อวิ๋นเยี่ยยืนอ้าแขนรับลมอยู่ที่หัวเรือ แก้มที่ปูดบวมเริ่มยุบลงแล้ว ฝีที่ท้ายทอยก็หายได้โดยไม่ต้องใช้ยา พึ่งอาบน้ำอุ่นเสร็จก็ใส่เสื้อคลุมบางๆ กำลังรู้สึกสบายตัวอยู่
ลมพัดเข้ามาในคอเสื้อที่เปิดไว้จากนั้นก็พัดผ่านขากางเกงออกไป นับว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งของมนุษย์ ขณะที่กำลังยืนรับลม มีเรือลำหนึ่งแล่นมาข้างๆ ชายสวมชุดแพรชี้ไปยังอวิ๋นเยี่ยแล้วหัวเราะ สาวงามที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกสองคนก็หัวเราะตามด้วยเช่นกัน
จะหัวเราะก็ไม่เป็นไร อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าการกระทำของเขาในตอนนี้ดูโง่เขลา แต่ปัญหาก็คือเรือลำนี้กล้าแล่นเข้ามาใกล้ ล้ำเส้นกันมากเกินไปแล้ว เรือของอวิ๋นเยี่ยเป็นเรือของกองทัพเรือ ปกติคนทั่วไปจะแล่นเรืออ้อมไปไม่กล้าเข้ามาใกล้ แม่น้ำกว้างขวางถึงเพียงนี้ เราควรแล่นไปทางใครทางมัน ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกัน เมื่อเจอเรื่องน่าขันจะหัวเราะก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ในเมื่อเห็นว่าเป็นเรือรบแล้วยังจงใจมายั่วโมโหนั่นคือการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
อวิ๋นเยี่ยมองดูอย่างละเอียดเห็นว่าเป็นคนที่ไม่รู้จัก เช่นนั้นก็ดีเลย อวิ๋นเยี่ยเคยเห็นขุนนางชั้นสูงของต้าถังมาหมดแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเขามาก่อน หากไม่สั่งสอนคงไม่ได้ มันจะเสียหน้ากองทัพเรือเอาได้
คนที่อยู่บนเรือตรงข้ามหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ แล้วยังกล้าถอดเสื้อของหญิงสาวออก ทำให้เห็นหน้าอกขาวนวล ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือผู้หญิงคนนั้นดันหน้าอกให้สูงขึ้นอย่างไร้ยางอาย แล้วหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจต่อจากนั้น
พวกทหารในกองทัพโมโหจนตาลุกเป็นไฟ ทุกคนหันไปมองอวิ๋นเยี่ยว่าควรจะจัดการเช่นไร มีผู้บังคับบัญชาการอยู่ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไร
อวิ๋นเยี่ยดึงผ้าคลุมหน้าไม้สามขาออก แล้วตะโกนออกมาว่า “พวกเจ้ามาช่วยข้าดึงคันหน้าไม้”
ทันใดนั้นก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามาแล้วดึงคันหน้าไม้สามขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางหน้าไม้ที่มีตะขอแปดตัว ตงอวี๋ถอดเสื้อผ้าออกเหลือแต่สายคาดเอว เตรียมพร้อมกระโดดข้ามเรือตลอดเวลา
คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติ คิดอยากจะหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว คนที่ลักษณะดูเหมือนพ่อบ้านรีบชักธงขึ้น อวิ๋นเยี่ยมองดูอย่างละเอียด ที่แท้ก็คือหลู่อ๋องหลี่หยวนชัง
เมื่อชักธงขึ้น เหล่าทหารต่างพากันมองหน้ากันไปกันมา พวกเขาไม่รู้จักตัวหนังสือ แต่พวกเขารู้จักธงที่มีรูปมังกรเหลืองสี่เล็บ นี่คือธงของคนที่มีเชื้อกษัตริย์ ทำผิดต่อเขามีโทษถึงประหาร เพราะว่าธงของกษัตริย์มีเพียงเชื้อกษัตริย์เท่านั้นที่จะมี ดังนั้นคนที่อยู่ตรงข้ามเป็นไปได้ว่าคือหลี่หยวนชัง
หลี่หยวนชังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคิดว่าตัวเองทำให้กลุ่มทหารเหล่านั้นตกใจจนขวัญเสียแล้วถึงได้โผล่หัวกลับออกมาจากด้านหลังของผู้หญิงแล้วตะโกนด่ากองทัพเรือ ผู้หญิงสองคนนั้นก็ยังช่วยให้กำลังใจเขาอีกด้วย
อวิ๋นเยี่ยแคะขี้หูพร้อมกับพูดกับอู๋เสอว่า “ซุนผินยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
อู๋เสอตอบอย่างไร้อารมณ์ว่า “ยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าไม่ได้พบไท่ซั่งหวงมาห้าหกปีแล้ว ”อวิ๋นเยี่ยผงกหัว เล็งหน้าไม้ไปที่หลี่หยวนชัง จากนั้นรับค้อนปอนด์มาจากทหารเตรียมตัวยิงหน้าไม้
หลี่หยวนชังมุดหัวกลับเข้าไป ในขณะที่แววตาของหงเฉิงมีความกังวล ค้อนของอวิ๋นเยี่ยก็ได้ตอกลงไปบนเครื่องจักร ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยกลัวแค่ปัญหาที่ว่าจะยังไม่ใหญ่พอเท่านั้น หลี่เฉิงเฉียนกับชิงเชวี่ยบอกว่าพวกเขาถูกหลี่หยวนชังรังแกมาตลอด โดยเฉพาะชิงเชวี่ยที่เกลียดหลี่หยวนชังเข้ากระดูก ครั้งหนึ่งหลี่ซื่อหมินได้สุนัขล่าเนื้อมาเป็นของขวัญให้แก่ชิงเชวี่ยหลังจากที่กลับมาจากเมืองหน้าด่าน แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อหลี่หยวนชังเห็นเข้าก็จะแย่งไปให้ได้ ในตอนนั้นหลี่ซื่อหมินเป็นฉินอ๋องไม่กล้าขัดใจรัชทายาทและฉีอ๋อง จั่งซุนจึงได้ให้สุนัขตัวนั้นแก่หลี่หยวนชัง แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะฆ่าสุนัข ถลกหนังแล้วยังยกมาให้ชิงเชวี่ยดู ชิงเชวี่ยตกใจจนนอนผวาฉี่รดที่นอนอยู่หลายเดือน นี่คือเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยกับหลี่เฉิงเฉียนเคยคุยกันยามว่าง ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยคิดว่าถ้าหากตัวเองฆ่าหลี่หยวนชังตายก็คงไม่เป็นอะไร
หน้าไม้พุ่งเข้าไปในเรือพร้อมเสียงที่ปาดหู เรือที่ไม่ได้แข็งแรงพอจะทนทานต่ออาวุธสังหารชนิดนี้ได้อย่างไร ทันใดนั้นทั้งเรือก็มีเสียงโครมคราม ห้องขนาดเล็กด้านบนก็พังลงมา หลี่หยวนชังที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงตะโกนออกมาว่า “ข้าคือหลู่อ๋อง พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร ข้าจะฆ่าล้างโคตรพวกเจ้าให้หมด”
อวิ๋นเยี่ยถ่มน้ำลาย แล้วพูดกับทหารว่า “เตรียมเครื่องโยนหินให้พร้อม วันนี้หากข้าไม่ทุบเรือของเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ก็ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าอวิ๋นเยี่ย คิดว่าฉายาวายร้ายแห่งเมืองฉางอันของข้าเป็นของปลอมหรืออย่างไร”
เหล่าทหารเตรียมเครื่องโยนหินให้ท่านโหว ใส่หินที่ใหญ่ที่สุดในตะกร้าไม้ไผ่ทีละก้อน เพียงแค่อวิ๋นเยี่ยตัดเชือกที่ดึงไว้ หินก้อนใหญ่เท่าแตงโมก็จะถูกขว้างออกไป ไม่มีทางที่เรือลำนั้นจะไม่พังกลายเป็นเศษไม้ไปได้
“อาจารย์อู๋เสอ อวิ๋นโหวทำเช่นนี้จะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ อย่างไรหลี่หยวนชังก็เป็นสายเลือดกษัตริย์”
“หงเฉิง ในเมื่อเจ้าและข้าไม่ได้ฉลาดเท่าอวิ๋นโหว เช่นนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆ คอยดูสถานการณ์ดีกว่า คนฉลาดบางครั้งก็ทำเรื่องโง่ๆ ได้ แต่อวิ๋นโหวไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเป็นคนมีขอบเขต เจ้าไม่เห็นหรือว่าหน้าไม้ถูกยิงเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า ก็แสดงว่าอวิ๋นโหวไม่ได้จะฆ่าคน นี่คือกลยุทธ์ของเขา เจ้ามองดูสิ อย่างไรครั้งนี้หลี่หยวนชังก็เสียเปรียบ แต่ไม่แน่อวิ๋นโหวอาจจะได้กำไร”
การเตรียมเครื่องโยนหินนั้นใช้เวลานาน หลี่หยวนชังเห็นเหล่าทหารพากันเข็นเครื่องโยนหินมาก็ร้องออกมาเสียงดังวิ่งหนีตาลีตาเหลือก ตอนนี้เขามั่นใจว่าแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามคือคนบ้าคนหนึ่ง กล้าใช้หน้าไม้แล้วยังกล้าใช้เครื่องโยนหินอีก อาศัยจังหวะในขณะที่พวกเขากำลังเตรียมตัวปล่อยเรือลำเล็กลงมา ตัวเองก็กระโดดลงไปเร่งให้องครักษ์รีบพายเรือหนีไปจากสถานที่อันน่ากลัวแห่งนี้ สาวงามสองคนนั้นขอร้ององค์ชายให้พานางไปด้วย แต่หลี่หยวนชังยุ่งอยู่กับการเอาชีวิตรอดจึงไม่สนใจพวกนาง
เครื่องโยนหินมาประจำตำแหน่งแล้ว อวิ๋นเยี่ยยิ้มพร้อมกับตัดเชือก หินก้อนใหญ่พุ่งไปที่ด้านบนของลำเรือ ในขณะที่เกิดเสียงดังโครมครามเรือก็เกิดการเอียงอย่างรุนแรง คาดว่าอีกไม่นานก็จะจมลงไป
คนรับใช้ในจวนหลู่อ๋องยืนซ่อนตัวอยู่ที่หัวเรือ ค่อยๆ ทยอยโดดลงน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด เหลือเพียงแค่ผู้หญิงสองคนที่หมอบร้องไห้อยู่บนหัวเรือขอร้องให้คนอื่นๆ พาตัวเองไปด้วย
“ตงอวี๋ ไปพาตัวผู้หญิงสองคนนั้นมา พวกเราแค่ต้องการระบายความโมโห ไม่ได้จะฆ่าคน” ตงอวี๋ผูกเชือกไว้ที่เอวแล้วดำดิ่งลงไปในน้ำ ผ่านไปไม่นานก็ไปโผล่ที่ด้านข้างของเรือ จากนั้นก็ปีนขึ้นเรือราวกับลิง แขนทั้งสองข้างหนีบหญิงสาวไว้ อาศัยจังหวะที่เรือยังไม่จมกระโดดลงไปในน้ำ เหล่าทหารที่อยู่บนเรือรบพากันดึงเชือกช่วยเขาขึ้นมา ตงอวี๋หัวเราะพร้อมกับลอยขึ้นมาตามเชือก มือใหญ่ๆ ทั้งสองข้างกุมหน้าอกอันอวบอิ่มของหญิงสาวสองคนไว้ ทำเอาทหารคนอื่นๆ พากันน้ำลายไหล
ตงอวี๋พึ่งจะปีนขึ้นมาบนเรือรบ อวิ๋นเยี่ยก็ออกคำสั่งให้โยนหินทำลายเรือจนแตกเป็นเสี่ยงๆ จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการเดินเรือ
ขว้างก้อนหินออกไปราวกับสายฝน ทุบเรือที่หรูหราและสวยงามให้กลายเป็นชิ้นไม้ละเอียดลอยไปตามน้ำ แล้วยังมีเสื้อผ้าสตรีสีสันสดใส หีบของและข้าวของใช้จิปาถะอื่นๆ อีกด้วย
เมื่อหญิงสาวสองคนนั้นขึ้นมาบนเรือได้ก็นั่งคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น หวังว่าอวิ๋นเยี่ยจะไว้ชีวิตตัวเอง
“พวกเจ้าเป็นสนมในวังหรือ” อวิ๋นเยี่ยอยากรู้ว่าหลี่หยวนชังกล้าพอที่จะปล่อยให้นางสนมของตัวเองเปลือยกายต่อหน้าผู้คนหรือไม่
“ข้าไม่ใช่สนมของหลู่อ๋อง ข้าเป็นผู้หญิงของหอว่านฮวาโหลว เมื่อครู่องค์ชายเป็นคนให้ข้าทำเช่นนั้น ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ท่านโหวโปรดไว้ชีวิตด้วย”
ที่แท้สองคนนี้เป็นผู้หญิงจากหอนางโลม อวิ๋นเยี่ยก็เลยไม่สนใจพวกนาง ให้เงินพวกนางคนละสองชั่งแล้วส่งคนให้พานางขึ้นฝั่งด้วยเรือลำเล็ก จากนั้นก็เตะไปที่ขาของตงอวี๋สองทีเป็นการลงโทษเขา
เรือเล็กของหลี่หยวนชังขึ้นฝั่งแล้ว พวกองครักษ์สองสามคนกระโดดขึ้นฝั่งพร้อมกับสาปแช่ง อวิ๋นเยี่ยหันหน้าไม้เล็งไปที่หลี่หยวนชังอีกครั้ง หลี่หยวนชังถูกองครักษ์กดลงกับพื้น เขาบิดตัวไปมาราวกับไส้เดือนแล้วไต่ลงมาตามสันเขื่อน
“ท่านโหวผู้เกรียงไกร!” ทหารทุกคนที่เห็นอวิ๋นเยี่ยต่างก็พากันยืนขึ้นแล้วตะโกนด้วยความเคารพ ในกองทัพก็เป็นเช่นนี้ ความสามารถมาเป็นอันดับหนึ่ง อายุมาเป็นอันดับสอง แม่ทัพของตัวเองมีความแข็งแกร่ง พวกทหารใต้บังคับบัญชาการก็จะรู้สึกฮึกเหิม ยิ่งเมื่อนำทัพออกศึกจะทำให้มีความกล้าหาญเพิ่มพูนขึ้นอีก ลักษณะของแม่ทัพเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของกองทัพ แม่ทัพที่เข้มแข็งจะไม่มีลูกน้องที่อ่อนแอ ที่ผ่านมากองทัพเรือไม่ได้รับความสำคัญมากนัก เหมือนเป็นส่วนเกินของกองทัพ แต่ไหนแต่ไรมามักจะเป็นฝ่ายถูกเยาะเย้ยอยู่เสมอ ตอนนี้มีท่านโหวที่แข็งแกร่งทำให้ตัวเองพอมีหน้ามีตาขึ้นมาบ้าง ขอเพียงแค่ท่านโหวเป็นผู้นำของตัวเองตลอดไป เมื่อทุกคนทำภารกิจทางทหารสำเร็จก็ไม่ต้องห่วงว่าจะขาดแคลนทรัพย์สินเงินทอง
อวิ๋นเยี่ยที่กำลังผิวปากอย่างสบายใจกะว่าจะกลับไปนอนที่ห้องโดยสารเรือ จู่ๆ อู๋เสอก็โผล่ขึ้นมาข้างหลังราวกับผี แล้วพูดแปลกๆ ว่า “ท่านโหวผู้เกรียงไกร ในเมื่อได้เป็นผู้เกรียงไกรแล้ว ท่านกะว่าจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร”
“ยังต้องจัดการอะไรอีก หากหลี่หยวนชังยังกล้ากลับไปเมืองหลวงก็เท่ากับว่ารนหาที่ตาย ข้ามีลูกศิษย์ที่ดีชื่อว่าหลี่ไท่หรือหลี่ชิงเชวี่ย เขาถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่ก็เป็นฝีมือของหลี่หยวนชัง หากข้าส่งม้าเร็วไปบอกหลี่ชิงเชวี่ยว่าศัตรูของเขากลับเมืองหลวงแล้ว เจ้าคิดว่าหลี่หยวนชังยังจะมีกะจิตกะใจสร้างปัญหาให้กับพวกเราอีกหรือ”
อู๋เสอเบิกตากว้างแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นแผนดักทางศัตรู ประโยคเมื่อครู่นี้ถือว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน” เขาชมไปส่ายหัวไปแล้วเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ไปอธิบายให้หงเฉิงผู้ที่กำลังกังวลอยู่ฟัง
เห็นอู๋เสอกลับมาหงเฉิงก็รีบวิ่งเข้าไปถาม “ท่านโหวว่าอย่างไรบ้าง เขาเตรียมจะรับมืออย่างไร หลี่หยวนชังจะต้องไปร้องเรียนกับฝ่าบาทเป็นแน่ที่เราใช้อาวุธทางการทหารตีจนเรือของเขาจนพัง เกือบมีคนตาย แถมยังมีเรื่องบนแม่น้ำที่มีคนผ่านไปมาเช่นนี้อีก หากเป็นที่ที่ไม่มีคนก็ยังสามารถจัดการพวกเขาทั้งหมดได้ แต่ตอนนี้มีคนมองอยู่เต็มไปหมด ควรจะทำอย่างไรดี”
อู๋เสอหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึกแล้วพูดกับหงเฉิงว่า “เทพเจ้า ตอนนี้เหล่าฟูค้นพบแล้วว่าคนฉลาดกับคนโง่ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก เรื่องที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เดียวกันคนฉลาดมักจะจัดการได้อย่างเป็นธรรม แต่คนโง่มักจะทำให้เรื่องยุ่งมากไปกว่าเดิม คนที่มือเปื้อนเลือดยังบอกว่าตัวเองทำไปก็เพื่อนายท่าน การที่ฝ่าบาทส่งเจ้าไปที่หลิ่งหนานนั้นถือว่าทำถูกแล้ว เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าฝ่าบาทอดทนกับเจ้ามาหลายปีแล้ว ข้าได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าสามเดือน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากเตะเจ้ากลับหลิ่งหนาน ฝ่าบาทดีกับพวกเจ้าจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรแล้ว”
หงเฉิงอึ้งอยู่นาน ถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า “เจ้าเรียกตัวเองว่าเหล่าฟูตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อก่อนเจ้ามักจะพูดจาเป็นกันเอง หลายวันมานี้ข้าไม่เคยนับว่าเจ้าเป็นขันที เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
……………………………………………