[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 2 แหล่งรวมพลคนไม่ดี

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

คนที่ไม่เชื่อในความโชคร้ายอย่างหลี่ซื่อหมินได้เรียกตัวหลี่โย่วและหลี่อั้นกลับจากสำนักศึกษาในตอนกลางคืน ให้พวกเขาเขียนตอบคำถามพวกนี้ต่อหน้าตัวเอง ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ้ย และจั่งซุนอู๋จี้ ไม่ได้บอกว่าเป็นคำถามที่ใช้ในการสอบ บอกเพียงแค่ว่าอยากจะทดสอบการบ้านสำนักศึกษาของลูกชาย

 

หลังจากชายหนุ่มหน้าบึ้งทั้งสองเปิดกระดาษก็ดูใจเย็นลง สองพี่น้องมองหน้ากัน ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนมองเห็นความสุขในสายตาของพวกเขาอย่างชัดเจน หลี่ซื่อหมินถอนหายใจ ชิงเชวี่ยพูดไว้ไม่มีผิด เกรงว่าคำถามเหล่านี้จะง่ายดายเกินไปสำหรับพวกเขา

 

เป็นอย่างที่คิดไว้ แค่ครึ่งชั่วโมงก็ทำข้อสอบเสร็จแล้ว หลี่อั้นยังคงไม่วางใจกับคำถามข้อสุดท้าย คิดว่าการให้ความสำคัญกับภาษีเพียงอย่างเดียวเป็นการขาดความรับผิดชอบต่อราษฎรในต้าถัง หลี่โย่วได้เขียนสิ่งที่ทางการควรทำใหม่ทั้งหมด พูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่านี่เป็นเพียงความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ของตนเอง

 

ฮ่องเต้และขุนนางทั้งสี่คนนั่งนิ่งเงียบในแสงมืดสลัวไม่พูดอะไร หลี่อั้นและหลี่โย่วรับรางวัลจากท่านพ่ออย่างมีความสุข จากนั้นก็ไปเยี่ยมแม่ของตัวเองที่วังหลัง

 

มองดูลูกชายทั้งสองคนเดินออกนอกประตูไปไกล หลี่ซื่อหมินพูดขึ้นมาว่า “นี่คือลูกชายสองคนที่ดื้อรั้นที่สุดของข้า เสวียนหลิง เค่อหมิง อู๋จี้ พวกเจ้าดูหลี่โย่วและหลี่อั้นสิ ถึงแม้ว่าคำตอบของพวกเขาทั้งสองคนจะดูไม่เป็นผู้ใหญ่นัก แต่กลับถูกหลักการ วิชาอื่นอย่างคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ก็ไม่เลวเลยทีเดียว ชิงเชวี่ย เด็กสองคนนี้คงคิดว่าการตั้งคำถามแบบนี้เป็นการดูถูกพวกเขา เสวียนหลิง ลูกชายคนเล็กสุดที่รักของเจ้าก็อยู่ในสำนักศึกษาเหมือนกันไม่ใช่หรือ คำถามเหล่านี้คงไม่ยากสำหรับเขา เค่อหมิง ข้าได้ยินว่าคะแนนของตู้เหอในสำนักศึกษาดีกว่าลูกชายของข้าทั้งสองคนเสียอีก อู๋จี้ เหล่าซื่อและเหล่าอู่ของเจ้าก็อยู่ในสำนักศึกษา พวกเขาคงจะคิดว่าพวกเราออกข้อสอบง่ายไป ให้ถือว่าข้อสอบพวกนี้เป็นโมฆะไปแล้วกัน ข้าไม่ต้องการให้เด็กอายุสิบสามสิบสี่ปีแห่เข้ามารับราชการในราชสำนัก”

 

“ฝ่าบาท ท่านลองให้บัณฑิตที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นลองทำดูจะได้รู้ว่าวิชาความรู้ของสำนักศึกษาแตกต่างจากของที่อื่นอย่างไร จากนั้นพวกเราค่อยคิดเกี่ยวกับมาตรการรับมือ ขุนนางทุกคนก็เอาข้อสอบกลับไปด้วย หาคนมาทำเยอะๆ แล้วรอดูผล”

 

ฝางเสวียนหลิงมองปัญหาออกทันที ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาใช้ความเข้าใจในการเก็บเกี่ยวความรู้ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และภูมิศาสตร์ แต่ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีนโยบายดั้งเดิมอย่างภาษาโบราณ การพาดพิงคำพูด และบทกวียังถือว่าอยู่ในความคาดหมาย ไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่ครั้งนี้ฮ่องเต้เน้นเรื่องการนำความรู้ไปใช้งานจริง ลดคำถามเกี่ยวกับความรู้ดั้งเดิมเหล่านั้น ทำให้ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาทำบททดสอบได้อย่างสบายๆ และแน่นอนว่าเจ้าคนกะล่อนอย่างหลี่ไท่ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าเหล่าฝางชื่นชมในนโยบายของเขา

 

หลี่ซื่อหมินกลับไปที่ห้องนอนอย่างเป็นกังวล ไม่คิดจะไปตำหนักของสนมคนอื่นๆ เขาเดินตรงมาที่ตำหนักของฮองเฮา จั่งซุนกำลังกล่อมลูกสาวเข้านอน หลี่ซื่อหมินมาเห็นจึงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วจิบชา รอให้ลูกน้อยนอนหลับไปก่อนแล้วค่อยพูดคุยกับจั่งซุน

 

ลูกน้อยนอนหลับไปแล้ว จั่งซุนอุ้มนางไปไว้ในเปล สั่งให้แม่นมดูแลอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ไปที่ห้องโถงด้านหน้า หยิบขนมจากห้องครัวมาวางไว้บนโต๊ะ

 

“หลี่ซื่อหมิน กินเสียหน่อยสิ ขนมพวกนี้ไม่ได้ใส่น้ำตาล อาจารย์ซุนให้เจ้ากินอาหารที่มีน้ำตาลให้น้อยลง”

 

“ข้าไม่มีอารมณ์กินอะไรทั้งนั้น หลี่อั้นและหลี่โย่วลูกชายทั้งสองของข้าแก้ปัญหาที่ข้าตั้งขึ้นมาได้ทุกข้อ หากเขาทั้งสองเข้าร่วมการสอบครั้งนี้จะต้องสอบผ่านได้อย่างแน่นอน”

 

จั่งซุนมองไปที่หลี่ซื่อหมินด้วยความประหลาดใจ นางไม่อยากจะเชื่อว่านิสัยอย่างเด็กชายสองคนนั้นจะสามารถแก้ปัญหาที่สามีตั้งขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าความประหลาดใจได้หายไปทันที นางยิ้มแล้วพูดว่า “คนมักพูดว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ลูกชายของท่านแก้โจทย์ของท่านได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อลูกมีพัฒนาการที่ดีท่านควรจะดีใจเหตุใดจึงขมวดคิ้ว”

 

“การสอนของสำนักศึกษาในสองปีนี้ คุ้มค่ากับการทำงานมาตลอดสิบปีของข้า ตอนนี้เจ้ายังได้ยินว่าหลี่โย่วและหลี่อั้นทำตัวเละเทะอยู่หรือไม่ เมื่อก่อนพวกเขาเคยทำผิดพลาดมามาก แต่ว่าตอนนี้เมื่อกลับมาในวัง หากไม่ไปดูแลแม่ของเขาก็จะไปเดินเล่นอยู่ในฉางอัน เหล่าอาจารย์ในวังที่ได้ทดสอบความรู้ของพวกเขาต่างก็ต้องมองพวกเขาในมุมใหม่ จะเห็นได้ว่าการอบรมสั่งสอนในราชวงศ์นั้นยังคงมีปัญหาอยู่มาก”

 

“ฝ่าบาทกำลังตำหนิหม่อมฉันที่อบรมสั่งสอนเด็กๆ ได้ไม่ดี” จั่งซุนก็สับสนเล็กน้อยเช่นกัน หลี่โย่วและหลี่อั้นเปลี่ยนไปมากมายเหลือเกิน ความหยิ่งผยอง โหดเหี้ยม ร้ายกาจ หลงระเริงในความสวยความงาม สิ่งเหล่านี้กลับไม่มีในตัวพวกเขาอีกแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ขอโทษนางในและขันทีที่เคยรังแกมาก่อน แต่ว่าก็ให้เงินพวกเขามากมายเป็นการชดเชย ตอนนี้หากเด็กทั้งสองคนนี้ไม่มีชื่อเสียงด้านความชั่วร้ายเหมือนเมื่อก่อนก็จะไม่มีใครมองเด็กชายที่สุภาพทั้งสองในด้านร้ายได้อีก เพราะเหตุนี้สนมยินจึงได้กินเจหนึ่งปีเพื่อขอบคุณพระโพธิสัตว์

 

“ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้า แม้แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ ในตอนแรกที่อวิ๋นเยี่ยบอกว่าให้ส่งพวกเขาไปที่สำนักศึกษา พวกเราก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่แปลกแต่ก็ไม่ควรถาม จากนั้นก็มีเรื่องที่ว่าอวิ๋นเยี่ยได้เปลี่ยนหัวใจของหลี่โย่วเกิดขึ้น หลี่อั้นถูกมัดไว้กับเสา อ้างว่าเห็นอวิ๋นเยี่ยแหกอกของหลี่โย่วด้วยตาของเขาเอง ควักหัวใจออกมาแล้วใส่หัวใจของแกะให้เขาแทน แม้ว่าหลิวเซี่ยนจะอธิบายอย่างละเอียดถึงสาเหตุและผลที่ตามมาให้ข้าฟัง แต่ว่าข้าก็ยังไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง เหตุใดจึงมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเช่นนี้

 

อวิ๋นเยี่ยบอกว่าเขาอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีมาเป็นเวลานาน จนกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่นั่นไปแล้ว เขาใช้คำเหล่านี้เพื่อเอาชนะข้า ตอนนี้มาคิดๆดู แล้วเหมือนว่าเขากำลังด่าข้า เพราะว่ามีประโยคก่อนหน้านั้นก็คือ ‘เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี อยู่นานไปก็จะเริ่มกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม’ ไอ้เจ้านี่กล้าบอกว่าวังหลวงคือแหล่งรวมพลคนไม่ดี รอให้เจ้ากลับมา ข้าจะขังเจ้าไว้กับคนพวกนี้ซะ โจมตีผู้ที่มีสายเลือดกษัตริย์อย่างไรก็มีโทษติดตัวอยู่แล้ว ซุนผินก็เอาแต่ร้องไห้จนน่ารำคาญ เช่นนั้นก็ดี จะได้ให้หลี่หยวนชังได้สมใจเสียหน่อย”

 

“ฝ่าบาท เกรงว่าจะไม่เหมาะสม อวิ๋นเยี่ยต้องลําบากตรากตรํามากในครั้งนี้ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อนำเสบียงและสมบัติมาให้ท่าน ถือว่ามีความดีความชอบต่อประเทศชาติ พอเขากลับมาท่านก็จะลงโทษ ข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”

 

“จริงอยู่ที่ว่าดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง เช่นนั้นก็รอให้เขาทำผิดครั้งต่อไปค่อยลงโทษไปเลยทีเดียวแล้วกัน อย่างไรเขาก็มักจะทำผิดอยู่แล้ว หากข้าอยากจะถือหางเขาไว้นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เหอะๆๆ”

 

ตอนที่หลี่ซื่อหมินกำลังพูดคำพูดเหล่านี้ อวิ๋นเยี่ยกำลังนั่งอยู่บนเรือใช้ตะเกียบคีบปลาเตรียมจะต้มปลา มีน้ำมันสีแดงลอยอยู่ในหม้อ พริกสีเขียวเสียบไม้ส่งกลิ่นหอม เนื้อปลาสีขาวถูกพลิกไปมาอยู่ในหม้อ หงเฉิงคาบตะเกียบไว้ในปากรอเวลาปลาสุก

 

“หากเจ้ากล้าเอาตะเกียบที่คาบอยู่จุ่มเข้าไปในหม้อ ข้าจะเอาหม้อครอบหัวเจ้า” อวิ๋นเยี่ยเตือนหงเฉิงอย่างจริงจัง คนอย่างหงเฉิงเวลากินข้าวมักจะกินอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ห่วงเรื่องมารยาท ส่วนเหอจงอู่นั้นกินข้าวด้วยท่าทีที่สง่างาม จัดวางจานชามเป็นระเบียบตามคำสอนของอวิ๋นเยี่ย อู๋เสอก็นั่งตัวตรง ข้างหน้ามีตะเกียบสองคู่วางอยู่เตรียมพร้อมที่จะกินได้ตลอดเวลา

 

อาหารสุกแล้ว อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะกินไปชิ้นเดียว อู๋เสอก็ตักใส่ชามตัวเองจนเต็ม หงเฉิงเองก็ไม่พลาด ซดน้ำซุปร้อนจนหุบปากไม่ได้ แม้แต่เหอจงอู่ก็ตักเนื้อปลาชิ้นใหญ่มาสองชิ้น

 

ในหม้อไม่เหลืออะไรแล้ว จึงต้องเทเนื้อปลาถาดใหม่เพื่อเตรียมต้มหม้อต่อไป

 

“ท่านโหว นี่คืออาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตข้า พวกเราชาวกวนจงแต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบกินปลา กินเนื้อวัวเนื้อแกะจนชินแล้ว กินของอะไรพวกนี้ไม่เป็นจึงทำให้พลาดอาหารรสดีเช่นนี้ ช่างหน้าเสียดายจริงๆ” พูดจบก็คีบเนื้อในชามตัวเองขึ้นมากิน

 

“กลับบ้านครั้งนี้จะไม่ออกไปไหนแล้ว แทบจะวิ่งเป็นวงกลมรอบชายแดนต้าถังอยู่แล้ว คนอื่นๆ ได้เที่ยวชมภูเขาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียงพร้อมกับแต่งบทกวี มีเพียงข้าที่ต้องไปแต่ในที่ที่โชคร้าย ไม่เคยได้ไปสถานที่ดีๆ ในกวนจงเลย น่าเสียดายจริงๆ ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านก็จะนอนให้เต็มอิ่มเสียก่อน จากนั้นก็จะใช้เวลาอยู่กับภรรยาและลูกๆ ที่บ้าน ภรรยารองของข้ากำลังจะคลอดแล้ว แต่ในเวลานี้ข้ายังคงล่องอยู่ในแม่น้ำ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ ผู้คนต้องการอะไรในชีวิตกันล่ะ แล้วเมื่อไหร่จึงจะพอใจได้ แต่ข้าพอใจแล้ว ข้ามีตำแหน่งหน้าที่การงาน ข้ามีภรรยา ข้าทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อต้าถังแล้ว ดังนั้นข้าวางแผนไว้ว่าจะเกษียณตอนอายุสามสิบปีเพื่อจะได้มีเวลาใช้ชีวิตของตัวเอง อู๋เสอเจ้าก็อายุมากแล้ว ข้าว่าเจ้าควรจะทำผลงานที่เยี่ยมยอดในครั้งนี้ จากนั้นก็ไปอยู่กับข้าที่เขาฉินหลิ่ง ใช้ชีวิตนี้ไปด้วยกัน เวลาตายจะได้ไม่ต้องคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตยังไม่คุ้มค่า”

 

“คำพูดของอวิ๋นโหวช่างสมเหตุสมผล ข้าจะกลับไปทูลขอฝ่าบาท หวังว่าจะได้รับอนุญาต ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ทำให้ข้าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในป่ามากขึ้นเรื่อยๆ ข้าอยากตกปลา เลี้ยงนก เล่นหมากรุก สิ่งที่คนแก่เขาทำกันข้ากลับไม่รู้อะไรสักอย่างเลย พออายุมากแล้วพึ่งจะได้เริ่มใช้ชีวิตจริงๆ ชีวิตที่ผ่านมาช่างน่าเบื่อเหลือเกิน”

 

ได้ยินอู๋เสอพูดอวิ๋นเยี่ยก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นก็คีบเนื้อปลาขึ้นมาใส่ชาม มองไปที่เหอจงอู่ที่ทำหน้าอึดอัดใจแล้วพูดว่า “เจ้าต้องการเติบโตในหน้าที่การงาน นี่ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เจ้าจะทำท่าทางอึดอัดทำไม เจ้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับภูเขาและแม่น้ำของแคว้นวอ และตอนนี้เป็นช่วงที่ราชสำนักต้องการให้เจ้าทำงานหนัก แคว้นวอนี้พิเศษมาก เจ้าต้องคอยระมัดระวังการเคลื่อนไหวของพวกเขา ตอนนี้ที่พวกเขาแสดงความนอบน้อมก็เพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับก่อการใหญ่ในอนาคต ถึงแม้ว่าอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย แต่ว่าจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด พวกเราสามคนได้ผ่านประสบการณ์มามากมาย ข้าก็แค่อยากจะใช้ชีวิตนี้ให้ผ่านไปอย่างสบายๆ เท่านั้น หากเจ้าไม่ต้องการก็พยายามต่อไปเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายของเจ้า”

 

เหอจงอู่ยกมือขึ้นคำนับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ อู๋เสอมองไปที่ริมแม่น้ำแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “หลู่อ๋องดูเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้ มีทหารของเขาคอยติดตามเราอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เจ้าต้องการจะจัดการพวกเขาหรือไม่”

 

หงเฉิงหัวเราะแล้วพูดว่า “จะดีมากหากหลู่อ๋องสามารถตีเรือของพวกเราได้ เช่นนั้นพวกเราก็จะสามารถทุบเขาให้ไม่เหลือแม้แต่กระดูกได้เลย เพียงแต่ว่าคนขี้ขลาดอย่างเขาคงอยากแต่จะฟ้องร้องอย่างเดียวจึงได้จับตาดูพวกเรา”

 

“พวกเขาอยู่ที่ไหน ทำไมข้าไม่เห็น ทหารที่เฝ้าบนเสาเรือก็ไม่เห็นเช่นกัน”

 

“เป็นเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาเท่านั้น หากท่านโหวอยากเห็นก็คงไม่ง่ายเท่าไหร่ รอดูข้าก็แล้วกัน” อู๋เสอเดินไปที่หัวเรือ ถือหน้าไม้ที่ใส่ลูกศรไว้แล้ววางบนไหล่ของตัวเอง เล็งไปที่ริมฝั่งแม่น้ำที่มืดและเงียบสงบแล้วยิงหน้าไม้ออกไป พึ่งจะปล่อยหน้าไม้ออกไปก็มีเสียงกรีดร้องจากริมฝั่งแม่น้ำและมีเสียงการเคลื่อนไหวดังขึ้น

 

อู๋เสอฟังอยู่สักพัก วางหน้าไม้ลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “แมลงวันพวกนั้นบินหนีไปแล้ว หนึ่งในนั้นถูกข้ายิงเข้าที่หน้าอก คาดว่าคงจะไม่รอด มีกองทัพขนาดใหญ่อยู่ที่นี่ก็ยังกล้ามาสอดแนม คงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”

 

…………………………………….