ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา กู้จวินหลิงก็ทำเหมือนกับกำลังหลบหน้าเธออยู่ วัน ๆ เอาแต่ทำงานล่วงเวลา กลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาตีหนึ่งตีสองไปแล้ว หนำซ้ำเมื่อถึงบ้านแล้วเขาก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง กระดานดำที่ไม่ได้ใช้มานานแผ่นนั้นได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง จนมันกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของทั้งคู่ไปเสียแล้ว

อวี่ฉีรู้ดีอยู่แล้วว่าหลังจากที่เธอทำแบบนั้นไป ผลที่ได้ย่อมออกมารูปแบบนี้ เธอจึงนิ่งเฉยมาก ไม่ได้ไปหาเขาที่โรงพยาบาลในช่วงเวลาที่เขาทำการล่วงเวลา และไม่จงใจตื่นเพื่อรอเขาที่ห้องรับแขกตอนเช้าอีก

เธอไปเข้าเรียนและเลิกเรียนตามปกติ ใช้ชีวิตหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเข้าใจดีว่าในช่วงนี้ต้องปล่อยเวลาให้กู้จวินหลิงได้คิดทบทวนตัวเอง และให้เขาได้รับรู้ความในใจของตัวเองอย่างชัดเจนก่อนจึงจะเป็นการดีที่สุด หากใจร้อนบีบบังคับอีกฝ่ายเกินไป จะเป็นการผลักอีกฝ่ายให้ออกไปไกลมากกว่าเดิม

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป อวี่ฉีประเมินว่าเขาน่าจะใจเย็นลงมากแล้ว หลังเลิกเรียนจึงนั่งรถโดยสารประจำทางไปโรงพยาบาล ใครจะรู้ว่าหาจนทั่วแผนกฉุกเฉินแล้วเธอก็ยังไม่เจอกู้จวินหลิง เมื่ออวี่ฉีไปถามที่เคาน์เตอร์พยาบาลถึงได้ความว่า หลายวันมานี้กู้จวินหลิงเข้าเวรล่วงเวลาจนลืมกินข้าว บ่ายวันนี้อาการน้ำตาลในเลือดต่ำจึงกำเริบอีกรอบ ตอนนี้เลยกำลังให้กลูโคลสอยู่ที่ห้องให้น้ำเกลือ

อวี่ฉีอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ เธอเดินเข้าไปในห้องให้น้ำเกลือพลางรู้สึกว่า พวกตัวร้ายแต่ละคนนี่จะร่างกายอ่อนแอกันเกินไปแล้ว

ตอนที่เธอไปถึง กู้จวินหลิงกำลังนั่งหลับตาพิงพนักเก้าอี้สีน้ำเงิน แพขนตาหนายาวบนใบหน้านั้นนิ่งสนิท สีหน้าขาวซีดจนแทบจะเป็นสีเดียวกับเสื้อกาวน์อันเย็นเยียบบนร่างของเขาเอง

ไม่ได้เจอหลายวัน เขาดูผ่ายผอมลงไปไม่น้อย แก้มก็ซูบตอบ ใต้ตามีรอยคล้ำจาง ๆ ดูอ่อนล้ามากจริง ๆ

ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาตั้งสองปีกว่า ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกปวดใจเลยสักนิดก็เป็นเรื่องโกหกแล้ว อวี่ฉียืนอยู่ที่เดิมมองเขาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปหา เธอค่อย ๆ ย่อตัวลงข้างกายของเขา พร้อมเรียกเขาเสียงเบา “คุณอาคะ”

กู้จวินหลิงไม่ได้หลับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาเพียงแค่พักสายตาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงของเธอ ถึงจะอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็ยังค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ดวงตาเรียวยาวหลังกรอบแว่นทอประกายสงบนิ่งและเย็นชา

สายตาของอวี่ฉีค่อย ๆ เลื่อนต่ำลง ก่อนจะหยุดลงบนหลังมือที่กำลังให้น้ำเกลือของอีกฝ่าย ซึ่งเขาใช้มืออีกข้างที่ว่างกดตรงนั้นเอาไว้

เธอขมวดคิ้วน้อย ๆ จ้องมองวิธีที่เขากดมือ “เป็นอะไรไปคะ”

กู้จวินหลิงหลบตา กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “เส้นเลือดบางเกินไป พยายามเจาะสองรอบแล้ว แต่เจาะไม่เข้า”

อวี่ฉีเข้าไปกดในจุดที่เมื่อครู่เขากำลังกดเอาไว้ด้วยท่าทางจริงจังเป็นธรรมชาติ จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “กดอย่างนี้ใช่ไหมคะ”

กู้จวินหลิงแทบจะหลบเลี่ยงทุกโอกาสที่ต้องสบตากับเธอ ส่งเสียงอืมครั้งหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะมองเธอเลยสักแวบเดียว

อวี่ฉีใช้นิ้วโป้งกดลงบนเข็มเอาไว้แน่น ส่วนอีกสี่นิ้วที่เหลือก็สอดเข้าไปใต้มือของกู้จวินหลิง กุมมือที่เริ่มเย็นจัดเพราะการให้น้ำเกลือเอาไว้หลวม ๆ

ผ่านไปหลายนาที อวี่ฉีก็ประเมินว่าเลือดน่าจะหยุดไหลแล้วจากการกะด้วยสายตา จึงค่อย ๆ ปล่อยมือออก แล้วลุกขึ้นยืนมองเขา จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเบาและอ่อนโยน “คุณอา ถ้าเรื่องที่หนูพูดด้วยวันนั้นทำให้คุณอึดอัดใจ หนูขอโทษนะคะ”

หมอกู้ตอบรับด้วยเสียงในลำคอ เอาแต่จ้องมองหลังพนักเก้าอี้ตัวที่อยู่ด้านหน้า เขายังคงไม่หันกลับมามองเธออยู่ดี

อวี่ฉียิ้มน้อย ๆ ยิ่งเขาหลบเลี่ยงแบบนี้ก็ยิ่งมีหวัง ถ้าหากว่าไม่ได้ชอบเธอเลยสักนิด ก็คงจะปฏิเสธตรง ๆ ไปแล้ว จะทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนี้ไปเพื่ออะไรจริงไหม จริง ๆ แล้ว ที่เขาลังเลและหลบเลี่ยงนั้นเพราะตัดใจปล่อยมือไม่ได้ต่างหาก

               เธอเบี่ยงตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ เขา หลังเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อย ๆ กล่าวออกมาว่า “คุณจะทำเหมือนหนูไม่เคยพูดอะไรมาก่อนเลยก็ได้นะคะ” เธอนิ่งไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงความอ้างว้าง “ถ้าทำอย่างนั้นแล้วคุณอาจะได้เลิกหลบหน้าหนู”

ถ้าให้เปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้วละก็ บางทีพวกเขาอาจจะแก้ตัวว่า ‘ฉันไม่ได้หลบหน้าเธอ ฉันแค่งานยุ่ง’ ไปแล้ว แต่กู้จวินหลิงเป็นคนไม่พูดโกหก เขาจึงได้แต่เงียบ

อวี่ฉีนั่งเป็นเพื่อนเขาเงียบ ๆ อยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกออกมาราวกับยอมแพ้แล้ว “งั้นหนูจะลองคบกับผู้ชายสักคนดู” เธอเงียบลง หันหน้าไปทางอื่นพลางกล่าวอย่างหดหู่ว่า “หวังว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้คุณสบายใจได้”

หาใครสักคนมาเป็นตัวแทนแล้วแสดงความรัก วิธีนั้นของหนิงชิงชิงใช้ได้ผลอย่างดีเยี่ยมในสถานการณ์เหมือนกับตอนนี้ สามารถกระตุ้นสัญชาตญาณเตือนให้ผู้ชายรู้สึกว่าอันตรายกำลังมาเยือนได้ดีที่สุด ซ้ำยังทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายได้อีกด้วย

เป็นไปตามคาด กู้จวินหลิงได้ยินคำพูดนี้แล้วก็หันหน้าขวับมาทันที เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อวี่ฉี ฉันเคยบอกเธอแล้วว่า เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ…”

“ห้ามมีความรักก่อนวัยอันควร หนูรู้ค่ะ” อวี่ฉีหัวเราะเสียงแห้ง “ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ คุณอา ต่อให้หนูคบผู้ชายสิบคนพร้อมกัน คะแนนของหนูก็ไม่ร่วงหรอกนะคะ ยังไงซะหนูก็ไม่ได้สนใจพวกเขาจริง ๆ อยู่แล้ว”

กู้จวินหลิงหันกลับไปแล้วจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง นิ้วมือทั้งสิบของเขาประสานวางไว้ที่กลางหน้าผาก ท่าทางอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะรับไหว “อวี่ฉี เธอทำให้ฉันรู้สึกผิดต่อแม่ของเธอ”

อวี่ฉียื่นมือไปวางบนหลังของเขาเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงค่อยว่า “ไม่เลยค่ะ คุณอา คุณทำเพื่อแม่มามากพอแล้ว เป็นพวกเราที่ติดค้างคุณ”

กู้จวินหลิงคล้ายกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด เพียงแต่หลับตาลงกล่าวช้า ๆ “ถ้าหากไม่ได้อยู่กับฉัน เธอคงจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวาแล้วก็ร่าเริงเหมือนแม่ของเธอ…”

“แล้วจากนั้นล่ะคะ?” อวี่ฉีตัดบทเขา “มีความรักกับเด็กหนุ่มที่ร่าเริงมีชีวิตชีวาเหมือนกัน เดินตามหลังพวกเขา โดดเรียนแล้วออกไปร้องเล่นเต้นรำกับพวกเขา จากนั้นก็ท้องลูกของพวกเขา สุดท้ายถูกทิ้ง ต้องเลี้ยงลูกตัวคนเดียวจนโต ใช้ชีวิตซ้ำรอยเดิมกับแม่ไปแบบนี้ใช่ไหมคะ”

กู้จวินหลิงได้ยินแล้วขมวดคิ้ว มองเธอด้วยสายตาเข้มงวด “อวี่ฉี นั่นแม่ของเธอนะ” เขานิ่งไปก่อนจะเอ่ยต่อ “ปกติฉันสอนให้เธอใช้คำพูดคำจาอย่างนี้หรือ?”

“ขอโทษค่ะ” เธอก้มหน้าลง

กู้จวินหลิงถอนหายใจ “ฉันทนเห็นเธอทำเรื่องผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีกไม่ได้หรอก อวี่ฉี” เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะมองเธอด้วยสายตาที่ไม่อาจวางใจได้ “แต่ว่า ถ้าเกิดเธอท้องลูกของผู้ชายสักคนขึ้นมาจริง ๆ …”

อวี่ฉีค่อย ๆ ถามว่า “ทำไมคะ”

กู้จวินหลิงมุ่นคิ้ว หันหน้าไปทางอื่นอย่างยอมแพ้ “ถ้าหากเธออยากให้เขาเกิดมาละก็” เขายกมือพาดหน้าผากแสดงท่าทางเหนื่อยอ่อนอย่างถึงที่สุด “ให้เขากับฉันเถอะนะ อย่าทำเหมือนแม่เธอที่ไปแอบเลี้ยงเขาอยู่ข้างนอกคนเดียว แบบนั้นมันลำบากเกินไป”

ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ต่อให้เป็นอวี่ฉีก็ยังอึ้งไป หลังเงียบอยู่นาน เธอจึงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “คุณอาคะ คุณช่วยแม่เลี้ยงลูกจนโตแล้ว นี่ยังจะช่วยหนูเลี้ยงอีกเหรอคะเนี่ย”

กู้จวินหลิงขมวดคิ้ว มองเธออย่างมีคำถาม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงได้พูดล้อเล่นในเวลาที่ไม่เหมาะสมอย่างนี้ได้อีก หลายปีก่อนเธอยังรู้จักแยกแยะคำพูด ไม่เคยพูดอะไรเกินเลยสักครั้ง มีความเป็นผู้ใหญ่หนักแน่นเกินตัวจนไม่เหมือนกับฟางหว่านเลยแม้แต่น้อย จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าพวกเธอเป็นแม่ลูกกันจริง ๆ รึเปล่า

อวี่ฉีลุกขึ้นมาจากที่นั่ง กดมือทั้งสองข้างลงบนหัวเข่าของกู้จวินหลิงเบา ๆ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา “เรื่องแบบนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นค่ะ” เธอค่อย ๆ กล่าวอย่างเชื่องช้าเสียงเบา “นอกจากว่าเด็กคนนั้นจะใช้นามสกุลกู้นะคะ”

หมอกู้ผู้ได้รับการตั้งฉายาว่าเป็นพวกเย็นชาหน้าตายด้าน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยถูกใครพูดจีบซึ่ง ๆ หน้าอย่างนี้มาก่อน เขาก้มหน้ามองเธออย่างมึนงงทำอะไรไม่ถูก

อวี่ฉีจดจ้องไปยังดวงตาเรียวคู่สวยของเขา ถามอย่างจริงจังว่า “ให้โอกาสหนูสักครั้งได้ไหมคะ”

กู้จวินหลิงยังคงขมวดคิ้ว ดวงตาหลังแว่นกรอบทองทวีความเย็นชาเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง ทำให้เขายิ่งดูยากจะเข้าใกล้ แต่เธอก็ไม่คิดจะถอย เอาแต่จ้องเขาตาไม่กะพริบ

นานทีเดียวกว่ากู้จวินหลิงจะถอนหายใจออกมา “รอให้ถึงตอนที่เธอเข้าใจว่าสิ่งที่ต้องการจริง ๆ คืออะไรแล้วค่อยมาคุยกันเถอะ ตอนนี้เธอยังเด็กเกินไป”

“ตอนนี้หนูก็เข้าใจชัดเจนแล้วนะคะว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร”

หมอกู้ยกมือขึ้นลูบหว่างคิ้ว “อย่างน้อยก็ให้ผ่านไปอีกสักสองปีแล้วกัน”

————————-

สองปีผ่านไป อวี่ฉีสอบเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ที่ดีที่สุดในเมืองนี้ได้ หลังจากที่กู้จวินหลิงได้รับใบตอบรับจากทางมหาวิทยาลัยก็เงียบไปนานมาก ตอนนั้นอวี่ฉีคิดว่าเขาจะพูดทำนองว่า ‘รออีกสักสองปี’ แต่กู้จวินหลิงกลับส่ายหน้าแล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมา

ยากนักที่หมอกู้จะยิ้ม อวี่ฉีอดไม่ได้ที่จะตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เธอได้แต่เหม่อมองเขาอยู่อย่างนั้น

ผ่านไปสักพัก อวี่ฉีจึงค่อยเอ่ยเตือนเขาอย่างระมัดระวังว่า “เมื่อสองปีก่อน คุณให้สัญญาเรื่องหนึ่งกับหนูไว้”

กู้จวินหลิงวางใบตอบรับลงแล้วมองเธอ จากนั้นจึงพยักหน้า “ฉันจำได้”

“งั้น…ได้หรือเปล่าคะ?”

หมอกู้มองท่าทางกระวนกระวายใจของเธอแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้ง เขาค่อย ๆ พยักหน้าอย่างช้า ๆ

อวี่ฉีอึ้งไปแล้ว หลังได้สติขึ้นมา เธอก็โผเข้าไปกอดเอวของเขาไว้แนบแน่นอย่างรวดเร็ว กู้จวินหลิงยกแขนขึ้นอย่างเก้อเขิน สุดท้ายเขาก็กอดเธอด้วยท่าทางเงอะงะไม่เป็นธรรมชาติอย่างถึงที่สุด

—————-

กู้จวินหลิง (จบ)