หลังจากที่ทำลายเรือของหลู่อ๋องแล้ว บนแม่น้ำสายนี้ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งกับกองทัพเรืออีก ผู้บัญชาการทองทัพเรือหลิ่งหนานได้ประกาศว่าอวิ๋ยเยี่ยและหลี่หยวนชังได้สู้รบกันบนแม่น้ำเพื่อแย่งหญิงสาวงามสองคน สุดท้ายอวิ๋นเยี่ยอาศัยเรือที่แข็งแกร่งกว่าเอาชนะหลู่อ๋องจนต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินสองฝั่งของแม่น้ำ ท่านโหวที่กล้าโจมตีองค์ชายในต้าถังก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่ถึงขั้นใช้อาวุธทางทหารเพื่อแย่งชิงสาวงามพึ่งจะมีครั้งนี้เป็นครั้งแรก
ผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่คิดว่านี้เป็นความอัปยศของราชสำนัก ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เอกสารการฟ้องร้องได้ปลิวว่อนไปทั่วฉางอันราวกับเกร็ดหิมะ ในฎีกาไม่ได้เขียนเข้าข้างใคร และไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิด บอกเพียงแต่ว่าเป็นการเสื่อมเสียอารยธรรม ไม่มีความเป็นผู้ดี ขอให้ฮ่องเต้ได้โปรดลงโทษทั้งคู่ด้วย อย่างไรก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องสืบสวนว่าใครถูกใครผิด
ม้าเร็วส่งข่าวเร็วกว่าเรือเร็ว อวิ๋นเยี่ยและหลี่หยวนชังยังไม่ทันได้ถึงเมืองหลวง คนในเมืองหลวงก็รู้แล้วว่ามีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เหล่าฉินผู้มีจิตใจดีงามถึงกับถอนหายใจ คิดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นตัวก่อปัญหา ตัวเองที่เป็นเสาหลักของครอบครัวในฉางอันก็เริ่มจะแบกรับไว้ไม่ไหวแล้ว
อวี้ฉือกงปรบมือหัวเราะชอบใจ นี่สิถึงจะสมกับเป็นชายในกองทัพทหาร ของที่เป็นของตัวเองหากใครแย่งไปก็ต้องโดนจัดการ เมื่ออารมณ์โมโหพลุ่งพล่าน แม้แต่เทพเจ้าบนสวรรค์ก็ไม่ยอมปล่อยไป เขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยได้เรียนรู้สิ่งนี้มาจากตัวเอง
หลี่ซื่อหมินวางฎีกาลงแล้วนวดขมับ พูดกับตัวเองว่า “ไอ้เจ้านี่ เพื่อที่จะขอลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพกองทัพเรือแล้วก็ลงทุนไปไม่น้อยเลย เหอะๆ เจ้าก็มีช่วงเวลาไม่สบายใจเหมือนคนอื่นเขาด้วยหรือ ดำรงตำแหน่งแม่ทัพทหารเรือต่อไปเถิด ข้ายังหวังว่าเจ้าจะสามารถสร้างเรือดีๆ ได้อีกหลายลำ”
แววตาของหลี่ไท่เต็มไปด้วยแสงแห่งความมืดมน ในมือถือขวดแก้วสองใบ ขวดหนึ่งมีมดแดงอยู่สี่ห้าตัว อีกขวดหนึ่งมีแมงมุมขนาดเท่ากำปั้นเด็กหนึ่งตัว มองดูสัตว์สองชนิดที่กำลังกระสับกระส่าย ถอนหายใจออกมาแล้วนำแมงมุมกลับไปไว้ที่ชั้นวางของ จากนั้นก็ปล่อยมดลงในตะกร้าไม้ไผ่ขนาดเล็ก เขาเดินออกจากสำนักศึกษาเตรียมตัวกลับเข้าร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์ที่ฉางอัน
ช่วงนี้ที่ฉางอันมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นมากมาย ได้รับรายงานชัยชนะจากทัพหน้า หงหลิงเดินนำทัพตะโกนว่าได้รับชัยชนะบนถนนจูเชวี่ย แต่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของราษฎรได้ ได้รับเพียงคำตอบที่บอกว่ารับรู้แล้วเท่านั้น จากนั้นแต่ละคนก็แยกย้ายไปทำเรื่องที่ตัวเองควรทำ ได้รับชัยชนะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากวันไหนมีข่าวร้ายมาจึงจะเป็นเรื่องที่ทุกคนสนใจ ต้าถังไม่มีวันแพ้สงคราม
เพื่อเป็นการขอพรให้แก่ไท่ซั่งหวง ฝ่าบาทได้มีรับสั่งเป็นพิเศษว่าหลังจากนี้โทษประหารชีวิตจะมีเพียงสองประเภทคือการแขวนคอและตัดหัว เฉพาะผู้ที่ทรยศและชั่วร้ายเท่านั้นที่จะถูกตัดหัว ส่วนโทษอื่นๆ ที่เหลือจะถูกแขวนคอโดยการตั้งเสาขึ้นมาแล้วเอาเชือกคล้องคอนักโทษแขวนขึ้นไปข้างบน ไม่มีเลือด ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะมีเลือดนองเต็มพื้น กลิ่นเหม็นเน่าไม่พอยังมีแมลงวันบินมาตอมอีก คิดว่าการแขวนคอน่าจะดีกว่า มีบางคนจินตนาการถึงฉากที่มีศพแขวนอยู่บนถนนจูเชวี่ยเต็มไปหมด
ราษฎรไม่สนใจว่านักโทษจะตายกี่คน ตอนนี้ภายในหนึ่งปีก็มีนักโทษตายอยู่ไม่กี่คน ต้องใช้ความพยายามหลายชั่วอายุคนหากอยากจะทำให้ถนนจูเชวี่ยเต็มไปด้วยศพ แต่หากไม่มีการเก็บภาษีนี่จึงจะถือว่าเป็นข่าวดีที่ควรแก่การเฉลิมฉลอง เมื่อก่อนในบ้านจะมีเสี่ยวเอ้อถึงสองสามคน คนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราเรียกว่าเสี่ยวเอ้อ คนที่ยังนั่งเล่นโคลนอยู่เรียกว่าเสี่ยวเอ้อ แต่ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว สามารถเรียกด้วยความมั่นใจว่าเสี่ยวซัน เสี่ยวซื่อ เสี่ยวอู่ไปตามลำดับ
มีกฎบางข้อของฉางอันที่ค่อยๆ หายไป ตั้งแต่ครั้งก่อนที่มีการออกคำสั่งห้ามออกนอกบ้านในตอนเวลากลางคืน พระราชโองการนี้คนในฉางอันได้ทำตามมาโดยตลอด แต่ขุนนางแก่ๆ เหล่านั้นดูเหมือนจะลืมธรรมเนียมปฏิบัติของกฎข้อนี้ เพราะหลังจากพระอาทิตย์ตกดินพวกเขามักจะชอบให้คนรับใช้ไปเลือกซื้อโคมไฟหลังพระอาทิตย์ตก แล้วยังชอบไปเดินเล่นย่อยอาหารที่เมืองทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
โรงละครในตรอกซิ่งฮว่าฟางมีบทเพลงใหม่เพิ่มเข้ามา ได้ยินว่าเป็นเรื่องราวของชายหญิงสองคนที่แอบคบกันจนสุดท้ายกลายเป็นผีเสื้อ คุณยายที่อายุมากแล้วไม่ชอบเรื่องนี้เป็นอย่างมาก พูดกับลูกสาวคนโตและลูกสะใภ้ที่บ้านว่านี่เป็นตอนจบที่น่าอับอาย แอบคบกันแต่สุดท้ายกลายเป็นผีเสื้อมันไม่ดีเกินไปหน่อยหรือ เหตุใดไม่กลายเป็นหมู
ไม่ว่าจะกลายเป็นผีเสื้อหรือกลายเป็นหมู นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก คุณหนูที่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ในครอบครัวให้ไปศึกษาศีลธรรมของผู้หญิงที่โรงละคร เมื่อกลับถึงบ้านต่างก็พากันร้องไห้ แล้วร้องเพลงละครด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ดูแล้วคงจะเป็นบทเรียนที่หนักพอสมควร ครั้งต่อไปเมื่อมีบทเพลงใหม่ค่อยกลับไปอีกครั้ง พี่น้องคนอื่นๆ ก็ไปด้วย เมื่อไม่เห็นสาวๆ ในบ้านก็นั่งเท้าคางมองต้นไม้ข้างนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ชิงช้าที่เมื่อก่อนเคยชอบที่สุดก็ไม่ไปนั่งแล้ว เป็นผู้หญิงควรจะสงบเสงี่ยมรอให้สามีแบกเกี้ยวให้นั่งสิ
คนที่ไม่มีโอกาสได้ซื้อบ้านที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง ตอนนี้ต้องนั่งทุบอกตัวเองด้วยความเสียใจ เมื่อดอกสาลี่บานในฤดูใบไม้ผลิ ตรอกซิ่งฮว่าฟางมักจะทำให้คนหลงใหล สายน้ำใสสะอาด หอสีแดง ดอกไม้สีขาว หญ้าเขียวขจีราวกับอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า มองไปที่ลานกว้างในบ้านของตัวเองดูเทาๆ เหมือนสถานที่โบราณ คนอื่นเพาะต้นสาลี่ บ้างก็เอาต้นโตเต็มวัยมาปลูก เมื่อดอกสาลี่ร่วงแล้วลมพัดผ่านมาก็ดูราวกับว่าหิมะกำลังตกอยู่ ที่บ้านของตัวเองมีเพียงต้นอวี๋ที่อยู่ตรงหน้าประตู เมื่อลมพัดมีเพียงแค่ใบแห้งๆ ร่วงหล่นลงมาเท่านั้น วันหนึ่งต้องทำความสะอาดอยู่หลายรอบเชียว
เมื่อเว่ยเจิงไม่มีอะไรทำก็จะชอบไปเดินเล่นที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางเสมอ เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของที่นี่ ชายร่างใหญ่ที่หน้าประตูตรอกซิ่งฮว่าฟาง เมื่อได้เจอกับเว่ยเจิงก็จะโค้งคำนับอย่างรู้งาน เป็นถึงขุนนางจะไม่คำนับได้อย่างไร ถึงแม้ว่าเขาจะชอบใส่ชุดเก่าๆ ไปเดินรอบๆ แต่ก็เพียงพอจะให้ดูสถานะออกได้เพราะเขาดูเย็นชาไม่สนใจผู้ใด
มองดูผู้คนที่แต่งตัวเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้าน เว่ยเจิงไม่สามารถจินตนาการถึงตอนที่พวกเขาเป็นคนไม่ดีได้เลย ตอนนี้พวกเขามีไม้สั้นเหน็บอยู่ที่เอว จะมาเดินดูตรอกซิ่งฮว่าฟางทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เห็นขยะตกบนพื้นก็เก็บขึ้นมา เห็นเด็กล้มก็เข้าไปช่วยประคอง ทั้งยังช่วยพยุงคนแก่ไปนั่งใต้ต้นสาลี่ที่เขาชอบ และเรื่องที่ทำให้เว่ยเจิงตกใจมากที่สุดก็คือเมื่อพวกเขาเก็บปิ่นปักผมทองได้ก็จะประกาศให้เจ้าของมารับไป
สภาพแวดล้อมสามารถเปลี่ยนคนได้ นี่คือสิ่งที่ผู้ดูแลตรอกซิ่งฮว่าฟางของตระกูลอวิ๋นบอกกับเว่ยเจิง การเก็บปิ่นปักผมส่งคืนให้เจ้าของไม่ใช่เรื่องใหญ่ เทียบกับข้าวที่กินมาทั้งชีวิต ปิ่นปักผมกลับเทียบไม่ได้เลย ค่าแรงเก้าร้อยเหรียญต่อเดือนมากพอที่จะทำให้พวกเขาเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ ได้ และมากพอที่จะทำให้พวกเขาไม่สนใจปิ่นทอง ส่วนเพื่อนไม่ดีที่เคยติดต่อกันเมื่อก่อนนั้นได้เตรียมการจะก่อเรื่องครั้งใหญ่ ตอนนี้เพื่อนเหล่านี้ถูกลงโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น ต้องนอนกินข้าวอยู่ในคุก
มีขุนนางบางคนที่ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองภูมิใจแม้แต่พ่อแม่ก็ยังดีใจไปด้วย จากเมื่อก่อนเป็นคนที่หมายังเมิน ทุกวันนี้ก็มีแม่สื่อมาที่บ้านแล้วพูดกับพ่อแม่ของพวกเขาว่าที่บ้านของตัวเองนั้นมีลูกสาวจัดการเรื่องงานบ้านงานเรือนได้ดีแค่ไหน ทั้งยังชงชาและทำกับข้าวเก่ง พ่อแม่ของเขาก็เรื่องมากติโน่นตินี่ คนไม่เอาไหนที่เมื่อก่อนไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ตอนนี้กลับรู้จักอาย เดินก้มหน้าก้มตาเข้าไปในห้องของตัวเองแอบยืนฟังอยู่หลังประตู ทำเอาพ่อแม่และแม่สื่อหัวเราะลั่น นี่คือปฏิกิริยาทั่วไปของชายที่ยังไม่เคยแต่งงาน
พิธียิ่งใหญ่ของราชสำนักกำลังจะเริ่มขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงนี้ นักปราชญ์ทั่วทุกหนแห่งจะมารวมตัวกันที่ฉางอัน เตรียมตัวเข้าร่วมการสอบของราชสำนัก การนำผลงานของตัวเองยื่นต่อราชสำนักก่อนเข้าร่วมการสอบนั้นไม่มีประโยชน์ ตอนนี้กระดาษข้อสอบถูกปิดผนึกทั้งหมด รายชื่อจะถูกปิดบัง ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครคือคนตรวจสอบคำตอบ รู้เพียงแต่ว่าผู้ดำเนินการสอบคือฝางเสวียนหลิง รองผู้ดำเนินการสอบคือจั่งซุนอู๋จี้ ที่เหลือก็ไม่รู้แล้วว่าเป็นใคร ในปีก่อนๆ ผู้คุมสอบใจกล้าจะบอกผู้เข้าสอบว่าจะทดสอบเกี่ยวกับอะไร แต่ว่าปีนี้ไม่มีใครรู้เนื่องจากข้อสอบทั้งหมดอยู่ในห้องหนังสือของฝ่าบาท ผู้คุมสอบเหล่านั้นไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถพอที่จะนำข้อสอบออกจากวังหลวงได้
พวกเขาทำไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่าหลี่ไท่กับหลี่เค่อจะทำไม่ได้ พี่น้องคู่นี้ถูกฝ่าบาทรับสั่งให้เข้าไปพบที่ห้องหนังสือ จากนั้นฝ่าบาทก็เปิดข้อสอบอย่างลับๆ ให้ลูกชายตัวเองลองทำก่อนหนึ่งฉบับ ลูกชายของตัวเองไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบ แต่เขาอยากรู้ว่าลูกชายของตัวเองอยู่ในระดับไหน จะได้คะแนนดีหรือไม่
“ในเมื่อให้เกียรติผู้อาวุโสของตัวเอง ก็ต้องเคารพผู้อาวุโสคนอื่นๆ ด้วย เมื่อเลี้ยงดูลูกของตัวเองก็ต้องดูแลลูกของคนอื่นด้วย’ ท่านพ่อโจทย์ข้อนี้ข้าทำมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ในนั้นยังมีแนวคิดของต้าถังที่ข้าเสนอแต่ถูกหลี่กังนำไปเขียนเป็นบทความเผยแพร่ในสำนักศึกษา คำถามข้อนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับข้าแล้ว ข้อนี้ก็เป็นโจทย์ ‘หานซิ่น[1]นับทหาร’ อีกแล้ว เพียงแค่เปลี่ยนอะไรเล็กน้อยเท่านั้น จากหานซิ่นเปลี่ยนเป็นคนเลี้ยงแกะ จากทหารเปลี่ยนเป็นไก่และแกะ ไม่มีการแบ่งแถว แต่มีการนับขา กลายเป็นโจทย์คล้ายกับ ‘ไก่และกระต่ายในกรงเดียวกัน’ ถึงจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิมคือไก่ห้าสิบหกตัวและแกะแปดสิบสามตัว ท่านพ่อ ท่านลองให้ลูกศิษย์ที่มีความสามารถของสำนักศึกษาไปคำนวณพื้นที่หน้าดินดู นี่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับข้าตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ตอนที่กระรอกขุดดินข้าก็ทำมันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว หากท่านเพิ่มแนวคิดเรื่องความหนาแน่นเข้าไป ข้าก็พอจะมีความสนใจอยู่บ้าง”
หลี่ซื่อหมินคิดว่าข้อสอบที่ตัวเองออกนั้นมีความยากอยู่แล้ว ได้รับการยอมรับจากฝางเสวียนหลิงและจั่งซุนอู๋จี้ คิดว่าคำถามเหล่านี้น่าจะเป็นหัวข้อที่ยากที่สุดในรอบหลายปี ใครจะไปรู้ว่าจะถูกลูกตัวเองบอกว่าง่ายเกินไป
หลี่เค่อเป็นเด็กมีมารยาท เมื่อเห็นท่านพ่อไม่สบายใจจึงรีบพูดว่า “ท่านพ่อ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งคำถามเหล่านี้ ทำไมข้อสอบถึงได้ง่ายเหลือเกิน ตำแหน่งทางการของต้าถังไร้ค่าขนาดนั้นเชียวหรือ คำถามเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเสี่ยวอั้น คนระดับอย่างพวกเขาก็เหมาะสมจะเป็นขุนนางหรือ หรือจะบอกว่าลูกศิษย์ปีสองของสำนักศึกษาก็สามารถรับราชการได้แล้ว? ท่านพ่อ ท่านควรสั่งลงโทษขุนนางที่ขาดความรับผิดชอบผู้นี้ ให้เขาออกข้อสอบใหม่” หลี่ซื่อหมินหน้าแดงด้วยความโมโห ตบไปที่ท้ายทอยของลูกชายทั้งสองคนละทีแล้วพูดออกมาเสียงดังว่า “คำถามนี้ข้าเป็นคนตั้งเอง ฝางเสวียนหลิงและลุงของเจ้าต่างก็บอกว่าเป็นข้อสอบที่ยากแล้ว แถมยังมีการประชุมอย่างเป็นทางการในภายหลัง ข้าไม่เชื่อว่าคนสำนักศึกษาจะไม่มีปัญหากับหัวข้อเหล่านี้เมื่อต้องใช้ในสถานการณ์จริง”
หลี่ไท่ลูบที่ท้ายทอยแล้วพูดอย่างน้อยใจว่า “คำถามเชิงปฏิบัติที่ท่านตั้งขึ้นมานั้นผิด ความมั่งคั่งของสถานที่ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินที่เขาจ่ายไป แต่ต้องดูรายได้ที่แท้จริงของคนในท้องถิ่นให้ครอบคลุม จำนวนวัวและแกะ ผลการผลิตเสบียงอาหาร ระดับการศึกษา ความรุ่งเรืองของกิจการ มีการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านอุตสาหกรรมหรือไม่ ปริมาณของคนที่หลั่งไหลเข้ามามีเท่าไหร่ อัตราการเติบโตของประชากร พิจารณาอัตราการรอดชีวิตของทารกแรกเกิด และสุดท้ายจึงจะมีการเสียภาษี ความมั่งคั่งคือการพัฒนาโดยรวม ไม่เพียงแค่ขออาหารจากประชาชนเท่านั้น เมื่อประชากรมีความมั่งคั่งแล้ว ต้าถังก็จะมั่งคั่งไปด้วย ดังนั้นคำถามของท่านนั้นผิด อย่างน้อยก็ยังมีความไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง”
หลี่ซื่อหมินนั่งลงบนเก้าอี้ มองลูกชายทั้งสองแล้วพูดว่า “สำนักศึกษาสอนอะไรพวกเจ้ากันแน่”
…………………………………..
[1] หานซิ่น เป็นขุนศึกซึ่งรับใช้หลิวปังในช่วงสงครามฉู่–ฮั่น และมีส่วนสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น