แสงอาทิตย์สีทองยามบ่ายส่องผ่านเข้ามาในห้องที่ค่อนข้างโล่งกว้าง ปกคลุมร่างเงาอันผอมแห้งของชีเจ๋อไว้ภายใต้ลำแสงอันอบอุ่นและน่าหลงใหล ทำให้สีหน้าที่ติดจะแข็งกระด้างของเขาดูนุ่มนวลลง

อวี่ฉีเมินสายตาตรวจสอบของเขาที่จ้องนิ่ง ๆ อยู่บนร่างของเธอ แล้วหมุนตัวไปปิดประตูห้องอย่างไม่ใส่ใจ ในตอนที่เธอกำลังเดินไปหาเขา โทนเสียงบาริโทนทุ้มต่ำก็พลันดังขึ้นมาภายในห้อง “เธอคือพยาบาลที่มาใหม่…” เสียงของเขาให้ความรู้สึกเหมือนเวลาได้เห็นสีน้ำหมึกที่แผ่ย้อมลงบนกระดาษเซวียนจื่อ[1] สีขาวชั้นแล้วชั้นเล่า ฟังแล้วซับซ้อนยากจะอธิบาย

เขาชิงพูดก่อนเธอ คำพูดที่เขาพูดเป็นประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถาม ตอนพูดก็เอาแต่จ้องตาเธอเขม็ง ตรึงสายตาไว้ไม่มีว่อกแว่ก เห็นได้ชัดว่าเขาชอบที่จะแสดงอำนาจเหนือกว่า และต้องการที่จะคุมสถานการณ์รอบตัวให้อยู่หมัด

อวี่ฉีเดินไปหยุดตรงหน้าเตียงผู้ป่วยของเขา หลังจากที่แนะนำตัวกับเขาอย่างง่าย ๆ รอบหนึ่ง เธอก็เผยรอยยิ้มเป็นมิตรอย่างเหมาะสมตามสิ่งที่บุคลากรทางการแพทย์เพิ่งได้รับการบรรจุคนหนึ่งพึงมีต่อผู้ป่วย “คุณเรียกฉันว่าเสี่ยวกู้ก็ได้ค่ะ”

เป็นไปตามข้อมูลเขียนไว้ไม่มีผิด ชีเจ๋อเป็นคนที่เข้าสังคมไม่เป็นจริง ๆ เขาได้ยินเธอพูดแล้วแท้ ๆ กลับยังเอาแต่เฉยเมยมองเธออยู่อย่างนั้น ไม่มีรอยยิ้มหรือการพยักหน้าตอบอะไรทั้งสิ้น เหมือนไม่ตระหนักเลยสักนิดว่า ในสถานการณ์แบบนี้ควรโต้ตอบอะไรสักอย่างกับฝ่ายตรงข้ามบ้าง

อวี่ฉีรู้สึกจนใจเล็กน้อย เธอได้แต่ลองสุ่มหัวข้อขึ้นมาพูดคุยสักเรื่อง “ดูเหมือนเช้านี้คุณจะไม่ได้ไปเข้าร่วม ‘จิตบำบัดกลุ่มบ[2]’ ที่ห้องกิจกรรมนะคะ” ‘จิตบำบัดกลุ่ม’ พูดง่าย ๆ ก็คือการบำบัดด้วยกิจกรรมความบันเทิง โดยมีกิจกรรมหลักเป็นการให้เหล่าพยาบาลร่วมร้องเล่นเต้นรำไปกับผู้ป่วย หรือไม่ก็เล่นกีฬาอย่างการตีปิงปอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูอาการของผู้ป่วย

ชีเจ๋อยังคงไม่ตอบอะไรเช่นเคย สายตาที่มองมาทางเธอนั้นแฝงไปด้วยความหวาดระแวงและตื่นตัวที่แทบมองไม่เห็นเอาไว้

เดิมทีอวี่ฉีนึกว่าอย่างน้อยชีเจ๋อน่าจะอธิบายเหตุผลที่ไม่ไปสักหน่อย ขอแค่เขายินดีเปิดปากพูดออกมา เธอก็มีวิธีที่จะสานต่อบทสนทนากับเขาได้ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายดันปิดปากเงียบสนิทเลยนี่สิ

หลังจากความเงียบงันได้ผ่านพ้นไปชั่วขณะ อวี่ฉีก็สังเกตว่ามีวารสารเล่มหนึ่งวางอยู่ข้างมือของอีกฝ่าย เธอเหลือบตาขึ้นมองเขาพักหนึ่ง แล้วลองอ่านออกเสียงออกมาเบา ๆ ว่า “ธรณีวิทยาปริทัศน์” เธอเว้นช่วงพักหนึ่ง ก่อนคลี่ยิ้มพลางถามเขาว่า “วารสารทางวิชาการเหรอคะ?”

ไม่รู้เป็นเพราะว่าไปแตะโดนหัวข้อด้านวิชาการหรือเปล่า แววตาของชีเจ๋อจึงเปลี่ยนไปในทันที อวี่ฉีเพิ่งเข้าใจในตอนนี้เองว่า ‘ความรู้สึกเหนือกว่าที่ชวนให้คนเหม็นขี้หน้า’ ของเขาที่ถูกระบุอยู่ในข้อมูลมันเป็นยังไง ทั้งที่ชีเจ๋อเอนตัวอยู่บนเตียงและเป็นฝ่ายเงยหน้ามองเธออยู่ชัด ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเขาต่างหากที่มองลงมาจากจุดสูงลิบ

ชีเจ๋อเอ่ยปากถามคำถามประหลาด ๆ ข้อหนึ่งออกมา “จะประยุกต์ใช้ไอโซโทปเพื่อหาอายุทางธรณีวิทยาที่แน่นอนออกมาได้ยังไง”

อวี่ฉีมองเขาสักพัก แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรคำถามนี้ถึงโผล่ขึ้นมาได้ แต่เธอก็ยังลองตอบกลับไปว่า “ใช้กฎการสลายตัวของไอโซโทปกัมมันตรังสีมาหาค่าหรือเปล่าคะ”

มุมปากข้างหนึ่งของชีเจ๋อยกขึ้นน้อย ๆ แสดงให้เห็นท่าทีสบประมาทตามแบบฉบับดั้งเดิมของตัวเอง “ขอแค่เป็นคนที่สมองไม่มีปัญหาก็ต้องรู้กันทั้งนั้นนั่นละ คำตอบที่ฉันต้องการคือสูตรเป๊ะ ๆ สูตรเดียวแค่นั้นเองเถอะ” เขาชี้ให้เห็นจุดนี้ด้วยท่าทางเสียดสี แล้วท่องออกมาโดยไม่มีสะดุดสักคำว่า “t =(1/λ)1n(1+D/N) นี่ต่างหากถึงจะเป็นคำตอบที่ได้มาตรฐาน”

ถ้าหากที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโต นิยามที่เขาใช้เป็นมาตรฐานวัดสมองคนอื่นว่ามีปัญหาไหมจะสูงขนาดนี้แล้วละก็ เรื่องที่เขาไม่มีเพื่อนเป็นตัวเป็นตนสักคนมาตั้งแต่ยังเด็กก็เข้าใจได้ง่ายสุด ๆ อวี่ฉีมองเขาโดยไม่พูดอะไรสักพัก ก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ขอบคุณค่ะ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว”

ชีเจ๋อไม่เข้าใจความนัยคำพูดประโยคนี้ของเธอเลยสักนิด เขายังคงพูดพล่ามถึงวิธีคิดที่ต่างจากชาวบ้านต่อ “นี่เป็นแค่ความรู้ทางธรณีวิทยาขั้นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น แค่นี้เธอยังตอบไม่ถูก งั้นก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเธอไม่มีทางอ่าน ‘ธรณีวิทยาปริทัศน์’ รู้เรื่อง…ถึงฉันจะเห็นว่ามันเป็นแค่วารสารที่มีความรู้ดาด ๆ เล่มหนึ่งก็เถอะ”

อวี่ฉีเพิ่งตระหนักได้เดี๋ยวนี้เองว่า คำถามที่เขาโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยข้อนั้น มีไว้เพื่อทดสอบว่าเธอมีคุณสมบัติพอที่จะอ่านวารสารที่เธอถามออกไปส่ง ๆ เล่มนั้น หรือวินาทีนี้อวี่ฉีไม่รู้ว่าเธอควรหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี

“ฉันแนะนำให้เธอไปอ่านพวกหนังสือที่เหมาะกับสติปัญญาและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเธอจะดีกว่า แล้วควรจะเป็นหนังสือที่ค่อนข้างเข้าใจง่ายก่อน อย่างพวก ‘ศิลาวิทยา’ ‘ธรณีวิทยาโครงสร้าง’ ‘ปฐพีวิทยา’ ‘พื้นฐานโลกวิทยา’…”

ขณะที่เขากำลังร่ายรายชื่อหนังสือเล่มที่สิบเอ็ดโดยไม่หยุดพัก อวี่ฉีก็ตัดบทเขา “ฉันไม่ได้สนใจเรื่องธรณีวิทยาค่ะ” เธอผ่อนน้ำเสียงให้นุ่มนวลลงเล็กน้อย “แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะ”

ชีเจ๋อหยุดพูดก่อนจะมองมาทางเธอด้วยความไม่เข้าใจ คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันน้อย ๆ “เธอไม่สนใจ แล้วจะถามฉันเรื่อง ‘ธรณีปริทัศน์‘ ไปทำไม”

อวี่ฉีเริ่มจะเข้าใจเกี่ยวกับวิธีคิดและความเข้าใจที่ต่างจากคนทั่วไปของชีเจ๋อในระดับหนึ่งแล้ว เธอมองเขาแวบหนึ่งแล้วตอบกลับไปอย่างสงบนิ่งสุด ๆ ว่า “ฉันแค่กำลังลองหาหัวข้อที่คุณน่าจะสนใจมาคุยสักเรื่องก็เท่านั้นเองค่ะ”

“หาหัวข้อคุยที่ฉันน่าจะรู้สึกสนใจ…” ชีเจ๋อขมวดคิ้วพร้อมกับทวนคำพูดของเธอซ้ำ ความหวาดระแวงผุดขึ้นมาภายในแววตาอันดำมืดของเขาอีกครั้ง ก่อนจ้องเขม็งมายังเธอ “เธอมีเป้าหมายอะไร”

แม้จะถูกเขาจ้องด้วยสายตาเช่นนี้ อวี่ฉีก็ไม่สะทกสะท้าน จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนตั้งใจชักนำให้เขาคิดและถามคำถามนี้เอง เหมือนที่เขาว่ากันว่า หากจะสร้างสิ่งใหม่ก็ต้องทำลายของเก่าให้ได้เสียก่อน

เทียบกันแล้ว ถ้าต่อไปต้องถูกเขาสงสัยอย่างไม่มีที่มาที่ไปจนต้องห่างเหินกันไปในตอนท้ายแล้วละก็ สู้ปลุกความเคลือบแคลงใจในตัวเขาขึ้นมาเองก่อน แล้วค่อยขจัดปัดเป่ามันออกไปด้วยตัวเอง ให้เขาได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับเธอเองตั้งแต่แรกยังจะเป็นการดีกว่า

ด้วยเหตุนี้เอง นักแสดงดีเด่นตลอดกาลอย่างเธอจึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ “ฉันจะมีเป้าหมายอะไรได้ล่ะคะ พยาบาลทุกคนก็ต้องคิดทุกวิถีทางเพื่อพูดคุยกับพวกคุณอยู่แล้ว มันมีประโยชน์ในการฟื้นฟูค่ะ”

สิ่งที่เธอบอกมีความหมายเป็นไปตามนั้นจริง ๆ การพูดคุยกับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องที่แพทย์และพยาบาลทางจิตเวชจำเป็นต้องทำ

ประกายแสงแห่งความสงสัยภายในดวงตาของชีเจ๋อค่อย ๆ จางลงทีละน้อย ก่อนจะเถียงอย่างหนักแน่นว่า “ฉันไม่ได้มีปัญหาทางจิตสักหน่อย ฉันไม่ต้องการคำปรึกษาทางจิตวิทยาอะไรทั้งนั้น”

อวี่ฉีเลิกคิ้ว “จริงเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นจะพิสูจน์ยังไงดีล่ะ”

ชีเจ๋อขมวดคิ้ว ภายในดวงตาอันมืดมิดวาววับไปด้วยประกายแห่งความหลักแหลมและเยือกเย็น “ถ้าเธออยากตัดสินว่าคนคนหนึ่งมีความผิด เธอก็ต้องเอาหลักฐานที่ยืนยันว่าเขาเคยทำความผิดออกมา ไม่ใช่ไปเรียกร้องให้เขาพิสูจน์ว่าตัวเองไม่มีความผิด…” เขาเงียบลง แล้วถามด้วยท่าทีติดจะงุ่นง่าน “เธอเข้าใจความหมายของฉันไหม”

“คุณกำลังจะบอกว่า ถ้าฉันคิดว่าคุณมีปัญหาทางจิต ฉันก็ควรคิดหาวิธีเอาหลักฐานมาพิสูจน์เรื่องนี้ ไม่ใช่ไปเรียกร้องให้คุณมาพิสูจน์ว่าตัวเองไม่มีปัญหา” อวี่ฉีคลี่ยิ้มพลางมองเขา หรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนกล่าวชมอย่างพอเหมาะพอควร “แต่ถ้ามองจากเรื่องเซนส์ด้านตรรกะแล้ว คุณก็มีดีกว่าคนทั่วไปจริงๆ นั่นแหละค่ะ”

เขาเหลือบตาที่สงบนิ่งราวกับผืนน้ำไร้ระลอกคลื่นขึ้นมามองเธอ แล้วแสดงสีหน้า ‘เหนือกว่าที่ชวนให้คนเหม็นขี้หน้า’ ออกมาอีกครั้ง “ไม่ใช่มีดีกว่าคนทั่วไป” เขาเหยียดยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยทั้งที่ยังคงตีสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วกล่าวแฝงร่องรอยความดูถูกจาง ๆ “แต่ห่างชั้นจนเทียบไม่ติดเลยต่างหาก”

ดีมาก ดูเหมือนว่าเรื่องที่เขา ‘รู้สึกว่าตัวเองมีสมองเหนือชั้นกว่าคนทั่วไปตลอดเวลา’ ซึ่งถูกระบุเอาไว้ในข้อมูลจะถูกต้องตรงเผง อวี่ฉีจึงได้แต่พูดด้วยความจนใจว่า “ก็ได้ค่ะ ห่างชั้นจากคนปกติส่วนใหญ่จนเทียบไม่ติดเลย”

“เดี๋ยวก่อน” เขาเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าพูดจากมุมมองด้านภาษาศาสตร์แล้ว ตอนที่เธอเน้นคำว่าคนทั่วไป มันก็มีค่าเท่ากับว่าเธอแยกฉันออกจากคนทั่วไป เป็นคนสองกลุ่มที่แตกต่างกันอยู่แล้วสินะ”

อวี่ฉีพูดอะไรไม่ออก จนกระทั่งได้ยินประโยคถัดมาของอีกฝ่าย “ฉันคิดว่าการใช้คำของเธอมันกำกวมไปหน่อย งั้นฉันจะให้สิทธิ์ในการถอนคำพูดนั้นกับเธอก็แล้วกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสูงส่งราวกับตัวเองกำลังให้ความอนุเคราะห์เธออยู่ ท่าทางเหมือนกับกำลังอนุญาตให้อวี่ฉีได้แก้ไขความผิดพลาดเรื่องการแสดงออกทางคำพูดของตัวเอง ทั้งยังไม่ได้ตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่อวี่ฉีจะแยกให้เขาไปอยู่ในกลุ่มคนไม่ปกติเลยแม้แต่นิดเดียว

อวี่ฉีมองเขาเงียบ ๆ สักพัก สุดท้ายก็เลือกที่จะหลบเลี่ยงคำถามข้อนี้ “ถึงเวลาแล้วค่ะ ฉันต้องไปเดินตรวจตรงทางเดินแล้ว”

ในขณะที่เธอหมุนตัวเดินออกไปนั่นเอง ชีเจ๋อก็ส่งเสียงเรียกเธอ “คุณพยาบาลกู้”

อวี่ฉีหยุดฝีเท้าแล้วหันตัวกลับมา เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางเหมือนแปลกใจ “มีอะไรคะ?”

ชีเจ๋อไม่ได้บอกจุดประสงค์ที่เรียกให้เธอหยุดในทันที แต่กลับใช้แววตาแปลกประหลาดแบบหนึ่งจดจ้องมองเธออยู่สักพัก ราวกับกำลังชั่งใจอะไรบางอย่างอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงกดเสียงให้เบาลงและใช้น้ำเสียงตึงเครียดทั้งยังจริงจังอย่างถึงที่สุดพูดขึ้นมาว่า “ฉันเชื่อใจเธอได้หรือเปล่า”

อวี่ฉีชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ “ต้องได้อยู่แล้วสิคะ มีอะไรหรือเปล่า”

เขาเงียบ พลางใช้สายตามองประเมินเธอตั้งแต่หัวจดเท้ารอบหนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น “รอแป๊บนึง ขอฉันคิดทบทวนอีกที”

ราว ๆ สามสิบวินาทีต่อมา ชีเจ๋อก็พึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองเบา ๆ ประโยคหนึ่ง เพราะเสียงของเขานั้นเบาจนแทบจะกระซิบ อวี่ฉีจึงได้ยินไม่ถนัดหูนัก แต่แค่ดูจากสีหน้าของอีกฝ่ายก็พอที่จะตัดสินได้ว่า เนื้อหาในคำพูดนั้นน่าจะเป็นคำพูดเรียกบาทาจำพวก ‘ในสถานการณ์ที่ไม่มีขนมเค้กก็มีแต่ต้องใช้หมั่นโถวแก้ขัดไปก่อนละนะ’ อะไรประเภทนั้น

หลังจากโน้มน้าวตัวเองเสร็จเรียบร้อย ชีเจ๋อก็ค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมองเธอ “ถึงความสามารถของเธอจะมีจำกัด แต่ฉันก็ยังหวังว่าเธอจะช่วยฉันสักเรื่องได้นะ”

——————————————————————————

[1]  กระดาษเซวียนจื่อ กระดาษทำมือที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของจีน

[2]  จิตบำบัดกลุ่ม หรือจิตบำบัดแบบกลุ่ม (group psychotherapy) เป็นรูปแบบการดูแลด้านจิตใจที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถประยุกต์ใช้ได้ง่าย ไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ เน้นปริมาณผู้รับการดูแลได้จำนวนมากขึ้นในเวลาที่จำกัด