ภาคที่ 5 บทที่ 7 หุ่นเชิด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 7 หุ่นเชิด

ตู้ม !

แร้งคมดาบตัวยักษ์ปรากฏด้านหลังเจียงหลิ่วก่อนสยายปีก เพลิงบนร่างลุกโชนขึ้นฟ้า เจ้าแร้งเผยกลิ่นอายดุดันสง่างามเป็นรัศมีออกมา

“ไป !”

เมื่อเจียงหลิ่วร้องตะโกน แร้งคมดาบด้านหลังก็กระพือปีกพุ่งออกไป แรดยักษ์ก้มหัวพุ่งเข้าใส่แร้ง เท้าทรงพลังกระทืบบนอากาศราวกับเป็นพื้นดิน เกิดเสียงดังกระหึ่ม เขาทั้งลูกเหมือนจะสะเทือนเล็กน้อย

แร้งคมดาบอ่อนแอกว่าแรดเกราะเหล็กมาก เมื่อปะทะก็แตกสลายทันที เจ้าแรดยังคงพุ่งเข้ามาทางเขา เจียงหลิ่วเพียงยื่นมือออกไป แร้งเพลิงอีกตัวปรากฏขึ้น ใช้อุ้งเท้าขวามือเขาไว้แล้วดึงเขาขึ้นไปในอากาศ

เขาเป็นด่านทะลวงลมปราณ ไร้ความสามารถในการบิน แต่มีแร้งคมดาบคอยหิ้วเขาไปก็นับว่าบินได้ตามใจชอบ

ระหว่างกำลังบิน เจียงหลิ่วก็ซัดพลังเพลิงใส่ศัตรู ทำให้อีกฝ่ายร้องลั่นออกมา “โกงนี่นา !”

เจียงหลิ่วหัวเราะเสียงดัง “แร้งคมดาบของข้าอ่อนแอกว่าแรดเกราะเหล็กของเจ้าในด้านกำลังกาย ก็ต้องใช้ความสามารถในการบินมาช่วยด้วยสิ”

“เพ้ย หากสามารถใช้อาวุธวิญญาณได้ ข้าคงเป็นคนแรกที่ซัดเจ้าตกลงจากฟ้า” คู่ต่อสู้ตะโกน ไม่อยากเผยจุดอ่อน

คู่ต่อสู้ของเจียงหลิ่วชื่อหวังอวิ๋นคุน หนึ่งในทหาร 73 คนจากเมื่อก่อนหน้าที่ได้กลายเป็นข้ารับใช้ดาบของซูเฉิน

“เรากำลังเปรียบเทียบลักษณ์กันอยู่ ไม่ใช่อาวุธวิญญาณ” เจียงหลิ่วหัวเราะเสียงยินดี

“ข้าถึงด่านสู่พิสดาร เหินร่างได้เองเมื่อไหร่ แร้งคมดาบของเจ้าก็ไร้ประโยชน์แล้ว”

“ถึงตอนนั้นข้าก็คงเรียนลักษณ์ที่สองหรือที่สามแล้วกระมัง” เจียงหลิ่วหัวเราะ

ทั้งสองคนปะทะไม่รู้จบ เต็มไปด้วยความยินดีปรีดากับความสามารถใหม่ที่ค้นพบ

เหตุเพราะลักษณ์มีความเข้ากันได้อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ละคนจึงมีลักษณ์แตกต่างกัน เจียงหลิ่วเหมาะกับการใช้ลักษณ์ประเภทไฟมากกว่า ดังนั้นจึงเลือกแร้งคมดาบมาเสริมวิชาดาบไฟพนาของตนเอง แท้จริงแล้วมันทรงพลังไม่น้อย ความสามารถในการสู้ระยะประชิดไม่ต้อยต่ำ แต่เพราะเกราะป้องกันของแรดเกราะเหล็กมากจนกดความแกร่งของมันไว้ กระนั้นเจียงหลิ่วก็ยังรุดหน้าต่อ ดูเหมือนว่าจะใช้เพียงวิชาดาบไฟพนาเอาชนะแรดเกราะเหล็กได้

ความเข้ากันได้ของลักษณ์ขึ้นอยู่กับตัวแปรหลากหลาย ซึ่งเป็นปัญหาใหม่ของซูเฉิน หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด เขาอาจต้องใช้เวลาทดลองยาวนาน ค้นพบหลักหลายเส้นทาง แต่ครั้งนี้ เขานับว่าก้าวมายังทางที่ถูกต้องในทันที

แต่ถึงอย่างนั้น การปรับปรุงลักษณ์ก็คงเป็นเส้นทางที่ยากลำบากไม่น้อย เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เวลาเพียงชั่วครู่เพื่อทำให้มันพร้อมสมบูรณ์ การผสมผสานของลักษณ์เพียงอย่างเดียวก็ทำให้เกิดความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนแล้ว หากใช้ไม้เท้าหาคำตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่แน่ว่ากระทั่งตัวเขายังอาจจนได้

โชคดีที่ซูเฉินไม่คิดจะทำเช่นนั้น

เขาเลือกใช้วิธีง่ายกว่านั้น นั่นคือการสร้างหอลักษณ์ขึ้น

ด้านซ้ายของยอดเขาเทียมสวรรค์คือยอดเขาปีกเหิน เนื่องจากมีโขดหินขนาดใหญ่สองแห่งที่ยื่นออกมาจากยอดเขา ข้างละหนึ่งแห่ง มีรูปร่างคล้ายปีก

หอลักษณ์ถูกสร้างไว้บนยอดเขานั้น

หอแห่งนี้ใช้เพื่อเก็บบันทึกสายเลือดอสูรกายที่ถูกดึงออกมาจากอสูรทั้งหลาย

เมื่อเดินเข้าไปในหอขนาดใหญ่ จะรู้สึกเหมือนถูกอสูรนับพันกระโจนเข้าใส่ เพราะกำแพงภายในเต็มไปด้วยภาพของอสูรกายหลายชนิด บ้างก็กำลังแหงนหน้าคำราม บ้างกำลังบิน บ้างกำลังกลืนเมฆแล้วพ่นหมอก บ้างก็เรียกฟ้าเรียกฝน บ้างก็กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด บางตัวก็กำลังหลบหนีจากการสู้ สีหน้ามีตั้งแต่โกรธเกรี้ยวไปจนถึงตื่นตกใจและหวาดกลัวและอื่น ๆ อีกมาก หลากหลายเป็นอย่างยิ่ง

ภาพวาดเหล่านี้ไม่ใช่เพียงภาพวาด แต่เป็นลักษณ์อสูรกายของจริง

ลักษณ์เหล่านี้สร้างขึ้นจากการผสมผสานวิญญาณสัตว์อสูรเข้ากับสายเลือดที่ถูกดึงออกมา ก่อนจะทำการสลักมันลงบนกำแพงที่สร้างขึ้นจากผลึกต้นกำเนิด กลายเป็นภาพวาดฝาผนังหรือภาพเหมือนสัตว์อสูร ศิษย์คนใดที่เข้ามาในหอลักษณ์สามารถเลือกลักษณ์ได้ชนิดหนึ่งเพื่อศึกษาเล่าเรียนและรับพลังจากมันมา

ลักษณ์ที่ถูกเลือกไปแล้วจะถูกดูดซับและหายไป แต่ก็สามารถจับอสูรตัวอื่นมาแทนที่ได้

หอลักษณ์จึงกลายเป็นของรางวัลอีกหนึ่งอย่างนอกจากวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ เครื่องมือนำพลัง และวิชาจิตหงส์เพลิง มีมูลค่าเท่ากับเครื่องมือนำพลัง แต่ก็น้อยกว่าวิชาจิตหงส์เพลิง

จากนี้ต่อไป ศิษย์คนไหนที่ได้ลักษณ์จากการทำความดีความชอบ จะสามารถมาเลือกลักษณ์ที่เหมาะสมกับตนเองได้

เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็จะค่อย ๆ ขัดเกลา ลักษณ์เหล่านี้ผ่านประสบการณ์ส่วนตัว นับว่าช่วยงานซูเฉินได้มาก

มีแต่จุดสำคัญในการพัฒนาวิชานี้ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ต้องพัฒนาระบบที่เป็นระเบียบแบบแผนขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงยังไม่เลือกลักษณ์ใด เขารู้สึกว่าความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณ์ยังไม่ลึกซึ้งพอ เขาอยากรอจนกว่าจะรู้สึกสะดวกใจจะเลือกมัน ถึงตอนนั้น เลือดเทพอสูรที่เขาถือครองก็จะมีประโยชน์ขึ้นมา

ในขณะเดียวกัน ซูเฉินก็ยังทำการทดลองดังเดิม

ครั้งนี้เขาเลือกทดลองเกี่ยวกับสสารต้นกำเนิดที่อยู่ในหินสีดำก้อนเล็ก

หินสีดำเหล่านี้มีสสารต้นกำเนิดอยู่มากมายหลายอย่าง ซูเฉินสามารถแยก สสารต้นกำเนิดเงา สสารต้นกำเนิดปลามังกร และสสารราคะเสน่ห์ออกมาได้แล้ว แต่ละอย่างมีความสามารถแตกต่างกันไป แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน สสารต้นกำเนิดปลามังกรและสสารราคะเสน่ห์คงไม่จำเป็นต้องพูดถึง อันหนึ่งใช้ได้เพียงในน้ำ ในขณะที่อันใช้เพื่อปลุกเร้าเสน่หา แม้ว่าสสารต้นกำเนิดแห่งความมืดจะส่งพลัง แต่ก็หายาก ทำให้ไม่สามารถมารวมกับวิชาต้นกำเนิดได้ ปัญหานี้ยังไม่ถูกไขจนกว่าซูเฉินจะสามารถหาความเชื่อมโยงกับประตูแห่งความมืดได้

ซูเฉินหวังว่าจะได้แหล่งพลังที่ยั่งยืนเพื่อนำมาพัฒนาพลังมากกว่านี้

จึงเป็นอีกครั้งที่เขาใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดหาคำตอบ

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” สีหน้าประหลาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าซูเฉิน

ไม่ว่าคำตอบจะประหลาดเพียงไหน ซูเฉินก็ยังคงต้องทำตามเส้นทางที่มันบอกมา

อย่างแรก เขาสร้างตัวทำละลายอันมีเอกลักษณ์ขึ้นมาตัวหนึ่ง เทมันลงไปในหินสีดำ สสารต้นกำเนิดหินจึงเริ่มเผยออกมาเพราะถูกตัวทำละลาย แล้วไหลออกมาในน้ำ

ซูเฉินหยิบหินสีดำออกมาวางไว้ด้านข้าง จากนั้นเริ่มรวมสารละลายตัวใหม่เข้ากับตัวเก่า

ภายใต้การเฝ้ามองของเนตรจุลภาค ซูเฉินจึงเห็นการเปลี่ยนแปลงของสสารต้นกำเนิดอย่างสมบูรณ์ เมื่อแน่ใจว่าจังหวะมาถึงแล้ว ซูเฉินก็กรีดข้อมือแล้วบีบเลือดสดลงไปในทันใด

ทันใดนั้น สารละลายก็เริ่มมีฟองขึ้นมาแล้วขยายตัวอยู่ภายในขวด จนขวดแตกและยังขยายออกกระทั่งมีขนาดพอ ๆ กับตัวซูเฉิน มันบิดร่างไปมาเหมือนกับเป็นเนื้อก้อนเนื้อหนึ่ง แขนขาทั้งสี่ค่อย ๆ ขึ้นรูป ตามมาด้วยส่วนศีรษะ สุดท้ายก็กลายเป็นรูปร่างมนุษย์ขึ้นมา

ต่อมาก็เป็นตา เป็นหู เป็นจมูกและปาก จนกระทั่งมีหน้าตาเหมือนกันซูเฉินไม่มีผิด

หากแต่สีหน้าของซูเฉินผู้นี้ดูสับสนไม่ไหวติง เหมือนเป็นตุ๊กตาไม้ก็มีตา

ซูเฉินรู้ว่าเป็นเพราะหุ่นเชิดซูเฉินยังไม่มีวิญญาณหรือจิตนึกคิด

มันก็เป็นเหมือนหุ่นเชิดว่างเปล่าตัวหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเขา ไม่มีความคิดไม่มีความฉลาดใด จะขยับก็ยากเย็น

แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจพอตัว

ทั่วทั้งทวีปต้นกำเนิดมีวิชาต้นกำเนิดแปลกประหลาดอยู่มากมาย แต่วิชาพรางตาและวิชาลอกเลียนร่างนั้นหาได้ยาก ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับหลักการเกี่ยวกับการหมุนของโลก ทำให้ไม่สามารถใช้ได้โดยง่าย

วิชาส่วนมากในใต้หล้ามักมุ่งเน้นเรื่องความแข็งแกร่งและพลัง หาวิชาที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ยาก ไม่เช่นนั้นซูเฉินคงไม่ต้องพึ่งวิชาพรางตัวเพื่อแทรกซึมเข้าไปในแดนคนเถื่อนได้ตามใจชอบหรอก

กลางแปลงตรงหน้าซูเฉินคือสิ่งที่เขาพัฒนาขึ้นมาด้วยการรวมเลือดของเขากับสสารต้นกำเนิดตัวหนึ่ง หลักการเบื้องหลังคือสสารต้นกำเนิดตัวนี้ เมื่อมีพลังต้นกำเนิดสนับสนุนเพียงพอ จะสามารถดึงเอาข้อมูลทางชีวภาพที่ซุกซ่อนอยู่ไหนเลือดของผู้ใช้ออกมาได้ จากนั้นเปลี่ยนให้กลายเป็นร่างแปลงของเป้าหมายโดยยึดจากข้อมูลที่ดึงออกมา

หรือก็คือเมื่อใช้วิชานี้แล้ว ซูเฉินไม่เพียงสามารถสร้างร่างแปลงของตนเองได้ หากเขามีเลือดสดอยู่ในมือ เขาก็สามารถสร้างร่างกายของคนอื่นได้เช่นกัน

ในความเป็นจริงแล้ว นี่ไม่ใช่วิชาสร้างร่างแปลง แต่เป็นวิชาเชิดหุ่นต่างหาก

หุ่นเชิดหน้าตาเหมือนมนุษย์พวกนี้สามารถใส่ความรู้สึกนึกคิดลงไปได้ ทำให้มันสามารถคิดและขยับกายได้เอง ทั้งยังมีความสามารถทั้งหมดของผู้ใช้อีกด้วย

ใช่แล้ว มีความสามารถทั้งหมดเลย แต่ทั้งหมดนั้นจะอ่อนแอกว่าก็เท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น หุ่นเชิดมนุษย์นี้ถูกสร้างขึ้นโดยการเลียนแบบสารที่อยู่ในเลือดของซูเฉิน ใช้ข้อมูลในสารเหล่านั้นมาจำแนกแยกแยะในรูปแบบพี่มีระเบียบระบบมั่นคง แต่จะไม่สามารถเลียนแบบพลังงานที่มีอยู่ในเลือดนั้นได้ ดังนั้นพลังของเจ้าหุ่นเชิดซึ่งมีเพียงหนึ่งในหมื่นของพลังทั้งหมดของเขาเท่านั้น

ซูเฉินลองใช้นิ้วเคาะมันเบา ๆ เกิดเป็นรูขึ้นบนหุ่นเชิดทันที มีเลือดสดไหลออกมา แต่เป็นเลือดสีจางมากเพราะมันถูกเจือจางไปมากนั่นเอง

ซูเฉินจึงค่อยๆแยกเส้นสายพลังจิตออกและเชื่อมมันเข้ากับร่างของหุ่นเชิด แม้จะเป็นเพียงเส้นสายพลังจิต แต่ก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย

ตาของหุ่นเชิดส่องประกายอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งท่าทางเปลี่ยนไปจนขยับได้อย่างน่าอัศจรรย์

แม้จะมีพลังจิตน้อยกว่าแต่ก็ไม่ได้มีความฉลาดน้อยไปกว่ากัน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่หุ่นเชิดโง่ ๆ เพียงแต่มีพลังจิตน้อยกว่ามากเท่านั้น พื้นฐานพลังจิตของซูเฉินมีอยู่ประมาณ 1,000 หน่วย ในขณะที่ของหุ่นเชิดมนุษย์นี้มีอยู่เพียง 5 หน่วยเท่านั้น อาจกล่าวที่ว่าการโจมตีจิตวิชาใดก็มีผลต่อมันร้ายแรงมาก

หากมีใครใช้สสารราคะเสน่ห์กับมัน มันก็อาจจะหักหลังซูเฉินได้

อีกทั้งการใช้ความคิดมาอย่างยาวนานเกินไปยังทำให้พลังจิตของเขาอ่อนแอลง ทำให้หุ่นเชิดมีพลังจิตค่อนข้างต่ำด้วยเช่นกัน

ซูเฉินว่า “ไหนขอดูเจ้าปล่อยทักษะลูกไฟหน่อย”

แท้จริงแล้วแม้เขาจะไม่พูดออกมา ซูเฉินอีกคนหนึ่งก็สามารถเข้าใจเขาได้ เพราะอย่างไรก็มีวิญญาณเชื่อมต่อกัน แต่ซูเฉินก็ยังอยากพูดมากกว่า อย่างไรมันก็เป็นหุ่นเชิด ไม่ใช่ร่างแปลงของเขาโดยสมบูรณ์ ทั้งยังไม่ใช่ร่างลอกเลียนแบบของเขา ด้วยเหตุนี้หุ่นเชิดซูเฉินจึงเลือกที่จะไม่พูดเพราะไม่มีเหตุผลให้ต้องพูด

เจ้าขุนเชิดยกมือขึ้นมาแล้วเริ่มรวมพลัง เพลิงสะเก็ดหนึ่ง ค่อย ๆ เกิดขึ้นเหนือฝ่ามือก่อนจะหายไปไม่เหลือร่องรอย

นี่คือกำลังที่เจ้าหุ่นเชิดสามารถปล่อยออกมาได้

หากซูเฉินบอกให้หุ่นเชิดลองปล่อยหงส์เพลิงออกมา แค่มันสามารถสร้างนกกระจอกเพลิงขึ้นมาได้ก็นับว่าเก่งแล้ว

ซูเฉินไม่ผิดหวังแต่อย่างไร ยังคงพูดต่อ “ก้าวเข้ามาหน่อย”

เจ้าหุ่นเชิดเดินไปเดินมาหลายก้าว ท่าทางการเดินเหมือนซูเฉิน

ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหน อย่างน้อยๆ ดูจากภายนอกมันก็เหมือนซูเฉินไม่ผิด

หรือก็คืออย่างน้อยเขาก็สามารถใช้มันหลอกคนอื่นได้ แม้ในการต่อสู้จะนับว่าไร้ค่าก็ตาม

อีกทั้งยังไม่ต้องบอกว่ามันใช้ในการต่อสู้ไม่ได้ เพราะเขาใช้เพียงเลือดเล็กน้อยสร้างมันขึ้นมาเท่านั้น

และหากเป็นเช่นนั้น หุ่นเชิดที่สร้างจากเลือดที่เขากักเก็บมาจะไม่ทรงพลังมากกว่าหรือ ?

คิดได้ดังนี้ ซูเฉินก็นึกถึงโอกาสความเป็นไปได้อันหลากหลาย ซึ่งทั้งหมดยังต้องใช้เวลาทำการทดลองอีกนาน

เปรี๊ยะ !

ในตอนที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั่นเอง หุ่นเชิดก็แตกกระจายกลายเป็นฝุ่นผงแล้วหายไป

และเมื่อฝุ่นผงนั้นจางหายไป ก็เหลือไว้เพียงเลือดหยดหนึ่งบนพื้นและตัวทำละลายที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น

ถ้าอ่าน “ราชันบัลลังก์เลือด” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย