เวลาสองปีผ่านไปในชั่วพริบตา อวี่ฉีสอบเลื่อนชั้นเข้าโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งของเมืองได้ด้วยคะแนนอันยอดเยี่ยม เธอเติบโตเป็นสาวสวย แน่นอนว่าหน้าตายิ่งเหมือนฟางหว่านขึ้นทุกวัน

ทว่าความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ยังคงชัดเจนมาก ฟางหว่านแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยใส่ใจการเรียน ส่วนอวี่ฉีกลับแทบจะครองสามอันดับแรกของชั้นปีในทุกการสอบ ฟางหว่านนั้นมักจะไม่ค่อยยิ้ม หรือต่อให้ยิ้ม มุมปากของเธอก็มีความพยศและเย้ยหยันอยู่เสมอ แต่อวี่ฉีกลับมีรอยยิ้มแต้มมุมปากตลอดเวลา ทั่วทั้งร่างคล้ายมีกลิ่นอายเงียบสงบ อ่อนหวาน และละมุนละไม

อันที่จริง ในฐานะที่เธอเป็นลูกสาวของฟางหว่าน อวี่ฉีถือได้ว่ามีผลงานล้ำหน้าผู้เป็นแม่ไปไกลแล้ว ตั้งแต่รูปร่างหน้าตาไปจนถึงการเรียน เธอล้วนโดดเด่นกว่าใคร ทั้งยังนิสัยดี ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนไหนไม่นับถือเธอ ไม่มีอาจารย์คนไหนไม่ชื่นชมเธอ ไม่มีเพื่อนบ้านคนไหนที่ไม่ชอบเธอ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือวิธีจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต เธอล้วนก้าวข้ามฟางหว่านไปไกลลิบ

ในตอนนั้น ฟางหว่านได้รับการขนานนามจากทั้งโรงเรียนว่าเป็นราชินีนักเต้น แต่นั่นก็เป็นแค่ความสามารถที่ได้มาจากการไปเต้นที่ห้องบอลรูมทุกวันเท่านั้น เป็นการฝึกที่ไร้ซึ่งแบบแผน ในขณะอวี่ฉีถูกกู้จวินหลิงส่งไปเรียนที่สถาบันเฉพาะทางสำหรับเรียนเต้นละติน

คนที่เต้นละติน ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างก็มีเอวที่เล็ก หน้าท้องไร้ไขมันส่วนเกิน ทรวดทรงองค์เอวดูดีได้ส่วนสัด ในระยะเวลาสองปีนี้ ร่างกายของเธอสูงขึ้นมาไม่น้อย ส่งผลให้ดูสูงเพรียว รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ต่อให้มองจากไกล ๆ จนเห็นหน้าไม่ชัด ก็ยังรับรู้ได้ว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง

สามเดือนก่อน เธอสอบประกาศนียบัตรคุณวุฒิด้านการสอนเต้นละตินผ่านแล้ว คุณครูที่สอนเธอถึงกับพูดจากใจว่าไม่เคยเห็นนักเรียนคนไหนที่มีพรสวรรค์และความสามารถขนาดนี้มาก่อน

แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือ อัจฉริยะที่เขาเอ่ยปากชมนั้นไม่ได้เป็นอัจฉริยะจริง ๆ อย่างที่บอก แต่เป็นคนที่ฝึกซ้อมจนเชี่ยวชาญต่างหาก เมื่ออยู่ในกลุ่มนักเรียนที่จะสอนยังไงก็เข็นไม่ขึ้น อวี่ฉีจึงยิ่งดูเหมือนหงส์ในฝูงกาเข้าไปใหญ่ นี่ไม่ได้เป็นเพราะเธอฉลาดอะไรขนาดนั้น แต่เป็นเพราะประสบการณ์จากการข้ามมิตินับครั้งไม่ถ้วนที่มีมากกว่าคนอื่น ๆ เป็นสิบเท่าต่างหาก ในเมื่อไม่ได้วิ่งจากจุดเริ่มต้นเดียวกันตั้งแต่แรก ถึงเธอชนะไปก็ไม่ได้มีอะไรให้ภาคภูมิใจหรอก

จริง ๆ แล้วเธอต้องรู้สึกละอายใจเสียด้วยซ้ำ เพราะสองปีมานี้เธอทุ่มเทความคิดและวิธีการต่าง ๆ มากมายก็ไม่สามารถทำให้กู้จวินหลิงชอบเธอได้เลย ถึงเขาจะดีกับเธอมากขึ้นทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเขากำลังหาเงาฟางหว่านในตัวเธอเท่านั้น

ไม่ใช่ว่าเธอไม่ดีพอ แต่เป็นเพราะว่าฟางหว่านจากโลกนี้ไปแล้วต่างหาก คนเป็นยังไงก็ไม่อาจแย่งชิงเกียรติยศของคนตายได้ จุดด่างพร้อยในตัวของคนตายจะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่ความดีงามของพวกเขากลับยิ่งเปล่งประกายแรงกล้ามากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งพวกมันกลายเป็นภาพอันสมบูรณ์แบบในใจของผู้ระลึกถึง

ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เธอก็ไม่อาจปลูกเมล็ดพันธุ์ลงในใจของกู้จวินหลิงที่อัดแน่นไปด้วยฟางหว่านได้ และในขณะเดียวกันนั้นเอง หนิงชิงชิงก็ปรากฏตัวขึ้น

อวี่ฉีรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เพราะวันนั้นกู้จวินหลิงเข้าทำงานเวรเช้า บ่ายสามโมงครึ่งก็สมควรเลิกงานได้แล้ว แต่เธอรอเขาจนกระทั่งเวลาหนึ่งทุ่มตรงอีกฝ่ายก็ยังไม่กลับมา

เมื่อเลยหนึ่งทุ่มไปแล้ว เธอจึงหยิบกุญแจและลงจากตึกอย่างไม่ลังเล เพื่อนั่งรถโดยสารประจำทางตรงดิ่งไปโรงพยาบาล

ในช่วงสุดสัปดาห์ อวี่ฉีมักจะมารอกู้จวินหลิงเลิกงานอยู่ที่นี่บ่อย ๆ ดังนั้นแพทย์และพยาบาลส่วนมากจึงรู้จักเธอกันหมด นั่นทำให้ประโยคแรกที่พยาบาลหลายคนพูดเมื่อเจอเธอก็คือ หมอกู้อยู่ในห้องตรวจ

ความเป็นจริงตรงหน้าพิสูจน์ได้ว่าการคาดเดาของเธอนั้นถูกต้อง ในที่สุดเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงตอนที่หนิงชิงชิงได้พบกับกู้จวินหลิงครั้งแรกแล้ว

เธอหยุดยืนอยู่นอกประตู เห็นกู้จวินหลิงในชุดเสื้อกาวน์สีขาวกำลังยืนคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งเสียงเบาอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย

หญิงสาวที่มีหน้าตาคล้ายตัวเธออยู่หลายส่วนคนนั้นคือหนิงชิงชิงอย่างแน่นอน อวี่ฉีค่อย ๆ หรี่ตามองอีกฝ่าย

ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ใจต้องยิ่งสงบเยือกเย็นเข้าไว้

ถ้าให้พูดถึงสถานะของเธอในตอนนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอไม่มีสิทธิ์อะไรไปขัดขวางทั้งนั้น หรือต่อให้มี เธอก็ไม่มีวันบุกเข้าไปเหมือนหญิงเสียสติที่ไร้ศักดิ์ศรีโดยเด็ดขาด

อวี่ฉีค่อย ๆ ปั้นแต่งรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะสาวเท้ามุ่งไปทางพวกเขา

กู้จวินหลิงหันหลังให้เธอ ฉะนั้นคนที่เห็นเธอก่อนจึงเป็นหนิงชิงชิง

หนิงชิงชิงกำลังถามคำถามกู้จวินหลิงอยู่ เมื่อมองเห็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยเดินตรงมาก็หยุดชะงักไปด้วยความประหลาดใจ กู้จวินหลิงเห็นท่าทางของเธอ จึงค่อย ๆ หันหน้าเหลียวกลับมามองทางด้านหลังเช่นกัน

อวี่ฉีพยักหน้าอย่างมีมารยาท ทว่าแฝงไปด้วยความห่างเหินให้หนิงชิงชิง จากนั้นก็หันหน้าไปยิ้มให้กู้จวินหลิง “วันนี้ทำงานล่วงเวลาเหรอคะ” เพราะว่าอยู่ต่อหน้าหนิงชิงชิง เธอจึงจงใจไม่เรียกเขาว่าคุณอาอย่างที่ทำเป็นประจำ

หนิงชิงชิงมองคนทั้งสองพลางคลี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แสดงชัดถึงการสอบถาม

อวี่ฉีไม่ได้เอ่ยอะไร แต่กลับกอดแขนของกู้จวินหลิงเอาไว้พร้อมส่งรอยยิ้มให้หนิงชิงชิงแทน พวกเธอต่างเป็นผู้หญิงเหมือน ๆ กัน การกระทำนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะสื่อถึงอะไรหลายอย่าง หนิงชิงชิงนั้นนับว่าเป็นหญิงสาวที่ฉลาด เมื่อเห็นอวี่ฉีทำเช่นนี้ก็เข้าใจได้ในทันที เธอจึงเงียบเสียงลงอย่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร

ปกติแล้วกู้จวินหลิงมักปฏิเสธที่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับคนอื่นมาโดยตลอด แต่ในสองปีมานี้ เขาเคยชินกับการถูกจู่โจมกอดแขนอย่างกะทันหันของอวี่ฉีเสียแล้ว

กู้จวินหลิงปล่อยให้เธอกอดแขนของตัวเองต่อไป เขายกมือซ้ายที่ซุกในกระเป๋าเสื้อกาวน์ขึ้นมาก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนหันมาพูดกับเธอด้วยเสียงราบเรียบ ทว่าไม่ได้เย็นชาห่างเหินเหมือนตอนที่เขาพูดคุยกับคนอื่น แสดงชัดถึงความสนิทสนมออกมาโดยไม่รู้ตัว “กินข้าวแล้วหรือยัง”

“ยังไม่ได้กินค่ะ รอคุณมากินด้วยกัน” อวี่ฉีตอบอย่างเอาใจสุด ๆ น้ำเสียงไม่มีการกล่าวโทษอะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงมองเขาด้วยรอยยิ้มเท่านั้น

หญิงสาวส่วนใหญ่จะชอบแสดงอาการหึงหวงเมื่อผู้ชายที่แอบชอบไปอยู่ใกล้กับผู้หญิงคนอื่นจนเผลอทำตัวร้ายกาจโดยไม่รู้ตัว ที่จริงแล้วการทำแบบนั้นถือเป็นการกระทำที่โง่เง่าไร้สติอย่างถึงที่สุด ยิ่งคุณแสดงนิสัยใจจืดใจดำมากเท่าไร มันกลับยิ่งส่งเสริมให้ผู้หญิงคนนั้นดูว่าง่ายช่างเข้าอกเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น นี่ก็เท่ากับว่าตัวคุณนั่นละที่กำลังผลักไสคนที่ชอบให้ไปซบในอ้อมอกคนอื่นซะเอง

กู้จวินหลิงได้ยินแล้วก็ส่งเสียงอืมคำหนึ่ง “ตอนนี้เป็นช่วงรถติด บนถนนรถน่าจะไปไหนไม่ได้ งั้นไปกินที่โรงอาหารก็แล้วกัน” จากนั้นจึงหันไปกำชับหนิงชิงชิงง่าย ๆ ไม่กี่คำ แล้วพาอวี่ฉีจากไป

ระหว่างทางอวี่ฉีก็เอ่ยเหมือนไม่ใส่ใจขึ้นมาว่า “ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาคล้ายแม่อยู่นะคะ”

กู้จวินหลิงพูดโกหกไม่เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้า เขาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ก็ค่อนข้างคล้าย”

อวี่ฉีได้ยินแล้วยิ่งรู้สึกหนักใจ แต่ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แต่ว่าหนูเหมือนแม่มากกว่าเธอใช่ไหมคะ”

กู้จวินหลิงเหลือบมองเธออย่างเฉยเมยแวบหนึ่งก่อนจะเลี่ยงหลบสายตา แล้วเอ่ยตอบไปตามที่คิดว่า “แน่นอน ก็เธอเป็นลูกสาวของแม่เธอนี่”

หลังรับประทานมื้อเย็นที่โรงอาหาร กู้จวินหลิงก็พาเธอไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง แล้วหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งยื่นให้เธอ

อวี่ฉีรับมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อเปิดออกดูจึงรู้ว่าเป็นครีมบำรุงผิวหลากหลายชนิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนให้

“ยี่ห้อนี้ไม่ทำร้ายผิวหนัง” เขาอธิบายเสียงเรียบ จากนั้นก็มองกางเกงยีนที่เธอสวม “เธอยังอยู่ในวัยกำลังโต อย่าใส่กางเกงแบบนี้บ่อย ๆ จะดีกว่า มันขัดขวางการยืดตัวของกระดูกขา”

อวี่ฉีทำเพียงยิ้ม ๆ จากนั้นมองเขาด้วยสายตาตั้งคำถาม “ขอกอดหน่อยได้ไหมคะ”

กู้จวินหลิงถึงกับตั้งตัวไม่ทัน ในดวงตาเรียวยาวฉายความงุนงงออกมา “อะไรนะ?”

อวี่ฉีฉีกยิ้มพลางฉวยโอกาสก่อนที่กู้จวินหลิงจะไหวตัวทันพุ่งเข้าไปกอดเอวของเขาเอาไว้หลวม ๆ เธอแนบใบหน้าเข้ากับกระเป๋าเสื้อกาวน์บนอกของอีกฝ่าย ก่อนพึมพำเสียงเบาทว่ากระจ่างชัด “ขอบคุณค่ะคุณอา”

ยังไงกู้จวินหลิงก็ยังไม่คุ้นชินกับการกอดแบบนี้อยู่ดี เขาจึงยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม ก่อนก้มหน้าลงมองเส้นผมสีดำขลับของอวี่ฉี

ทั้งสองคนต่างมีรูปร่างสูงโปร่งและหน้าตาดี เมื่อมากอดกันอยู่ตรงนี้จึงเด่นสะดุดตาสุด ๆ พยาบาลจบใหม่สองคนที่อยู่ข้าง ๆ นั้นถึงกับร้องตะโกนขึ้นมาว่า “คบกันเลย! คบกันเลย!”

กู้จวินหลิงได้สติกลับมาแล้วจึงผลักอวี่ฉีออกเบา ๆ ก่อนขมวดคิ้วมองพวกเธอ

กู้จวินหลิงคือคุณหมอหน้าตายผู้โด่งดังแห่งแผนกฉุกเฉิน เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไร พยาบาลสองคนนั้นก็หุบปากฉับอย่างง่ายดาย

แพทย์หนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในความดูแลของกู้จวินหลิงตบบ่าพยาบาลทั้งสองให้ไปทำงาน จากนั้นก็หมุนตัวกลับมาส่งรอยยิ้มให้อวี่ฉี “พอจะมีเวลาไปดื่มกาแฟสักแก้วด้วยกันไหมครับ”

อวี่ฉียังไม่ทันได้อ้าปาก กู้จวินหลิงก็กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “เธอไม่ว่าง” อย่างไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยสักนิดด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกไม่ต่างไปจากก้อนน้ำแข็ง

รอยยิ้มตรงมุมปากของแพทย์หนุ่มผู้น่าสงสารคนนั้นพลันแข็งค้าง เขาผงกศีรษะอย่างกระอักกระอ่วนแล้วรีบผละจากไป

หลังเคลียร์งานจำนวนหนึ่งเสร็จแล้ว กู้จวินหลิงก็พาอวี่ฉีออกจากโรงพยาบาล ในขณะที่เดินไปยังลานจอดรถ เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนอย่างหาได้ยาก เปิดประเด็นด้วยหัวข้อที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด

เขามองไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อวี่ฉี ตอนนี้เธออายุสิบหก ยังไม่บรรลุนิติภาวะ”

อวี่ฉีชะงักไป แต่ก็ยังคงพยักหน้า ก่อนค่อย ๆ เอียงศีรษะไปมองเขา “แล้วมันทำไมเหรอคะ”

“ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองของเธอ ฉันไม่อยากให้เธอมีความรักก่อนวัยอันควร” ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ สีหน้าของเขานั้นทั้งเยือกเย็นและจริงจังประหนึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่กู้ชีวิตคนให้สำเร็จอยู่ไม่มีผิด

อวี่ฉีอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา เธอเข้าใจว่าที่เขามีท่าทีแบบนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่แพทย์หนุ่มคนเมื่อครู่แสดงออกว่ามีใจให้เธอ เพียงแต่เธอยังไม่แน่ใจว่าที่กู้จวินหลิงพูดมานั้นเป็นเพราะหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบจริง ๆ หรือเพราะเขายังไม่รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองกันแน่

เธอจึงจงใจพูดแบบมีความนัยแฝงออกไปว่า “งั้นถ้าหากหนูมีคนที่ชอบแล้วล่ะคะ…?”

กู้จวินหลิงหยุดเดินแล้วหมุนตัวกลับมาจ้องตาเธอทันที

อวี่ฉียิ้มน้อย ๆ ขณะสบตากับอีกฝ่าย เธอมองเขาอย่างจริงจังก่อนพูดว่า “หนูชอบเขาได้ไหมคะ”

กู้จวินหลิงไม่ตอบ แต่สีหน้าของเขาได้อธิบายคำตอบอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าไม่ได้

อวี่ฉีก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มองสำรวจสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวัง แล้วลองเอ่ยอย่างช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าอย่างนั้น คุณอา คุณไม่คิดจะให้หนูไปชอบคนอื่นเลยใช่ไหมคะ”

กู้จวินหลิงเงียบไปอึดใจก่อนจะพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง “เธอชอบใคร เป็นเจ้าเพื่อนร่วมชั้นตัวเตี้ยสิวเขรอะเต็มหน้าเมื่อตอนนั้นใช่ไหม”

อวี่ฉีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ปกติแล้วหมอกู้มักจะสงบเยือกเย็นและควบคุมตัวเองได้ดีอยู่เสมอ การที่อีกฝ่ายสามารถพูดจาร้ายกาจอย่างนี้ออกมาได้นั้น เห็นได้ชัดว่าคำตอบคงจะเป็นอย่างหลังซะแล้ว ระยะเวลาสองปีที่อาศัยอยู่ใกล้ชิดกันมาทำให้เขาชอบเธอโดยไม่รู้ตัวจนได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เหลือเพียงให้เธอพิสูจน์ว่าการคาดเดานี้ถูกต้องหรือไม่เท่านั้น

อวี่ฉียกมือขึ้น ค่อย ๆ วางแขนทั้งสองข้างไว้บนบ่าของกู้จวินหลิง ก่อนโอบคอของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพร้อมส่งรอยยิ้มให้เขา

ท่าทางแบบนี้ออกจะสนิทสนมแนบชิดเกินไปหน่อยสำหรับหมอกู้ เขาขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกว่าค่อนข้างไม่เหมาะสม จากนั้นจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ

ทว่าอวี่ฉีกลับไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปแต่โดยดี เธอแนบหน้าลงบนแผ่นอกของกู้จวินหลิงเบา ๆ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ค่ะ คนที่หนูชอบตัวสูงมาก แล้วบนหน้าก็ไม่มีสิวด้วย” เธอถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง ลูบไล้แก้มของเขาอย่างเบามือพลางยิ้มน้อย ๆ “แถมผิวของเขาก็ดีมากด้วยค่ะ”

บอกใบ้ขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่ใครจะไม่เข้าใจ

กู้จวินหลิงนิ่งอึ้งอยู่กับที่ นานทีเดียวกว่าจะได้สติกลับมา แต่ก็ยังสับสนทำตัวไม่ถูก คล้ายว่าเขากำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ สักพักใหญ่ถึงจะฝืนพูดออกมาประโยคหนึ่งได้ว่า “อวี่ฉี ฉันเป็นอาของเธอ”

อวี่ฉียังคงยิ้มจางๆ “ใช่ค่ะ แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดสักหน่อยนี่คะ” เธอตั้งใจกดเสียงลงอีกหน่อยก่อนเอ่ยว่า “คุณอาชอบคุณแม่ใช่ไหมคะ” เธอยกยิ้มขึ้นมา “หนูหน้าตาเหมือนคุณแม่มากใช่ไหม แต่สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือแม่ชอบคนอื่น แต่หนูชอบคุณค่ะ”

————————————–