อวี่ฉีมาถึงโลกในนิยายเรื่องใหม่ตอนบ่ายสามโมง

สถานที่เริ่มต้นของภารกิจครั้งนี้เป็นสถานพักฟื้นผู้ป่วยจิตเวชที่มีบรรยากาศสวยงามเงียบสงบแห่งหนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นมา อวี่ฉีก็เห็นนายแพทย์หนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม อีกฝ่ายสวมเสื้อกาวน์เข้ารูปเนี้ยบกริบ กำลังมองเธอด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้มเหนียมอาย ใบหน้าหลังกรอบแว่นของเขานั้นพูดได้เต็มปากว่าหล่อเหลาหมดจด ทั้งยังดูมีบุคลิกอบอุ่นและเรียบร้อย

“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนคุณแล้วนะครับ คุณกู้” น้ำเสียงใสกระจ่างและนุ่มนวลนี้ช่างเข้ากันกับสีหน้าที่แฝงความเกรงอกเกรงใจของอีกฝ่าย อานุภาพของมันรุนแรงพอที่จะออลคิลหัวใจของเหล่าสาวน้อยได้ในเสี้ยววินาที แต่ทว่าน่าเสียดายที่ในเวลาสั้น ๆ นั้นอวี่ฉีกลับตระหนักขึ้นมาได้ว่า…เขาไม่น่าจะใช่เป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้

พวกตัวร้ายไม่มีทางมีรอยยิ้มที่ใสบริสุทธิ์ขนาดนี้ได้แน่ เพราะพวกเขามักคลุกคลีอยู่กับหายนะต่าง ๆ ไม่ก็ข้องเกี่ยวกับการทำลายล้างอยู่เสมอ ดังนั้นจะมากน้อยยังไง พวกเขาก็ต้องเหลือความมืดหม่นแฝงอยู่ในดวงตาบ้าง หากพูดให้น่าฟังขึ้นสักหน่อยก็ต้องบอกว่า พวกตัวร้ายน่ะมีดวงตาลุ่มลึกเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่มีทางที่จะมีรอยยิ้มสะอาดหมดจดไร้มลทินอย่างนี้ได้หรอก

จากนั้นไม่นานข้อมูลก็ถูกส่งมาที่สมองของอวี่ฉี ซึ่งเป็นไปอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด แพทย์หนุ่มคนนี้มีชื่อว่า ‘ชีซิน’ เป็นพระเอกในนิยายต้นฉบับควบตำแหน่งแพทย์ประจำสถานพักฟื้นผู้ป่วยจิตเวช หรือถ้าให้เรียกกันตรง ๆ เขาก็คือจิตแพทย์คนหนึ่งนั่นเอง

นางเอกของนิยายเรื่องนี้เป็นแค่เด็กสาวธรรมดาที่มีจิตใจดีงามและใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง ชื่อว่า ‘เซี่ยโม่โม่’ สมัยมัธยมปลายเธอแอบรักเดือนประจำโรงเรียนอย่างชีซินผู้โดดเด่นทั้งคุณธรรมและการเรียนมาโดยตลอด จนกระทั่งใกล้จะจบการศึกษาเธอถึงได้สารภาพรักกับอีกฝ่ายแล้วสมหวังในที่สุด

แต่ทว่าภาพอันสวยงามนั้นไม่อาจอยู่ได้นาน ทั้งสองอยู่ด้วยกันได้ไม่ทันไรก็ต้องแยกย้ายกันไปเพื่อทำตามเป้าหมายของตนเอง เซี่ยโม่โม่เข้าเรียนคณะภาษาจีนของมหาวิทยาลัยบี ส่วนชีซินนั้นเข้าเรียนที่คณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเอฟ ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงค่อย ๆ ขาดการติดต่อกันไป กว่าจะได้พบกันอีกครั้งก็ผ่านไปหลายปีแล้ว

เมื่อได้เจอกัน เรื่องทุกอย่างก็เริ่มเข้าสู่ทำนองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นยังเหมือนเดิม ตัวเธอต่างหากที่เปลี่ยนไป แต่หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้ฝ่าฟันเรื่องราวหักมุมเหนือความคาดหมายหลายอย่างที่ตามมาเป็นชุด และในตอนจบพวกเขาก็ได้ครองคู่กันไปตามระเบียบ

ส่วนเหตุผลที่ทำให้พระเอกตั้งมั่นตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยแพทย์อย่างไม่ลังเลนั้น มีสาเหตุมาจากพี่ชายของเขาที่ชื่อว่า ‘ชีเจ๋อ’

ถึงพวกเขาจะมีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่ในตัว แต่นิสัยใจคอของสองพี่น้องนั้นกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว ถ้ากล่าวว่าชีซินคือเปลวไฟอันโชติช่วงที่มอบความอบอุ่น ชีเจ๋อก็คงเป็นห้วงทะเลลึกอันมืดมนและเย็นยะเยือก

เมื่อเทียบกับน้องชายอย่างชีซินที่ว่านอนสอนง่ายและรู้ความมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ชีเจ๋อผู้เป็นพี่ชายนั้นกลับไม่เคยทำตัวให้คนอื่นรู้สึกดีด้วยเลยสักนิด

เนื่องจากชีเจ๋อมีพรสวรรค์และสติปัญญาที่เหนือกว่าใครมาตั้งแต่เด็ก ทำให้พ่อแม่ เพื่อนบ้าน และเหล่าอาจารย์ต่างพากันยอมรับว่า เขาคือเด็กอัจฉริยะที่หาได้ยากคนหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าเด็กเรียนดีทุกคนจะเป็นที่รักของคนอื่นเสมอไป เพราะชีเจ๋อนั้นฉลาดเกินไป เขาจึงเย่อหยิ่งอวดดีจนน่าหมั่นไส้ และมักถือดีว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น เด็กชายชอบทำตัวปลีกวิเวก ซ้ำยังเถียงกับคุณครูอยู่บ่อยๆ แม้แต่จับกลุ่มพูดคุยกับเพื่อนนักเรียนสักครั้งยังไม่เคยทำ เอาแต่คิดว่าตัวเองหัวดีกว่าชาวบ้านตลอดเวลา อีกทั้งเวลาอยู่ต่อหน้าคนรอบข้าง เขาก็ยังชอบโอ้อวดว่าตัวเองเหนือกว่าใคร จนทำให้คนอื่นๆ พากันเหม็นขี้หน้าเขาไปกันหมด

ผลที่ตามมาก็เลยแทบไม่ต้องเดา ตั้งแต่เล็กจนโต ชีเจ๋อครองตำแหน่งคนที่เพื่อนร่วมห้องไม่ชอบขี้หน้าที่สุดตลอดกาล กระทั่งเพื่อนเป็นตัวเป็นตนสักคนเขาก็ยังไม่มี

เขาต่างจากตัวละครฟางจ้งหย่ง[1] ในนิทานที่เกิดมาเป็นอัจฉริยะ แต่เพราะได้รับการศึกษาไม่เพียงพอจนทำให้พรสวรรค์ที่มีถดถอยและกลายเป็นคนธรรมดาไป ในขณะที่ความเฉลียวฉลาดเหนือคนทั่วไปของชีเจ๋อติดตัวเขาอยู่เสมอไม่เคยห่าง ในปีที่เขาอายุสิบแปดก็ได้รับปริญญาบัตรระดับปริญญาตรีด้านธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยบราวน์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งยังได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้ช่วยจากผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีพิบัติภัยที่มีอิทธิพลคนหนึ่งอีกด้วย

เดิมทีปฐมบทของหนึ่งในบันทึกอันยิ่งใหญ่ฉบับนี้ควรเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทว่าไม่มีใครคาดคิดเลยว่า สองปีต่อมาชีเจ๋อจะเดินทางกลับประเทศอย่างกะทันหัน เมื่อกลับมาถึง เขาก็ไม่ยอมอธิบายอะไรให้คนในครอบครัวรู้สักคำ เอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้องทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมออกไปพบปะพูดคุยหรือสังสรรค์เข้าสังคมกับใครหน้าไหนทั้งนั้น เสมือนตัดขาดการติดต่อจากโลกทั้งใบไปแล้วอย่างสมบูรณ์

ความผิดปกติตำตาแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขามีปัญหาอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากชีเจ๋อเริ่มขังตัวเองได้ไม่นาน ชีซินก็พบว่าพี่ชายของตนกลายเป็นคนอ่อนไหวง่าย ขี้สงสัย จุกจิก และขี้อิจฉา ชีเจ๋อเอาแต่ระแวงว่าคนอื่นจะวางแผนฆ่าตัวเองไปทั่ว จนไม่ไว้ใจทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวราวกับคนวิกลจริต

จุดร่วมเพียงอย่างเดียวของสองพี่น้องคู่นี้คือรูปร่างหน้าตาและพรสวรรค์อันโดดเด่นเหนือใคร เพียงแต่ชีซินไม่ได้เปิดเผยความสามารถที่มีให้คนอื่นเห็นมากเท่าพี่ชายของเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังครองบัลลังก์อันดับหนึ่งของชั้นปีอย่างมั่นคงเรื่อยมาตั้งแต่เล็กจนโตอยู่ดี หลังจากนั้นชีซินก็เริ่มค้นคว้าข้อมูลอ้างอิงจำนวนมากด้วยความสามารถที่มี จนในที่สุดเขาก็มั่นใจแล้วว่าชีเจ๋อมีอาการหลงผิด[2] ขั้นร้ายแรง

อาการป่วยแบบนี้ถ้ายังอยู่ในระดับไม่ค่อยรุนแรง ผู้ป่วยก็ยังพอจะรับรู้ได้ว่าระบบความคิดของตัวเองมีปัญหา เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถควบคุมมันได้เท่านั้นเอง

ในกรณีของชีเจ๋อ เขาดันปักใจเชื่อไปแล้วว่ามีคนวางแผนปองร้ายตัวเองเข้าขั้นเกินเยียวยา ซ้ำยังปฏิเสธไม่เข้ารับการรักษาใด ๆ อีก เขาไม่เคยตระหนักเลยสักนิดว่าสภาพจิตของตัวเองมีปัญหา

เรื่องนี้มีผลกระทบต่อชีซินอย่างมหาศาล เพราะต่อให้นิสัยของพี่น้องคู่นี้จะแตกต่างกันคนละขั้ว แต่ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อกันนั้นแน่นแฟ้นและลึกซึ้งมาก

ตอนที่ทั้งคู่ยังเด็ก บริษัทที่ก่อตั้งโดยสองสามีภรรยาตระกูลชีเพิ่งจะเริ่มตั้งตัวได้ไม่นาน พ่อแม่ของพวกเขาจึงเอาแต่ทุ่มเทกับการบริหารธุรกิจจนไม่มีเวลามาดูแลเอาใจใส่ลูกชายทั้งสองคน แม้แต่บ้านช่องก็ไม่รู้จักกลับ ทำเพียงแค่จ้างพี่เลี้ยงเด็กมาคอยเตรียมอาหารสามมื้อในแต่ละวันให้ทั้งสอง ส่วนค่าขนมก็ยัดเอาไว้ในลิ้นชักแล้วปล่อยให้พวกเขาพี่น้องมาหยิบกันเอง ไม่เคยมาสนใจสภาพความเป็นอยู่รวมถึงผลการเรียนของพวกเขาเลยสักนิด

เพราะมีพ่อแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างนี้ ชีเจ๋อน้อยจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะแบกรับหน้าที่ดูแลน้องชายด้วยตัวเอง…ทั้งที่เขาโตกว่าชีซินแค่สองปี และยังต้องดิ้นรนเพื่อดูแลตัวเองอยู่ก็ตาม

ชีซินในตอนนั้นเป็นเด็กขี้อายมากกว่าตอนนี้ซะอีก เขาเป็นคนเงียบ ๆ พูดน้อย และชอบเก็บเนื้อเก็บตัว เอาแต่เดินตามชีเจ๋อต้อย ๆ ตลอดไม่เคยห่าง ราวกับหางน้อย ๆ ที่จะสะบัดออกอย่างไรก็สะบัดไม่หลุดสักที เพราะเขาขี้กลัวจึงทำได้แค่เพียงพึ่งพาชีเจ๋อผู้เป็นพี่ชายอย่างเต็มที่เท่านั้น

จริง ๆ แล้วตอนที่ชีซินเพิ่งเข้าเรียนใหม่ ๆ ผลการเรียนของเขาอยู่ในลำดับที่ดีกว่าคนอื่นในห้องเรียนเท่านั้น แต่เพราะมีชีเจ๋อคอยสอนการบ้านให้ฟังทุกวัน ชีซินจึงค่อย ๆ ขยับขึ้นมาเป็นที่หนึ่งของห้อง และกลายเป็นที่หนึ่งของชั้นปีได้ในที่สุด ดังนั้นถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง ชีเจ๋อก็คือคุณครูคนแรกของชีซินนั่นเอง

ก่อนชีเจ๋อจะไปเรียนต่อที่อเมริกา เรื่องที่เขาปล่อยวางไม่ลงที่สุดก็คือเรื่องของน้องชายคนนี้ โดยปกติเขาจะพูดกับพ่อแม่ไม่เกินสามประโยค ทว่าก่อนที่จะขึ้นเครื่องเขากลับกำชับพ่อแม่อยู่หลายคำ ว่าหลังจากเขาไม่อยู่แล้วต้องดูแลชีซินให้ดี ๆ

เวลานั้นไม่เคยมีใครคาดคิดเลยว่าชีเจ๋อที่พกชื่อเสียงความเป็นอัจฉริยะไปอเมริกา เมื่อกลับมาแล้วจะป่วยเป็นโรคแบบนี้ไปเสียได้ ตัวเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับลูกรักของสวรรค์ที่ร่วงหล่นมาจากก้อนเมฆแล้วตกลงกลางโคลนตมแสนตกต่ำเลยสักนิด

ฉะนั้นจึงพูดได้เต็มปากเลยว่า เหตุผลที่ชีซินเลือกเป็นจิตแพทย์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีเจ๋อเต็ม ๆ ซึ่งแน่นอนว่าหากเหตุผลมีแค่นี้ ชีเจ๋อก็คงเป็นแค่อุปสรรคที่ขวางไม่ให้พระเอกกับนางเอกได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันเท่านั้น ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลที่ทำให้ชีเจ๋อมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นตัวร้ายในนิยายเรื่องนี้ก็คือ ความเคลือบแคลงใจที่เขามีต่อนางเอกชนิดฝังรากลึกต่างหาก…สำหรับชีเจ๋อแล้วความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตหลังกลับจากอเมริกาของเขาก็คือ การที่น้องชายซึ่งเขารักที่สุดอย่างชีซินมีแฟนสาวอย่างเซี่ยโม่โม่

เรื่องราวหลังจากนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ เพราะเซี่ยโม่โม่เริ่มคบหาดูใจกับชีซินอย่างผิดเวลา เธอจึงกลายมาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในใจของชีเจ๋อไปโดยปริยาย เขามั่นใจมากว่าการที่เซี่ยโม่โม่จงใจใกล้ชิดชีซิน เพราะต้องการที่จะฆ่าเขา

เพื่อป้องกันตัวเองและช่วยเหลือน้องชายที่เขาหวงแหนไม่ให้โดนหลอก ชีเจ๋อจึงพยายามทำให้ชีซินกับเซี่ยโม่โม่เลิกกันอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาลระหว่างคู่พระ–นางเป็นเหตุ เขาจึงไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังคงเป็นก้างชิ้นใหญ่ที่สุดที่คอยขัดขวางอนาคตอันสดใสของพระเอกกับนางเอกในนิยายเรื่องนี้อยู่ดี ความขัดแย้งใหญ่หลายครั้งระหว่างคู่พระ–นางล้วนมาจากฝีมือของเขาแทบทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ชีเจ๋อจึงคู่ควรที่จะได้รับการขนานนามว่าเป็นตัวร้ายฝ่ายชายอย่างเต็มภาคภูมิ

ส่วนตัวละครที่อวี่ฉีต้องสวมบทในครั้งนี้ก็คือ ‘กู้อวี่ฉี’ พยาบาลคนหนึ่งในสถานพักฟื้นแห่งนี้ เธอหลงรักชีซินและคอยไล่ตามจีบเขาทุกวิถีทาง จึงถูกจัดให้กลายเป็นนางร้ายคนหนึ่ง

ทั้งหมดที่กล่าวมาคือข้อมูลหลักของนิยายเรื่องนี้ ส่วนประโยคที่ชีซินบอกอวี่ฉีเมื่อครู่ว่า “ต้องรบกวนคุณแล้วครับ”นั้น หมายถึงเขาหวังให้เธอคอยระวังชีเจ๋อให้มากขึ้นอีกนิด และดูแลเอาใจใส่เขามากกว่านี้อีกหน่อย…ส่วนในเรื่องของความรู้สึกนั้นคงต้องบอกว่า ชีซินเป็นพวกหัวช้าในเรื่องแบบนี้จนกู่ไม่กลับ เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าที่กู้อวี่ฉีตั้งหน้าตั้งตาสนใจเขาไปทุกเรื่อง เป็นเพราะเธอกำลังจีบเขาอยู่

ยังดีที่จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของอวี่ฉีคือการทำให้ชีเจ๋อชอบเธอให้ได้ ดังนั้นจึงถือเป็นเรื่องดีที่ชีซินไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกนี้ และสำหรับคำขอของเขา เธอยิ่งไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธ

หลังอธิบายสถานการณ์ของชีเจ๋อแบบคร่าว ๆ กับเธอแล้ว ชีซินก็พาเธอเดินไปทางห้องผู้ป่วยของชีเจ๋อ

สถานพักฟื้นผู้ป่วยจิตเวชแห่งนี้เป็นของเอกชน มาตรฐานในแต่ละด้านไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบุคลากรทางการแพทย์ต่างอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม แต่ค่ารักษาย่อมสูงลิ่วตามไปด้วย ทำให้ผู้ป่วยที่อยู่ในการดูแลของสถานพักฟื้นแห่งนี้มีไม่มากนัก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็เป็นพวกผู้ดีมีอันจะกินกันหมด จึงไม่ต้องอัดคนแปดถึงสิบคนไว้ในห้องเดียวเหมือนกับสถานพักฟื้นแห่งอื่น

กรณีทั่วไปของที่นี่ หนึ่งห้องจะอยู่กันสองถึงสี่คน แต่ชีเจ๋อนั้นเป็นกรณีพิเศษ เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะแสดงพฤติกรรมอันตรายบางอย่างออกมา ตอนที่เขาคิดว่าเพื่อนร่วมห้องวางแผนจะฆ่าเขา ดังนั้นเขาจึงถูกจัดให้อยู่ในห้องพักเดี่ยว

นี่คือสถานการณ์ที่อวี่ฉีทำความเข้าใจจากปากชีซิน ทว่าตอนที่เธอได้เห็นสภาพภายในห้องจริงจากข้างนอกประตูแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตะลึงจนพูดไม่ออก

ด้านในห้องขนาดราวสิบกว่าตารางเมตรดูเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง หน้าต่างที่ไม่สามารถเปิดออกได้มีแสงอาทิตย์ส่องผ่านมา มีเตียงที่เชื่อมติดกับพื้นตั้งอยู่กลางห้องพอดี ทุกขอบทุกมุมของเตียงถูกขัดจนกลายเป็นทรงโค้งมนทั้งหมด แล้วหุ้มด้วยผ้าฝ้ายหนา ๆ ทับ ส่วนข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ ในห้องนั้นทำจากพลาสติกทั้งหมด ขนาดวัสดุของผนังกำแพงก็ยังเป็นแบบพิเศษ

ปกติห้องแบบนี้จะมีไว้ให้ผู้ป่วยที่มีแนวโน้มจะใช้ความความรุนแรงหรือทำร้ายตัวเองพัก ดังนั้นอวี่ฉีจึงไม่สามารถเข้าใจได้ภายในเวลาสั้น ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ชีซินซึ่งอยู่ด้านข้างเห็นเธอแสดงสีหน้าเช่นนี้ก็นึกว่าเธอกำลังหวาดกลัว ก็รีบออกปากอธิบายทันที “เขาไม่ได้อันตรายขนาดนั้นหรอกนะครับ พวกเราก็ไม่ได้บังคับหรือเรียกร้องให้เขาพักอยู่ในห้องนี้ด้วย แต่เขาต้องการอยู่ในห้องพักที่ปลอดภัยที่สุดของสถานพักฟื้นเอง” แพทย์หนุ่มนวดคลึงบริเวณหว่างคิ้วอย่างติดจะจนใจ “อันที่จริงกระจกหน้าต่างบานนั้นที่คุณเห็นก็ต่างกับกระจกนิรภัยในห้องพักผู้ป่วยห้องอื่น ๆ กระจกของห้องนี้เปลี่ยนเป็นแบบกันกระสุนตามคำเรียกร้องของเขา”

เมื่อนึกถึงสิ่งที่ระบุอยู่ในข้อมูล อวี่ฉีก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “เขาคิดว่าจะมีคนแอบเข้ามาในห้องของเขา หรือไม่ก็มีคนจ้างสไนเปอร์มาลอบฆ่าเขางั้นเหรอคะ”

ชีซินยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหน้า หลังจากมองเข้าไปในห้องแวบหนึ่งก็พูดเสียงเบาว่า “ผมไปก่อนนะ ผมคงไม่ได้ตามเข้าไปพร้อมคุณ ถ้าเกิดเขาเห็นว่าผมพาคุณมา คุณอาจจะต้องเจอแบบเดียวกันกับโม่โม่ก็ได้ เขาสงสัยว่าโม่โม่จงใจใกล้ชิดผมเพราะวางแผนจะฆ่าเขาน่ะครับ”

อวี่ฉีพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ จากนั้นก็ค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปทางด้านในห้องพัก มองนิ่งไปยังคนที่นั่งเอนหลังอยู่บนเตียงและกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ เธอขอฟันธงเลยว่าเขาไม่ได้กำลังชมวิวทิวทัศน์อยู่แน่ ๆ ไม่มีใครใช้แววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงชื่นชมวิวสวย ๆ กันหรอกนะ

รูปร่างหน้าตาของชีเจ๋อคล้ายคลึงกับชีซินถึงหกเจ็ดส่วน ภาพลักษณ์ภายนอกดูดีมีการศึกษาด้วยกันทั้งคู่ ทว่าบุคลิกท่าทางกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าจะพูดให้เห็นภาพคงต้องอธิบายว่า ตอนที่มองแวบแรก ชีซินคือนักเรียนดีเด่นตามแบบฉบับ ส่วนชีเจ๋อก็คืออัจฉริยะคนหนึ่งที่ดูแปลกประหลาด

เหมือนชีเจ๋อจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาจากประตู เขาจึงหันหน้ามาประสานสายตากับอวี่ฉีอย่างแม่นยำ

อวี่ฉีคลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตร พลางมองประเมินเขาไปด้วยอย่างสงบนิ่ง รูปร่างของเขาผอมบางอย่างเห็นได้ชัด แก้มสองข้างตอบลงเป็นร่องลึกจนดูซูบผอมยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความวิตกจริตอยู่หลายส่วน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อความหยิ่งยโสและการวางท่าเยี่ยงผู้ดีของเขาอยู่ดี

แววตาเยือกเย็นคมกริบของเขาในตอนนี้ตัดกับสีหน้าที่ซีดเซียวยิ่งกว่ากระดาษอย่างชัดเจน เขาไม่ได้ซีดเซียวจากความอ่อนล้า แต่มันเกิดจากการที่ตัวเขารู้สึกตื่นตัวตลอดเวลาจนนอนไม่พอมาเป็นเวลานานต่างหาก…ชีเจ๋อคงไม่ได้พักผ่อนดี ๆ ติดต่อกันมาหลายวันแล้ว

และในขณะที่เธอกำลังสังเกตเขาอยู่นั้น เขาเองก็กำลังประเมินเธออยู่เช่นกัน สายตาที่มีอำนาจทะลุทะลวงนั้นคล้ายจะเจาะผ่านไปยังจิตใจของผู้คนได้ มันพุ่งตรงเข้ามาในดวงตาของเธอราวกับกำลังตัดแบ่งออกเป็นส่วน ๆ เพื่อวิเคราะห์ว่าภายในนั้นกำลังซุกซ่อนแผนร้ายไว้หรือไม่

[1] ฟางจ้งหย่ง ตัวละครในงานประพันธ์เรื่องหนึ่งของหวังอันสือ

[2] อาการหลงผิด เป็นอาการทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่คิดว่ามีคนปองร้ายตัวเองตลอดเวลา