บทที่ 6 ยกระดับความเข้าใจ
ปีศาจทมิฬที่ก่อนหน้าเพิ่งจะคำรามลั่นไปพลันเห็นกลุ่มคนทั้งหลายแล้วอึ้งไป
ด้วยมันถูกสร้างขึ้นจากความมืด ปีศาจทมิฬจึงประเมินกำลังของอีกฝ่ายได้
ในสายตามัน กำลังของคนเหล่านี้เหมือนไฟที่สว่างโชติช่วงไปทั้งท้องฟ้ายามราตรี
ในตอนนี้พวกมนุษย์ถูกล้อมรอบไปด้วยกำลังแกร่งที่เผาไหม้ดั่งกองฟืนสูง ไม่สิ เหมือนขุนเขาเพลิงมากกว่า
เวรแล้ว ! ทำไมมันมาเจอกับฝูงมนุษย์สุดแกร่งได้กัน ?!
ติดกับเสียแล้ว !
ปีศาจทมิฬรู้ทันทีว่าตนตกที่นั่งลำบาก
มันหันกายคิดหนี แต่ก็สายไปแล้ว
การต่อสู้ต่อจากนั้นนับเป็นการสังหารฝ่ายเดียว
พริบตานั้น ปีศาจทมิฬก็ถูกกระชากร่าง จากนั้นดูดกลืนโดยซูเฉินในรูปสสารต้นกำเนิด
“สำเร็จ !” ซูเฉินหัวเราะพลางโยนสสารต้นกำเนิดที่รวมไว้ในมือไปทางจวินโม่เสีย “จากนี้ไป ประตูแห่งความมืดนี่จะเริ่มกักเก็บสสารต้นกำเนิดแห่งความมืด ข้าสอนท่านสร้างเครื่องมือนำพลังแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่ท่าน”
นี่คืออีกหนทางที่ซูเฉินได้มาจากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด
ในเมื่อตั้งนิกายไร้ขอบเขตได้แล้ว ซูเฉินก็ต้องพยายามหาทางเพิ่มอำนาจให้นิกายตน นอกจากทรัพยากรการบ่มเพาะพลังแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือวิชาบ่มเพาะ
แม้วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์จะเยี่ยมยอด แต่มีเพียงมันก็ไม่เพียงพอ
โทเทมโลหิตสลายมีประโยชน์ต่อตัวบุคคลที่มีพื้นฐานพลังต่ำ ดังนั้นซูเฉินจึงเลือกใช้เครื่องมือนำพลัง
โชคร้ายที่ซูเฉินมีเครื่องมือนำพลังที่ประสบผลสำเร็จเพียงชิ้นเดียวอย่างถุงมือเพลิงเงา และสสารต้นกำเนิดแห่งความมืดหาได้ยาก ดังนั้นซูเฉินจึงใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดแก้ปัญหา จากนั้นก็ใช้ค่ายกลเรียกประตูแห่งความมืด พาเอาปีศาจทมิฬออกมาฆ่า
มีเพียงเขาที่มีผลึกวิญญาณถึงจะมองค่ายกลแวบเดียวแล้วจำได้ คนอื่นเห็นร้อยครั้งก็อาจจำไม่ได้
มีค่ายกลประตูแห่งความมืดแล้ว ซูเฉินจึงได้คำตอบง่าย ๆ จากการใช้เครื่องสังเวยต่ำ
สิ่งนี้ยังยืนยันถึงการคาดเดาอีกประการหนึ่งที่เขามีเกี่ยวกับการใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด
อยู่ในมือคนถูกคนก็เป็นเครื่องมือวิเศษ แต่หากผิดคนก็ไร้ค่า
หลังจากปล่อยวิธีการสร้างเครื่องมือนำพลังไปแล้ว ซูเฉินจึงจารึกวิชาจิตหงส์เพลิงบนกำแพงถ้ำแห่งหนึ่งในเขตแดนนิกายไร้ขอบเขต
วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์เป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนที่เข้ามาในนิกายได้รับ
นอกจากนี้ยังจะได้รับเครื่องมือนำพลังเป็นรางวัลหลังจากที่พวกเขาได้ทำงานช่วยสร้างนิกายแล้ว
วิชาจิตหงส์เพลิงเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญพลังขั้นสูงจึงจะฝึกได้
หากอยากแกร่ง นี่ก็เป็นสิ่งที่ศิษย์ในนิกายต้องทำ หากใจดีเกินควร มอบให้ทุกคนที่เขานิกายมาแต่แรก สุดท้ายก็จะเกิดการล่มสลายรวดเร็ว
ซูเฉินไม่มีวิชาจะมอบให้มากมาย แต่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดและผลึกวิญญาณของเขาต่อไปยังเป็นประโยชน์ ซูเฉินยังสามารถพัฒนาวิชาลับอีกมากมายขึ้นได้ จากนั้นก็ส่งต่อมันผ่านนิกายไร้ขอบเขต ส่วนคนที่พัฒนาวิชาขึ้นมาได้เช่นกันหรือมีวิชาชั้นยอดในมือก็สามารถใช้วิชาเหล่านั้นเสนอให้นิกายเพื่อรับรางวัลได้
เนื่องจากความตื่นเต้นในการตั้งนิกายในเริ่มแรก คนทั้งหมดได้ผ่านสมรภูมิยากลำบากมาด้วยกัน จึงมีจิตใจสามัคคี ความเห็นแก่ตัวไม่มาก เช่นนี้แล้ว เวลานี้จึงเป็นช่วงเหมาะที่นิกายจะพัฒนาขยับขยายไปอย่างรวดเร็ว
หลังเชื่อมประตูแห่งความมืดได้แล้ว นิกายไร้ขอบเขตก็ได้รับแหล่งทรัพยากรอันมั่นคงที่แรกมา
จากนั้น ซูเฉินคิดจะใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดทำนายอีกเรื่องหนึ่ง
ครั้งนี้ เขาอยากรู้ว่าจะยกระดับภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดให้ดีได้อย่างไร
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดในตอนนี้นับเป็นแก่นพลังของเขา แต่วิธีการยกระดับพัฒนาความสามารถทั่วไปของมัน เขายังหาไม่พบ
ก่อนหน้านี้ ซูเฉินใช้พลังจากสายเลือดเทพอสูรเจียงซีสุ่ยเพื่อพัฒนาภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิด วิชานี้จึงให้ผลแตกต่างกับซูเฉินเมื่อเทียบกับกังเหยียน
เพราะซูเฉินไม่เชี่ยวชาญการใช้น้ำ จึงได้แต่ซึมซับกำลังอันน่าเหลือเชื่อของลั่วโหยวและขยายมันออกเรื่อย ๆ เพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังของตนเอง
ส่วนกังเหยียนไม่สามารถดึงเอาแก่นออกมาอย่างซูเฉิน ดังนั้นจึงได้แต่เป็นภาชนะของลั่วโหยวเพียงบางส่วน เผยดวงตาหนึ่งออกมานับว่าเป็นผลลัพธ์น่าทึ่งที่สุดที่เขาทำได้แล้ว
สายเลือดเดียวกัน ยังผลแตกต่างสองอย่าง กระทั่งซูเฉินยังไม่รู้สาเหตุ
อย่างไรตอนนี้ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็นับเป็นกำลังที่เรียบง่ายที่สุดที่เขามี เขาเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจมันไปพร้อมกัน
ดังนั้นจึงอยากทำความเข้าใจภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดขึ้นสักหน่อย
ใช่แล้ว ทำความเข้าใจให้มากขึ้น ไม่ใช่จะหาคำตอบของปัญหา
หลังสังเวยไปหลายครั้ง ซูเฉินก็รู้ซึ้งว่าการถามถึงวิธีที่ถูกนั้นดีกว่าถามเอาคำตอบตรง ๆ
หลังมอบของสังเวยแล้ว ซูเฉินจึงกล่าว “ข้าอยากรู้ว่าข้าจะยกระดับความเข้าใจภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดได้รวดเร็วที่สุดเมื่อไหร่”
ของสังเวยค่อย ๆ หายไป และภาพเริ่มปรากฏขึ้นเบื้องหน้า บอกเล่าว่าซูเฉินจะสามารถยกระดับความเข้าใจเรื่องภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดได้อย่างไร
ภายใน 3 ปี ซูเฉินจะทำความเข้าใจภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดและเลื่อนระดับความเข้าใจนั้น เมื่อเห็นภาพปรากฏแล้ว เขาจึงเข้าใจกระจ่าง
แต่เขายังไม่หยุดเท่านั้น ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเขาก็สังเวยต่อแล้วถามอีก “ข้าอยากรู้ว่าข้าจะยกระดับความเข้าใจภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดได้รวดเร็วที่สุดเมื่อไหร่”
ยังคงเป็นคำถามเดิม
แต่ครั้งนี้ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไป เรื่องราวในนั้นก็เช่นกัน
นั่นก็เพราะหลังจากทำนายไปแล้ว ซูเฉินจึงได้คำตอบจากอนาคต หรือก็คือ เขามีความเข้าใจภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเทียบเท่ากับในอีก 3 ปีข้างหน้าไปแล้ว ดังนั้นเมื่อทำนายอีกครั้ง มันจึงเป็นคำตอบที่เขาจะได้รับในระยะเวลาในอนาคตห่างออกไปอีกนั่นเอง
คำตอบที่มันมอบให้เป็นสิ่งที่เขาอาจต้องใช้เวลา 7 หรือ 8 ปีเพื่อค้นหามัน แต่ครั้งนี้ คำตอบกลับเป็นอีก 3 ปีในอนาคตข้างหน้าอีกครั้ง
ดูเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอนาคตเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
ทุกครั้งที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดมอบคำตอบให้ซูเฉิน อนาคตก็จะเปลี่ยน
แต่การเปลี่ยนอนาคตเช่นนี้ก็เหมือนไม่เปลี่ยน อย่างไรแม้เขาจะได้คำตอบ เขาก็ได้แต่เดินไปตามทางที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดวางไว้ ทำให้เกิดผลลัพธ์เหมือนกัน ต่างกันที่เพียงเวลาเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนั้น อนาคตที่ไม่อาจเปลี่ยนเองก็นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเดิมเช่นกัน
เช่น คำถามซ้ำซ้อนของซูเฉินเรื่องภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดทำให้เขามีความเข้าใจต่อมันสูงขึ้นมาก รู้วิธีพัฒนายกระดับมัน ทำให้หนทางการทำการทดลองของเขาได้เปลี่ยนไป
ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หากซูเฉินจะถามคำถามที่เขาไม่รู้คำตอบ เช่นเรื่องโทเทมแห่งพลังชีวิต ก็ยังมีโอกาสได้รับคำตอบได้
เพราะอย่างไรซูเฉินก็สามารถมุ่งความสนใจไปยังโทเทมวิญญาณสายฟ้า ซึ่งจะทำให้ส่งผลต่ออนาคตได้โดยตรง
แน่นอนว่าซูเฉินในตอนนี้จะไม่ถามคำถามนั้น เพราะเขารู้ว่าการยกระดับความเข้าใจเรื่องภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดจะยังไม่ส่งผล และไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับโทเทมวิญญาณสายฟ้า จากการวิเคราะห์ของเขาในตอนนี้ เขามั่นใจว่าจะไม่สามารถยกระดับความเข้าใจได้ในห้องทดลองแต่เป็นในสนามรบต่างหาก ซึ่งเรื่องราวจะซับซ้อนขึ้นอีกมาก
หลังจากถามเรื่องภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดไป 3 ครั้งติดต่อกัน ซูเฉินก็หยุดถาม
เขาต้องใช้เวลาย่อยข้อมูลที่เพิ่ง ‘เรียนรู้’ มา อย่างไรสิ่งที่เขาได้เห็นในอนาคตก็ต้องใช้เวลาในการครุ่นคิดและทำความเข้าใจอยู่แล้ว
ซูเฉินจึงจมลงสู่ห้วงแห่งการวิจัยโดยสมบูรณ์
ชายหนุ่มไม่ได้โกหกต้วนเจียงซาน สำหรับเขาแล้ว วันเวลาที่ได้ทำการวิจัยช่างน่าพอใจเสียยิ่งกว่าอะไรดี ทุกการค้นพบและการสร้างสรรค์ทำให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก
นี่เองก็เป็นความพึงพอใจที่ได้มาจากการทำทดลอง การสำรวจความลึกลับอันไร้ที่สิ้นสุดของใต้หล้า ได้มองดูในสิ่งที่ไม่รู้จัก และได้ควบคุมกฎเบื้องหลังสิ่งทั้งหลายเพื่อนำมาใช้ประโยชน์
จะมีสิ่งใดทำให้คนเรารู้สึกภูมิใจไปมากกว่านี้ได้อีก ?
เวลาผ่านไปครึ่งเดือน ซูเฉินก็สามารถย่อยข้อมูลทั้งหมดที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดได้ในที่สุด
เขาเดินออกมาจากห้องทดลอง
“เงามรณะ”
“ขอรับ” เงามรณะปรากฏตัวขึ้นที่ประตูหน้าห้องทดลอง
กังเหยียนเดินทางไปเทือกเขาพายุคลั่ง กำลังทำการนำพาคนในเผ่าอยู่ที่นั่น ดังนั้นข้ารับใช้ในปัจจุบันของซูเฉินจึงเป็นเงามรณะ แม้เจ้านี่จะเจ้าเล่ห์ไปสักหน่อย แต่ก็เป็นผู้ช่วยฝีมือดี
“ไปหาอสูรกายสักตัวให้ข้าที จับเป็นมาเล่า”
“อสูรกายแบบไหนหรือขอรับ ?”
“แบบไหนก็ได้ ข้าอยากได้ชนิดละสักหลายตัว แต่อย่างละตัวก็พอแล้ว ใช่แล้ว ไปบอกศิษย์คนอื่นให้จับอสูรกายที่ข้ายังไม่ได้บันทึกลงในตำราและนำมามอบให้ข้าด้วย”
“ขอรับ !”
คำสั่งของซูเฉินนับเป็นหายนะของอสูรกายทั่วทั้งหุบเขา
หลายวันต่อมา อสูรกายหลากหลายชนิดก็ถูกส่งมายังห้องทดลองของซูเฉิน รอเวลาให้ได้กลายเป็นตัวทดลองของเขาต่อไป
ในขณะที่เขารวบรวมผลการทดลองอยู่เรื่อย ๆ เขาก็จะคอยถามไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ปรับเปลี่ยนวิถีทางในการทดลอง จะได้ไม่เดินไปผิดทาง ผลคือความเข้าใจของชายหนุ่มดำเนินไปอย่างก้าวกระโดด และเชี่ยวชาญภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิด
ไม่นาน วิชาบ่มเพาะที่มีแผนผังอสูรกายอย่างละเอียดก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะของผู้อาวุโสนิกายไร้ขอบเขตทั้งหลาย
“นี่คืออะไรกัน ?” หลี่ฉงซานถามเสียงฉงน
“ผลงานใหม่ชิ้นหนึ่งของข้า ข้าถอดความสามารถจากสายเลือดของอสูรกายออก แล้วเปลี่ยนให้มันกลายเป็นวิชาบ่มเพาะ” ซูเฉินตอบ
“มีความแตกต่างจากระบบการส่งต่อและสืบทอดสายเลือดของพวกเราหรือไม่ ?” ฉู่อิงหว่านถามขึ้น
“ย่อมมีความต่าง อย่างที่ชื่อบอก อย่างหลังคือการสืบทอด หมายความว่าถูกส่งต่อได้ยามเกิดเท่านั้น วิชาที่ข้าทำการวิจัยไม่จำเป็นต้องใช้ความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ก็ยังทำให้ได้ความสามารถจากอสูรกายมาได้ หากคิดว่าเหมือนยาวิญญาณเลือด ความแตกต่างสำคัญคือมันยังคงเป็นสายเลือดแท้ที่สืบต่อกันมาเช่นกัน พลังที่ได้รับจากวิชาบ่มเพาะนี้จะไม่สามารถส่งต่อได้”
“เหตุใดจึงดูด้อยกว่าการส่งต่อทางสายเลือด ?” จวินโม่เสียหัวเราะ
ซูเฉินตอบตามตรง “นั่นก็เพราะมันไม่ใช่วิธีการส่งต่อแต่เป็นวิชาบ่มเพาะต่างหาก ท่านสามารถสืบทอดสายเลือดได้เพียงหนึ่ง แต่วิชาบ่มเพาะนี้ทำให้สามารถได้รับหลากหลายสายเลือดได้”
เมื่อได้ยินดังนี้ทุกคนก็ตกใจ นั่งหลังตรงทันที “หมายความว่า……”
ซูเฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว วิชานี้จะทำให้สามารถมีหลายสายเลือดได้ในเวลาเดียวกัน”
“มันจะไม่ตีกันหรือ ?” หลินเฉ่าเซวียนเอ่ยเสียงขุ่นเคืองอยู่บ้าง
ซูเฉินส่ายหน้า “มันเป็นวิชาบ่มเพาะไม่ใช่สายเลือด ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีความขัดแย้งกัน และถึงจะมีก็จะรับรู้ได้โดยเร็ว หากหยุดได้ทันเวลาก็ไม่น่ามีปัญหา”
ทุกคนตื่นเต้นเป็นยิ่งนัก
เล่อเหิงว่า “หรือก็คือ หากฝึกวิชานี้ เราก็จะมีหลายสายเลือดในคนเดียวได้งั้นหรือ ?”
“ตามทฤษฎีแล้วก็ใช่ แต่เพราะมันไม่ใช่การสืบต่อสายเลือด จะเรียกมันว่าสายเลือดก็คงไม่เหมาะ ไม่แน่ว่าเราควรเปลี่ยนชื่อที่เหมาะสมให้มัน”
ฉือไคฮวงถาม “คิดจะเรียกมันว่าอะไร ?”
ซูเฉินตอบ “เรียกว่า ‘ลักษณ์’ เป็นอย่างไร ?”