สีหน้าของอาจารย์หวงที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เริ่นจื่อหลิงที่เหมือนได้ยินคนพล่ามคำศัพท์ในตำราให้ฟังอดถามไม่ได้ว่า “นั่นคืออะไรน่ะ อาจารย์ คุณดูชัดแล้วหรือยัง อะไรคือดวงชะตาโดดเดี่ยว แล้วอะไรคือดวงฮ่องเต้…อะไรกัน คุณพูดว่าเจ้าลูกคนนี้ของฉันมีดวงฮ่องเต้น่ะฉันรับได้ แต่ดวงชะตาโดดเดี่ยวฉันไม่จ่ายนะ”
“รออีกครู่” อาจารย์หวงส่ายหน้า
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็หยิบกล่องเล็กที่ประณีตมากออกมาจากเสื้อผ้า…เริ่นจื่อหลิงที่เดิมคิดว่ามันเป็นของมีค่าอะไรกลับแปลกใจเมื่อพบว่าในนั้นบรรจุ…ยาหยอดตา
อาจารย์หวงเอายาหยอดตาออกมาและก็หยดใส่ตาของตนเองโดยไม่สนใจอะไร
เขากะพริบตาอย่างรุนแรงและลูบไปมา จากนั้นก็ทำเหมือนก่อนหน้านี้ ปิดดวงตาข้างหนึ่งและมองไปที่เจ้าของสมาคมลั่วอีกครั้ง
ครั้งนี้ดูโหงวเฮ้ง
“อืม…ผมตก หน้าผากแคบ…เป็นดวงคนจนที่ทำอะไรไม่สำเร็จ”
อาจารย์หวงพึมพำและก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “ไม่ถูกต้อง แนวคิ้วสวย ชัดเจนไม่ยุ่ง เรียวยาว เหมือนกับดวงคนรวย…ยังไม่ถูก ไม่ถูกๆ ไม่ถูก ไม่ถูก ดวงคนธรรมดาที่รวบรวมใบหน้าของทุกคน รองรับได้ทุกสิ่งทุกอย่าง…ไม่ถูกๆ จะเป็นไปได้ยังไง”
อาจารย์หวงลูบดวงตาของตนเองอย่างรุนแรง ยิ่งมองดูลั่วชิวก็ยิ่งขมวดคิ้ว และพูดอะไรที่คนฟังไม่รู้เรื่องออกมา
ตอนหนึ่งก็เป็นอะไรเกี่ยวกับดวงชะตาคนรวย ตอนหนึ่งก็บอกอะไรหลายสิบปีจะมีโชคใหญ่ ตอนหนึ่งก็ว่าจะเศร้าและหดหู่…ยิ่งฟังเริ่นจื่อหลิงก็ยิ่งสงสัย เจ้าเฒ่าคนนี้ดูดวงได้จริงหรือเปล่า คงไม่ใช่พวกต้มตุ๋นหรอกนะ
“ผมรู้แล้ว ว่าทำไมโครงหน้าของคุณถึงแปลกประหลาดแบบนี้” อาจารย์หวงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้ง “คุณ…”
เริ่นจื่อหลิงเคร่งเครียดขึ้นมา ยกน้ำชาขึ้นมาจิบโดยไม่รู้ตัว
ส่วนลั่วชิวยังคงเป็นปกติ…ส่วนคุณหนูสาวใช้กลับมองมาที่อาจารย์หวงผู้นี้
“คุณ…” อาจารย์หวงสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “ผมไม่เคยเจอโครงหน้าที่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือ…คุณทำศัลกรรมมา”
พรวด!
…
แม่สื่อเริ่นได้ฟังแล้วก็ทนไม่ไหวจนไอออกมา ดีที่ไม่มีน้ำถูกพ่นออกมาด้วย แต่ก็ไออย่างทรมานไปหลายครั้ง แต่ขณะเดียวกันเธอก็ชี้ไปที่อาจารย์หวงผู้นั้น
แต่เธอคิดว่าเธอควรจะพ่นน้ำใส่หน้าเจ้าเฒ่าคนนี้ด้วยถึงจะถูก
“แค่กๆ แค่ก…ฉันดูออกแล้ว…” เริ่นจื่อหลิงกลืนน้ำลงไปและด่า “ตาเฒ่าต้มตุ๋น ฉันบอกนายไว้เลยนะว่าถ้าเจ้าเด็กนี่เคยทำศัลกรรมมาละก็ ชื่อของฉันคงเขียนกลับด้านแล้ว”
“ไม่ได้ทำศัลกรรมเหรอ” อาจารย์หวงชะงัก อ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว
แต่เริ่นจื่อหลิงรู้สึกรังเกียจพวกหลอกลวงแบบนี้มาโดยตลอด…ถ้าไม่ใช่เพราะได้ฟังสัมภาษณ์ของนักธุรกิจผู้ร่ำรวยคนหนึ่งทั้งยังได้คำรับรองแล้ว วันนี้เธอคงไม่ลากลั่วชิวมา
“ขี้เกียจพูดกับนายแล้ว”
เริ่นจื่อหลิงสบถ ตบธนบัตรใบหนึ่งลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ใช้มือหนึ่งลากลั่วชิว มือหนึ่งลากโยวเย่ “พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปฟังตาเฒ่าต้มตุ๋นพล่ามอยู่ที่นี่เลย…แม่ง ฉันถูกหลอกเข้าให้แล้ว เชื่อเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน ไม่ได้แล้ว…กลับไปฉันจะต้องเขียนคอลัมน์ เขียนคอลัมน์ตาเฒ่าต้มตุ๋น หลอกลวง”
แต่อาจารย์หวงกลับนิ่งมองเริ่นจื่อหลิงลากคนจากไป เพียงขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก พึมพำว่า “ไม่ได้ทำศัลกรรม…จะเป็นไปได้ยังไง ไม่ได้ทำศัลกรรม ไม่ได้ทำศัลกรรม…”
เหล่าหวงรีบล้วงเอากระดาษสีแดงใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ นี่คือวันเกิดของพ่อหนุ่มคนนั้นที่เริ่นจื่อหลิงมอบให้เขา
เหล่าหวงมองวันเกิดและยกนิ้วเริ่มคำนวน…นิ้วมือของเขาขยับเร็วขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานหัวก็มีเหงื่อซึมเต็มไปหมด
แต่เขากลับคำนวณเหมือนคนบ้า
ทันใดนั้นเหล่าหวงก็ลืมตาขึ้นมา พูดว่า “ชะตาชีวิตนี้…ควรตายไปตั้งนานแล้วนี่”
พูดแล้วเหล่าหวงก็กระอักเลือดออกมา หัวฟาดลงบนโต๊ะ สลบไปอย่างนั้น
…
…
อ๊าก
รองบรรณาธิการเริ่นเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า เหมือนสุนัขยามพ่ายแพ้ ไม่สามารถยืดเอวขึ้นมาได้ พูดอย่างเศร้าใจว่า “ฉันเชื่อเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน ฉันกลับเชื่อเรื่องแบบนี้ได้”
ลั่วชิวที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าเริ่นจื่อหลิงน่าจะผิดหวังพอสมควรแล้ว จึงพูดว่า “ในเมื่อไม่ได้กินข้าวแล้ว งั้นผมไปแล้วนะ ดูท่าทางของคุณแล้วคงแอบออกมา กลับไปทำงานเถอะ”
เริ่นจื่อหลิงยิ้มอย่างกระดากใจ ปิดไม่มิดจริงๆ
ทันใดนั้นเธอก็พูดว่า “ใช่แล้ว อีกเดี๋ยวพวกนายจะไปไหน ไปเดตเหรอ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ฉันมีที่ดีๆ ที่หนึ่งที่ไปได้”
“คุณ…” ลั่วชิวขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ดีในใจ “คุณยังมีแผนการอะไรอีก”
“อา ฮ่าๆๆ ไม่มี” เริ่นจื่อหลิงหัวเราะ “ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไร แค่ไม่นานก่อนหน้านี้มีนักธุรกิจคนหนึ่งส่งบัตรเข้าชมมาให้ฉันชุดหนึ่ง ใกล้จะหมดอายุแล้ว ฉันว่าถ้าไม่ใช้ก็น่าเสียดาย”
“คุณหนูเริ่น เป็นบัตรเข้าชมอะไรเหรอคะ” โยวเย่ยิ้มถาม
“เป็นอะไรที่ผู้หญิงทุกคนชอบ…” เริ่นจื่อหลิงล้วงตั๋วใบหนึ่งออกมา จากนั้นก็ทำท่าทางเหมือนผู้หญิงขายแตง “แต่นแตนแต๊น บัตรเข้าชมของร้านชุดแต่งงาน”
เจ้าของสมาคมลั่วขมวดคิ้ว พูดขึ้นในทันใดว่า “ร้านชุดแต่งงานที่คุณพูดถึง คงไม่ใช่…ร้านนี้นะ”
ลั่วชิวชี้นิ้วออกไปที่ร้านชุดแต่งงานหน้าถนน
เริ่นจื่อหลิงมองที่อยู่บนบัตรด้วยความประหลาดใจ พูดว่า “เอ๋ จริงด้วย บังเอิญจริงๆ ฉันไม่รู้เลย อา ฮ่าๆๆ ที่แท้ก็ใกล้ขนาดนี้ มาๆๆ ต้องไปให้ได้ มาๆๆ”
ไม่รอปฏิกิริยาจากทั้งสองคน รองบรรณาธิการเริ่นก็ยื่นมือทั้งสองออกไปจับและวิ่งข้ามถนนไป
เจ้าของสมาคมลั่ว…ลั่วชิว พยายามแสดงสีหน้าให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
…
คู่รักคู่หนึ่งเดินแนบชิดกันมาผ่านใต้ต้นไทรที่แขวนป้ายขอพรมากมาย เด็กสาวพูดขึ้นในทันใดว่า “นายดู คนพวกนั้น ตลกจริงๆ”
ชายหนุ่มมอกไป เห็นผู้หญิงคนหนึ่งลากผู้หญิงกับผู้ชายพุ่งเข้าไปยังร้านชุดแต่งงานตรงข้าม…มีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ
ชายหนุ่มส่ายหน้า เงยหน้ามองต้นไทรบนหัว คนในละแวกใกล้เคียงไม่เรียกมันว่าต้นไทร แต่เรียกว่าต้นไม้แห่งความปรารถนา
‘สวี่เจียอี้ ฉันจะอยู่กับเธอตลอดไป’
ผู้ชายคนนั้นคิดถึงคำพูดเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้อายุยังน้อย เขาสิบเจ็ด เธอก็สิบเจ็ด เขากับเธอเคยมาที่นี่
เขาโยนป้ายเขียนความหวังขึ้นไปบนต้นไม้ เขากับเธอเรียนจบพร้อมกัน สอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน วางแผนอนาคตในฝันร่วมกัน
“เซวียเซ่า นายคิดอะไรอยู่ ได้ยินที่ฉันพูดไหม” หญิงสาวเขย่าแฟนหนุ่มของตนเอง เอียงศีรษะ เบะปาก ดูเหมือนจะโมโหเล็กน้อยแล้ว
ชายหนุ่ม…เซวียเซ่าได้สติกลับมา “อา เธอพูดว่าอะไรนะ ขอโทษด้วย เมื่อกี้ฉันคิดอะไรอยู่นิดหน่อย”
“คิดอะไรถึงใจลอยขนาดนั้น” หญิงสาวซักไซ้
เซวียเซ่ายิ้มยื่นมือออกไปลูบหัวของหญิงสาว “ฉันคิดว่าเมื่อไหร่พวกเราจะมาขอพรที่นี่บ้าง ได้ยินมาว่าศักดิ์สิทธิ์มาก”
หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่เอา คนเขาบอกกันว่าต้นไม้นี้เป็นต้นไม้แยกทาง คู่ที่มาขอพรที่นี่ล้วนแต่มีจุดจบที่ไม่ดี”
“งั้นก็แล้วไปเถอะ” เซวียเซ่ายิ้ม “ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้เธอพูดอะไรนะ”
หญิงสาวพูดว่า “ฉันพูดว่า วันนี้พวกเราไปดูหน่อยไหมว่าชุดแต่งงานของพวกเราทำถึงไหนแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องต้องจัดการ ทั้งงานเลี้ยงอาหารค่ำ บัตรเชิญ พวกนี้ล้วนแต่ต้องเตรียมให้พร้อม ผ่านไปอีกหน่อยจะไม่มีเวลาว่างแล้ว”
“แล้วแต่เธอเลย” เซวียเซ่าหัวเราะ
หญิงสาวคนนี้ดีมาก ดีมากจริงๆ ดีทุกอย่าง เซวียเซ่าพยักหน้า จูงมือหญิงสาวขึ้นมา โอบเธอค่อยๆ เดินข้ามถนน เข้าไปยังร้านขายชุดแต่งงาน
เขาคิดว่าเขาไม่ควรระลึกถึงต้นไม้แห่งความปรารถนาต้นนั้นแล้ว
และก็ไม่ควรระลึกถึงเรื่องป้ายขอพรนั่นอีก
ยิ่งไม่ควรระลึกถึงหญิงสาวที่เป็นเหมือนกับสีขาวบริสุทธ์ในความทรงจำคนนั้นอีก
วันเวลาผ่านมาตั้งนานแล้ว ใครจะกล้าคิดถึงไม่รู้ลืมอีก