ได้ยินประโยคสุดท้ายไม่ค่อยชัด จำได้แค่ประโยคที่พูดว่า “พระเจ้าโปรดคุ้มครองลูกชายที่น่าสงสารของข้า” อวิ๋นเยี่ยยังคงฮึมฮำประโยคนี้เบาๆ ไม่หยุด เขาใช้ทุกสำเนียงทุกภาษา จิตใจเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย คนที่โชคร้ายบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเองเพียงคนเดียว ยังมีคนที่แย่กว่านั้น เมื่อคิดเช่นนี้มองอะไรก็เจริญหูเจริญตาไปหมด วั่งไฉเอาหัวของมันวางไว้บนก้นม้าศึกของหลิวจิ้นเป่า ท่าทางช่างไร้เดียงสา เด็กน้อยที่ยืนน้ำมูกไหลอยู่ข้างถนนก็ช่างน่ารัก คนง่อยที่กำลังทุบตีภรรยายกมือขึ้นโบกไปมาช่างสง่างาม…
การที่เขามีอาการแบบนี้ทั้งวันทำให้พวกขุนนางคนอื่นๆ คิดว่าท่านโหวถูกปีศาจครอบงำ เพราะว่าท่านโหวชื่นชมในการไว้หนวดเคราของตัวเอง ส่งท่านโหวผู้สูงศักดิ์ขึ้นเรือราวกับส่งคนที่เป็นโรคระบาดขึ้นเรือ ตอนมาเรือของท่านโหวเต็มไปด้วยเสบียงอาหาร ตอนกลับทั้งเรือก็เต็มไปด้วยสาหร่ายทะเล สรุปก็คือเรือขนของเต็มลำทั้งขามาและขากลับ สำหรับเรื่องที่ท่านโหวควักเงินออกมาซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ ขุนนางในพื้นที่คิดว่าเป็นการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมของท่านโหวผู้สูงศักดิ์ ก็คือการให้เงินเล็กๆ น้อยๆ แก่ผู้ประสบภัย ให้พวกเขาได้มีเงินเก็บมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงชีวิต สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือท่านโหวตั้งใจที่จะทำความดีแบบนี้ต่อไป เขาจะแจกจ่ายเงินให้กับผู้ประสบภัยในเหอเป่ยทุกปี
พวกผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ได้แต่งกลอนยกย่องความเอื้ออาทรของท่านโหวขึ้นมาหลายบทกลอน คนสอดแนมของหน่วยข่าวกรองได้สืบสวนจากอีกแง่มุมหนึ่ง สุดท้ายได้ผลสรุปคืออวิ๋นเยี่ยไม่ได้ใช้เงินเพื่อซื้อคะแนนจากราษฎร เพียงแค่อาการของคนที่ชอบล้างผลาญสมบัติได้กำเริบขึ้นเท่านั้น แค่ไม่อยากเห็นคนเดือดร้อน ใช่ว่าอยากจะทำตัวให้โดดเด่น
การที่ขุนนางแอบขนส่งของหนีภาษี ราษฎรรู้สึกชินตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร โดยเฉพาะมีทายาทจอมล้างผลาญผู้หนึ่งที่ใช้เงินจำนวนมากในการซื้ออาหารหมูสิบกว่าลำเรือ ไม่นานก็กลายเป็นเรื่องตลกที่สุดในเมืองเหอเป่ย หลิวจิ้นเป่านำข่าวมารายงานท่านโหวของเขาอย่างไม่สบายใจ แต่ท่านโหวกลับหัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง บอกว่าแม้จะไม่ได้มีเรื่องที่ดีให้คนอื่นพูดถึง แต่ก็ยังดีที่มีเรื่องตลกสร้างความบันเทิงให้แก่ราษฎร
การแล่นเรือสวนกับกระแสน้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกครั้งที่ไปถึงในแต่ละเมืองก็จะมีคนใช้แรงงานที่ไม่ได้ค่าแรงคอยดึงเชือกเดินอยู่บนบกเพื่อส่งเรือของทางการออกจากเขตของตัวเอง และเรือของทางการก็ใช้แรงงานคนพวกนี้โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง
อวิ๋นโหวเริ่มมีความคิดแปลกๆ อีกครั้ง เขาเตรียมที่จะจ่ายเงิน เมื่อขุนนางได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกตกใจ หากอวิ๋นเยี่ยคิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ ขุนนางคนอื่นๆ จะต้องจ่ายเงินด้วยหรือไม่? สินค้าหนีภาษีของขุนนางต่างก็ใช้เรือของทางการในการขนส่ง จะต้องจ่ายเงินด้วยหรือ งั้นตัวเองจะมาเป็นขุนนางเพื่ออะไร ไม่ใช่เพราะอยากจะได้ผลประโยชน์พวกนี้หรอกหรือ หากไม่มีผลประโยชน์พวกนี้ ใครที่ไหนจะมายอมทำงานที่ได้เงินเดือนน้อยนิดเช่นนี้ คิดว่าข้าจะอาศัยน้ำพักน้ำแรงตัวเองหาเงินไม่ได้หรืออย่างไร
ขุนนางที่มาเกลี้ยกล่อมถูกขับไล่ออกไปหมด ขุนนางบางคนที่พยายามขอร้องท่านโหวให้ไม่ต้องจ่ายเงินก็ถูกพวกทหารจับโยนลงน้ำ ท่านโหวได้พูดไปแล้ว นอกจากพวกขุนนางจะดึงเชือกกันเอง ตระกูลอวิ๋นไม่มีทางเอาเปรียบคนยากคนจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนทำงานหนักพวกนั้น แม้แต่เรือของทางการที่ท่านโหวใช้ขนสินค้าหนีภาษีเขาก็คิดไว้แล้วว่าจะจ่ายเงิน
อู๋เสอ เหอจงอู่ และหงเฉิงที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารได้ยินอวิ๋นเยี่ยกำลังพูดถึงเหตุผลว่าทำไมจึงทำเช่นนี้
“ตั้งแต่สมัยโบราณ การที่มาเป็นขุนนางก็เพื่อเชิดหน้าชูตาให้กับพ่อแม่ สร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง คนที่มีตำแหน่งสูงส่งแต่กลับขูดเลือดขูดเนื้อจากราษฎร กลั่นแกล้งคนอื่นเพื่อความสุขของตัวเอง พฤติกรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ได้แพร่ขยายไปทั่วทุกพื้นที่มาเป็นเวลาหลายพันปี ตั้งแต่ต้าอวี่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ได้มอบสิทธิอำนาจของตัวเองให้แก่ลูกชายที่มีนามว่าเซี่ยฉิง กระทั่งได้กำเนิดราชวงศ์ขึ้น ในตอนนี้เองที่พวกตระกูลทั้งหลายก็ได้เริ่มขึ้น และช่วงเวลานี้ก็ได้เริ่มมีการแบ่งชนชั้น ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี ชนชั้นนั้นเป็นสิ่งที่แปลก บางครั้งอาจกระตุ้นให้คนก้าวหน้า แต่บ่อยครั้งมันก็เป็นข้ออ้างในการบีบบังคับผู้อื่น พวกคนดึงเรือที่อยู่ด้านนอกได้ทำตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ หากบนเรือไม่ได้บรรทุกสาหร่ายทะเล ข้าก็คงจะใช้งานพวกเขาได้อย่างสบายใจ เรือของเราเป็นเรือรบ เรามีสิทธิ์ที่จะใช้แรงงานพวกเขา แต่เมื่อเรือของเราบรรทุกสาหร่ายทะเล เรือของเราก็จะไม่ใช้เรือรบอีกต่อไป แต่เป็นเรือค้าขาย ดังนั้นพวกเราต้องจ่ายเงิน จะขาดไปแม้แต่เหรียญเดียวไม่ได้ คืนคุณค่าที่แท้จริงให้กับการใช้แรงงาน
เช่นนี้แล้วกลุ่มคนใจดำที่ใช้เรือของทางการก็ไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้อีกต่อไป ไม่ใช่เพียงเพราะว่าพวกเขาเอาเปรียบประเทศชาติ แต่สิ่งที่น่าเกลียดกว่านั้นก็คือสินค้าที่พวกเขาขนส่งจะมีค่าขนส่งน้อยกว่าของราษฎรมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นสินค้าอย่างเดียวกันตาม ซ้ำผลกำไรยังสูงกว่าคนอื่น จะให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ตอนที่เริ่มวิ่งเจ้านำหน้าไปก่อน เมื่อเวลาผ่านไปนาน พ่อค้าธรรมดาจะกลายเป็นพ่อค้าของขุนนาง กิจการของราษฎรจะปิดตัวลงทั้งหมด บางคนก็ทำตัวเละเทะ บางคนก็ไปเป็นโจร ต้าถังจะเริ่มไม่สงบสุข และที่สำคัญคือพวกขุนนางไม่ต้องเสียภาษี”
พูดเสร็จอวิ๋นเยี่ยก็เดินออกไป ไม่สนว่าพวกเขาจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ เถ้าแก่ตระกูลเฉิงกลับกล้าวิ่งเข้ามาร้องทุกข์ ไม่รู้ไปได้ความกล้านี่มาจากไหน อยากจะระบายความโมโหอัดเข้าให้แรงๆ สักที ทำท่าทางร้องไห้อย่างกับเด็กขี้แย
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้บ้า เขาเพียงแค่คิดว่าในเมื่อตัวเองเป็นขุนนางก็ต้องแสดงบทบาทนี้ให้ดี เมื่อกลับบ้านไปเป็นพ่อค้าก็ต้องแสดงบทบาทของพ่อค้าให้ดี และต้องทำอย่างจริงจังด้วย เป็นขุนนางก็ต้องเป็นขุนนางที่ดี เป็นพ่อค้าก็ต้องทำมันให้ถึงสุดความสามารถของตัวเอง เป็นอาจารย์ก็ต้องสั่งสอนลูกศิษย์ออกมาให้ดี การผจญภัยที่ยากลำบากในครั้งนี้ทำให้เขารู้ว่าหากจะแสดงละครก็ต้องแสดงอย่างเต็มที่
ตอนนี้บทบาทของอวิ๋นเยี่ยก็คือขุนนางที่ดีและไม่เห็นแก่ตัว เถ้าแก่ตระกูลเฉิงถูกลากไปเฆี่ยนตี จากนั้นก็ได้รับค่าทำขวัญเป็นเงินสิบเหรียญ เขานอนหมอบอยู่ที่พื้นแล้วหัวเราะด้วยความเจ็บปวด
หากเรือออกไปนอกเขตแดน อวิ๋นเยี่ยก็จะนำลูกคิดออกมาคำนวณอย่างละเอียดว่าควรจะให้เงินคนลากเรือเท่าไหร่ถึงจะพอดี เรือทางการที่ถูกกองทัพเรือขวางทางไว้ด้านหลัง หากพวกเขามีสินค้าหนีภาษีก็ต้องยอมจ่ายแต่โดยดี มิเช่นนั้นกองทัพเรือของอวิ๋นเยี่ยก็จะขวางทางไว้ไม่ให้เขาเข้าไปได้แม้แต่นิดเดียว
อวิ๋นเยี่ยทำเรื่องเช่นนี้มาตลอดทาง จนกระทั่งหลี่ซื่อหมินมีพระราชโองการให้เขากลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด เมื่อไม่มีอะไรทำแล้วก็ไม่ควรไปหาเรื่องใส่ตัว เขาไม่ใช่คนดีอะไร ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำ รีบกลับมาโดยเร็วที่สุด หากมาช้าจะถูกตัดขา
อวิ๋นเยี่ยมองไปบนท้องฟ้าแล้วถอนหายใจถึงสามคำรบ มีคำสั่งให้รีบกลับเมืองหลวงโดยเร็ว หลี่ซื่อหมินช่างเป็นคนที่ฉลาดเสียจริง โง่สักหน่อยจะตายหรืออย่างไร
หลิวจิ้นเป่าสับสนอย่างมาก หงเฉิงก็เช่นกัน เหอจงอู่รู้สึกนับถือหลี่ซื่อหมินเป็นอย่างมาก ส่วนอู๋เสอก็แอบหัวเราะอยู่คนเดียวในห้องโดยสารราวกับเป็ดที่กำลังจะขาดใจ
ความจริงก็หวาดกลัวการกลับเมืองหลวงอยู่หรอก ตอนนี้เมืองหลวงก็เหมือนกับรังต่อขนาดใหญ่ ตอนนี้บทบาทที่ตัวเองได้รับก็คือไม้ที่ใช้แหย่รังต่อ แน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยได้ทำอะไรบางอย่างที่ไร้เหตุผลเพื่อให้หลี่ซื่อหมินสั่งปลดตำแหน่งแม่ทัพ เขาไม่อยากเป็นไม้แหย่รัง ไม่อยากเป็นเลยแม้แต่หน่อย ต่อในเมืองหลวงต่อยคนได้ แต่ละตัวมีเหล็กในเท่ากำปั้น ตัวเองเป็นคนมีเลือดมีเนื้อจะทนการต่อยของต่อทั้งรังได้อย่างไร
หลี่ซื่อหมินไม่ตกหลุมพราง ไม่พูดถึงเรื่องปลดตำแหน่งเลยแม้แต่น้อย หากอยากลาออกก็ต้องออกหลังจากที่แหย่รังต่อเสร็จแล้ว หลี่ซื่อหมินใจจดใจจ่อรอให้อวิ๋นเยี่ยถูกต่อยเข้าไปถึงกระดูกก่อนที่จะปลดเขาออกจากตำแหน่งแม่ทัพ ไม่ได้การแล้ว ต้องคิดหาวิธี ขุนนางในเมืองหลวงมักจะเห็นกันเป็นพี่เป็นน้อง ทุกคนต่างมีภรรยามากมายที่ต้องดูแล หากไม่มีเงินก้อนโต จะให้อยู่เฉยๆ ได้อย่างไร หากคิดจะสู้กับหลี่ซื่อหมิน สุดท้ายแม้แต่ชีวิตก็จะรักษาไว้ไม่ได้ มีเพียงอวิ๋นเยี่ยคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะจะทำงานนี้
เพียงแค่วันเดียวก็ทำให้อวิ๋นเยี่ยเครียดจนเหงือกบวม ใบหน้าดูแก่ลง จะหาแพะรับบาปก็ไม่มีใครที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเหล่าเฉิง เหล่าหนิว หรือว่าเหล่าฉิน หากให้พวกเขามาเป็นแพะรับบาป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความเมตตา แม้แต่ท่านย่าก็คงจะตีตัวเองให้ตาย
หลี่จิ้งเหมาะแก่การเป็นแพะรับบาป แต่เขาซ่อนตัวอยู่ไกลสุดชายแดน ตามหาตัวจับยาก หรือจะเป็นหลี่เซี่ยวกงดี? ก็เห็นว่าจะไม่เหมาะเท่าไหร่ ครั้งที่แล้วเขาได้นำเงินหนึ่งหมื่นเหรียญให้ตัวเองไปใช้เมื่อคราวจำเป็น ต้องเห็นแก่น้ำใจของเขาสักหน่อย หรือว่าจะเป็นจั่งซุนอู๋จี้ ช่างเถอะ แค่คิดถึงความยิ่งใหญ่ของเขาในภายภาคหน้าก็น่ากลัวแล้ว หรือจะเป็นฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย แต่ว่าตัวเองก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้พวกเขามาเป็นแพะรับบาปได้อยู่ดี
นอนไม่หลับติดต่อกันหลายคืน หน้าบวมจนจะสะท้อนแสงได้อยู่แล้ว ท้ายทอยมีฝีขึ้นมานับไม่ถ้วน ในขณะที่เขากำลังกัดฟันเตรียมตัวรับผิดชอบเรื่องนี้ เรื่องราวได้มีการพลิกผันเกิดขึ้น
เหล่าจวงวิ่งมาตามริมแม่น้ำอยู่นานกว่าจะนำจดหมายจากทางบ้านมาส่งถึงมือ จดหมายมีความหนา ดูแล้วซินเย่วคงมีเรื่องเยอะแยะมากมายต้องการจะเล่า เมื่อเปิดดูจึงได้รู้ว่าข้างในเต็มไปด้วยจดหมาย น่ารื่อมู่วาดรูปคนสองคนกำลังจูบกันอยู่ลงบนกระดาษ ดูไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ดูแล้วสับสนมึนงงไปหมด ลำตัวและแขนขา ลายเส้นดูมีเอกลักษณ์ มองดูก็รู้ว่านางคิดถึงตัวเองเป็นอย่างมาก เปิดจดหมายของนางแล้ววางไว้ใต้หมอน กลางคืนค่อยหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง จดหมายของท่านย่าเขียนเพียงแค่ว่าให้เขาดูแลตัวเองให้ดีแล้วรีบกลับมาเร็วๆ ต้ายา เสี่ยวยา รุ่นเหนียง ซือซือ เสี่ยวอู่ก็พากันเขียนจดหมายมาด้วย จดหมายของพวกนางเต็มไปด้วยความคิดถึงและความกังวล
จดหมายของซินเย่วเอาไว้อ่านเป็นฉบับสุดท้าย จดหมายของนางหนาที่สุด นางเล่าสถานการณ์ของทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะเรื่องที่อวิ๋นโซ่วพานางไปบุกตำหนักจินหลวน นางพูดเหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เล่นเอาซะลูกชายน่ารักที่อายุไม่ถึงหนึ่งขวบดูเก่งเกินอายุ แม่อุ้มอยู่นานก็ไม่ฉี่รดแม่ เป็นลูกที่น่ารักที่สุด ตอนที่ออกจากวังหลวงยังส่งเสียงร้องออกคำสั่งให้สาวใช้และขันทีหลีกทางให้เขา สมแล้วที่จะได้เป็นท่านโหวในอนาคต
เมื่ออวิ๋นเยี่ยอ่านจดหมายก็ประทับใจจนน้ำตาไหล ในที่สุดข้าก็มีศัตรูแล้ว จางเลี่ยง เจ้าช่างเป็นคนดีเสียจริง เจ้าได้เป็นผู้นำในการบริจาครายได้ที่ได้จากหลิ่งหนาน แบกรับทุกอย่างแทนฝ่าบาท เช่นนั้นก็มาแบกรับแทนข้าด้วย หวังว่าคงจะไม่ว่าอะไร เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลิ่งหนานก็เป็นเพราะจางเลี่ยง เขาเป็นถึงกั๋วกง แต่กลับออกคำสั่งให้ข้าเอาสมบัติของตระกูลเขามาบริจาคให้หมด มิเช่นนั้นก็จะไม่มีใครเคารพกฎของประเทศชาติ คำพูดดูเด็ดเดี่ยวและคมชัด ท่าทางดูหนักแน่น แต่ความหมายยังคงคลุมเครือ หรือว่าต้องการให้อวิ๋นเยี่ยหลับตาข้างเดียว นำแค่เงินเพียงส่วนหนึ่งมอบให้แก่ฮ่องเต้ แม้ว่าจดหมายเช่นนี้ต่างก็เป็นจดหมายที่กั๋วกงท่านอื่นหรือองค์ชายเขียนกัน นี่คือเหตุผลที่ทำให้อวิ๋นเยี่ยคิดหาวิธีให้คนพวกนี้มาเป็นแพะรับบาป ตอนนี้มีศัตรูแล้ว จดหมายของคนอื่นๆ ก็นำไปเผาได้ เหลือเพียงจดหมายของจางเลี่ยงไว้เป็นหลักฐานก็พอ
เมื่อต้องการความช่วยเหลือ คนมากมายเหล่านี้ก็มาได้ทันเวลาพอดี คืนนั้นอวิ๋นเยี่ยกอดจดหมายของน่ารื่อมู่นอนหลับฝันดีทั้งคืน
………………………………………….