเต็มตัวข้าไปหมด โลกภายนอกก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเหยี่ยเหรินซานสักเท่าไหร่นัก หากให้ข้าเลือก ข้ายอมเลือกเขาเหยี่ยเหรินซาน ไม่มีทางเลือกวิ่งออกมารับกรรมข้างนอกหรอก รีบทำงานของเจ้าให้เสร็จดีกว่า จะได้ไปเที่ยวจุดสิ้นสุดของสรวงสวรรค์และโลกมนุษย์ด้วยกัน”
“จุดสิ้นสุดอะไรกัน หากเจ้าเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ เดินไปสักสองสามปี เจ้าจะเห็นว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่เดิม ไม่เชื่อ เจ้าก็ลองดู หากเรามุ่งหน้าไปทางทิศใต้จากฉางอัน สุดท้ายก็จะกลับมาอยู่ที่ฉางอัน เช่นเดียวกับลาที่ขนเมล็ดพืช เรื่องโง่ๆ เช่นนี้ ข้าไม่ทำหรอก”
“เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ เช่นนั้นคำพูดที่ว่าเดินทางออกไปทางเหนือจะไปถึงทางใต้ก็ผิดอย่างนั้นหรือ” สีหน้าของซีถงเต็มไปด้วยความสงสัย
“แน่นอนว่าผิด คนโง่ที่ไม่รู้อะไรเท่านั้นถึงจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องตลกที่เอาไว้เล่าให้คนโง่ฟัง แต่ความจริงแล้ว ใครกันแน่ที่ตลก ใครกันแน่ที่โง่”
ใส่เสื้อตัวเดียว เอาหัวแช่ลงไปในน้ำอุ่นจนแทบหายใจไม่ออก ถึงได้พ่นฟองอากาศ เงยหน้าขึ้นมาหายใจ ถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะรู้สึกกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ช่างสวยงาม แต่ก็ไม่กล้าที่จะชักช้าเสียเวลาอีกต่อไป หลี่ซื่อหมินคงกำลังรอสมบัติล้ำค่าอยู่ที่เมืองหลวง เตรียมจะยั่วยุพวกคนร่ำรวยมีอำนาจพวกนั้น ตอนนี้การได้เห็นความปวดใจของพวกเขาคือความสุขที่ชั่วร้ายที่สุดของหลี่ซื่อหมิน
กินข้าวต้มไปชามหนึ่ง หลิวจิ้นเป่าใส่ชุดเกราะให้อวิ๋นเยี่ย เตรียมพร้อมออกเดินทางอีกครั้ง ซีถงกำลังยุ่งอยู่กับการเอากองฟางไปตากแห้ง แค่เพียงยิ้มและโบกมือให้เขาเท่านั้น แล้วก็ยุ่งกับงานเกษตรของเขาต่อไป
รู้ดีว่าซีถงไม่ชอบความรักที่มากจนเกินไป ตัวเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน อวิ๋นเยี่ยลูบหัวเด็กๆ สองสามคน และพูดบอกให้ฮูหยินคนที่ออกมาส่งเขาให้ดูแลตัวเองจากนั้นก็ขึ้นขี่วั่งไฉกลับไปที่ค่าย
ในวันที่ดีๆ เช่นนี้ควรทิ้งความจริงไว้ที่เหอเป่ย ตัวเองเดินทางกลับฉางอันด้วยความผ่อนคลาย กลับไปเสแสร้งแกล้งทำวนเวียนอยู่ท่ามกลางความร่ำรวยและอำนาจก็คงจะไม่เลว คนเราก็ต้องมีตอนที่จริงใจอยู่บ้าง หากเสแสร้งแกล้งทำนานเกินไป เรื่องไม่จริงมันก็คงจะกลายเป็นเรื่องจริง นี่คือสภาพแห่งอาณาจักร ตัวเองยังไม่ถึงจุดที่เสแสร้งแกล้งทำจนกลายเป็นเรื่องจริงได้
ขี่ม้าดึงหญ้าหางสุนัขเข้าปากอีกครั้ง กำลังจะหลับตาลิ้มรสหญ้าสีเขียวสด ดูเหมือนจะมีเสียงเพลงที่อ้างว้างและลึกซึ้งดังออกมาจากด้านหลัง “พระเจ้าโปรดคุ้มครองลูกชายที่น่าสงสารของข้า…”
——
[1] เขาเหยี่ยเหรินซาน มาจาก 野人山 แปลว่าเขาของคนป่าเถื่อน