หลังฟังเรื่องเล่าที่ถูกกดเสียงลงจนเบาหวิวราวกับกำลังส่งมอบ ‘ความลับระดับชาติ’ ของชีเจ๋อจนจบแล้ว อวี่ฉีก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “หมายความว่า คุณอยากให้ฉันช่วยจับตาดูคุณหมอชีให้คุณ เวลาที่แฟนของเขามาหาก็ต้องมาบอกให้คุณรู้ อย่างนี้ใช่ไหมคะ”

มองเผิน ๆ การตอบรับคำขอของเขา ก็ดูจะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มความประทับใจดี ๆ ได้ แต่ถ้าเธอตอบตกลงเรื่องนี้ง่ายเกินไป มันก็ดูจะขัดกับสามัญสำนึกมากเกินไปหน่อย จนอาจจะทำให้ชีเจ๋อรู้สึกตะขิดตะขวงใจเรื่องนี้ขึ้นมาก็เป็นได้…เพราะในความเป็นจริง ไม่มีพยาบาลสติดีคนไหนที่จะยอมฟังคำพูดของผู้ป่วยทางจิต แล้วไปคอยตามติดชีวิตคุณหมอให้หรอก

เพราะฉะนั้นหลังจากมองเขาพยักหน้ายืนยันคำพูดของเธอ อวี่ฉีก็ยิ้มบาง ๆ อย่างสุภาพและนุ่มนวล แล้วตอบอย่างแล้งน้ำใจออกไปว่า “เรื่องนี้ฉันช่วยคุณไม่ได้ค่ะ”

สีหน้าของชีเจ๋อพลันแข็งค้างไปในชั่วพริบตา เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วจ้องมองเธอนิ่ง ๆ ด้วยแววตาคมกริบอยู่พักหนึ่ง ราวกับกำลังมองคนทรยศไม่มีผิด “เมื่อกี้เธอเพิ่งพูดเองว่าให้ฉันเชื่อใจเธอได้”

อวี่ฉีกลั้นขำแล้วตอบไปว่า “ที่ฉันบอกคุณว่าเชื่อใจฉันได้นั้น หมายถึงให้คุณเชื่อใจความเป็นมืออาชีพในการทำหน้าที่พยาบาลของฉันต่างหากล่ะคะ ฉันคุยเล่นเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณได้ ให้คำปรึกษาทางสภาพจิตกับคุณได้ หรือถ้าเกิดคุณไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ฉันก็สามารถป้อนข้าวและตัดเล็บให้คุณได้เลยนะคะ แต่ในนี้ไม่รวมการไปสอดแนมเรื่องส่วนตัวของคุณหมอให้คุณค่ะ”

ตอนที่เธอพูดถึงเรื่อง ‘ป้อนข้าวและตัดเล็บ’ สีหน้าของชีเจ๋อถึงกับแข็งค้างและขาวโพลนไปชั่วขณะเหมือนโดนใครมาตีหัว อวี่ฉีแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วยกยิ้มมุมปากกล่าวต่อว่า “ต่อให้จะเป็นการทำเพื่อคุณหมอชีอย่างที่คุณอ้างมา แต่มันก็เกินขอบเขตงานของฉันอยู่ดีค่ะ” เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย “พูดอีกอย่างก็คือ ฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องทำเรื่องนี้ค่ะ”

หลังจากปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ชีเจ๋อก็สบตาเธอด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ถ้าอย่างนั้นเธออยากได้อะไรตอบแทน?”

ท่าทางกับน้ำเสียงแบบนี้มันใช้กับคนเจ้าเล่ห์ที่ชอบแบล็กเมล์คนอื่นชัด ๆ อวี่ฉีจำต้องย่อตัวลงด้วยความอ่อนใจนิด ๆ มาหยุดนิ่งที่ระดับสายตาเดียวกันกับอีกฝ่าย “ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อยนะคะ ฉันแค่อยากให้คุณบอกเหตุผลที่ทำแบบนี้แค่นั้นเอง ถ้าเกิดมันจำเป็นจริง ๆ ละก็ ฉันตอบตกลงแน่นอนค่ะ”

หลังอธิบายจบ เธอก็เหลือบตาขึ้นมองชีเจ๋อ แต่กลับเห็นอีกฝ่ายแข็งทื่อไปทั้งตัวทั้งที่ยังจ้องเธออยู่ ในดวงตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยประกายความตื่นตัวและตึงเครียด อวี่ฉีชะงักก่อนจะเผลอตัวหลุดปากถามไปว่า “ฉันทำให้คุณกลัวเหรอคะ”

ชีเจ๋อหดเกร็งร่างกายราวกับงูเห่าที่ถูกคุกคาม แล้วออกคำสั่งอย่างตื่นกลัว “ถอยไป เดี๋ยวนี้!”

อวี่ฉีไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอรีบลุกขึ้นแล้วถอยไปด้านหลังสองก้าว ชีเจ๋อจึงผ่อนคลายลงเหมือนกับสัญญาณเตือนภัยที่ถูกดับ

พักหลัง ๆ บางครั้งคุณหมอชีก็จะพูดถึงเรื่องนี้ให้เธอฟังเหมือนกันว่า หลังชีเจ๋อกลับมาจากต่างประเทศ เขาก็ไม่สามารถสัมผัสใกล้ชิดใครได้อีกเลยนอกจากคนในครอบครัว ทั้งเธอและคุณหมอชีจึงปรึกษาหารือกันจนสรุปผลได้ว่า เขามีอาการขาดความรู้สึกปลอดภัยขั้นรุนแรงโดยมีอาการหลงผิดเป็นมูลเหตุ แต่อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องราวหลังจากนี้ไปอีก

ปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงจนเกินไปของชีเจ๋อส่งผลต่อเธอในตอนนี้พอสมควร อวี่ฉีจึงยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับไปไหน เพราะกลัวว่าจะไปกระตุ้นต่อมอารมณ์ของอีกฝ่ายซ้ำสอง กระทั่งเสียงที่ใช้ถามก็ยังถูกกดให้เบาลงจนสุดความสามารถ “คุณโอเคไหมคะ”

ชีเจ๋อก้มหน้าลงต่ำไม่พูดไม่จา จนสีหน้าของเขาถูกผมปรกหน้าที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงบดบังเอาไว้ เขาควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติอยู่สักพัก เมื่อดีขึ้นแล้วจึงค่อยๆ นั่งตัวตรง แล้วใช้ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองเธอพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น “ฉันบอกเหตุผลกับเธอไม่ได้” เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนขมวดคิ้วเป็นปม “การรู้มากเกินไป มันไม่เป็นผลดีกับตัวเธอเอง”

อันที่จริง อวี่ฉีก็รู้สึกผิดกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่เหมือนกัน แต่พอได้ยินคำพูดนี้หลุดออกมาจากปากชีเจ๋อ เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้อีกรอบดี นี่ถ้าเธอไม่รู้เนื้อเรื่องจริงมาก่อนแล้วต้องมาเห็นเขาทำสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังแบบนี้ เธอคงทึกทักไปเองแล้วว่า เรื่องที่ชีเจ๋อเล่ามาบางทีอาจจะมีแผนร้ายซ่อนอยู่เบื้องหลังจริง ๆ ก็ได้

               เหมือนชีเจ๋อจะนึกว่าเธอยังไม่เชื่อเรื่องที่เขาบอก จึงเบนสายตาไปด้วยท่าทีติดลำบากใจ สักพักชายหนุ่มก็เลื่อนสายตากลับมาอีกครั้ง ทำท่าราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว เขาหันมาจ้องตาเธอแล้วเอ่ยเสนอขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ พวกเรามาทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกัน”

———————————-

เช้าวันถัดมา อวี่ฉียกยากับน้ำอุ่นเดินเข้าไปในห้องของชีเจ๋อ เธอมองเงาร่างของเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวปิดประตู ทิ้งเสียงเอะอะที่ดังมาจากบริเวณทางเดินด้านนอกไว้เบื้องหลัง

หลังชีเจ๋อได้ยินเสียง เขาก็หันหน้ามามองเธอ แม้นัยน์ตาคมกริบสีดำสนิทบนใบหน้าซูบซีดของเขาจะมีความเยือกเย็นหลักแหลมสักแค่ไหน ก็ไม่อาจปิดบังความอิดโรยบนใบหน้าได้อยู่ดี บริเวณใต้ตาของเขามีวงดำคล้ำสีเข้มชัดเจนจนมองแล้วชวนให้คนตกใจ

รอบนี้อวี่ฉีจดจำบทเรียนที่ได้รับจากคราวก่อนจนขึ้นใจแล้ว จึงหยุดฝีเท้าตรงบริเวณที่ห่างจากเขาไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เธอขมวดคิ้วจ้องมองรอยคล้ำ ๆ ที่เป็นวงสีเข้มใต้ตาของอีกฝ่ายชั่วครู่ก่อนจะเลิกคิ้วถาม “เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยเหรอคะ”

ทว่าชีเจ๋อกลับตอบไม่ตรงคำถามราวกับไม่ได้ยินเลยสักนิดว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่ “เธอใช้วิธีที่ฉันสอนไปเมื่อวานแล้วรึยัง”

พอชีเจ๋อพูดถึงเรื่องนี้ อวี่ฉีก็กลั้นขำพลางพยักหน้าให้คนบนเตียง “พอฉันพูดคำที่คุณสอนกับคนไข้คนนั้นปุ๊บ เขาก็ไม่ตามตื๊อฉันอีกเป็นครั้งที่สองเลยค่ะ ทั้งที่คนไข้คนนี้เจอหน้าใครก็ต้องขอแต่งงานไปทั่วแท้ ๆ ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณคาดไว้เป๊ะเลยค่ะ” พูดจบเธอก็หลุดขำพรืดออกมา เหตุการณ์ที่เธอเพิ่งเอายาไปให้ผู้ป่วยคนดังกล่าวเมื่อครู่ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง

คุณพยาบาล คุณเพิ่งมาใหม่สินะ…คุณว่าผมหน้าตาหล่อเหลาพอรึเปล่า…งั้นคุณมาแต่งงานกับผมดีไหม

ได้สิคะ แต่ปีที่แล้วฉันติดหนี้คนอื่นเอาไว้ก้อนหนึ่ง…ถ้าเกิดคุณช่วยฉันใช้หนี้ได้ละก็ ฉันจะแต่งกับคุณค่ะ

คุณติดเงินเขาอยู่เท่าไหร่

ไม่เยอะค่ะ แค่สามแสน

อย่าได้คิดว่าผู้ป่วยทางจิตจะเป็นคนโง่เชียวละ คนพวกนี้น่ะฉลาดเป็นกรด ยกตัวอย่างจากคนไข้ที่เธอจัดการคนนั้นก็ได้ หลังจากเขาได้ยินที่เธอบอกก็ไม่รอช้า รีบกลืนยาลงท้องไปในทันที จากนั้นก็หันตัวกลับลงไปนอนบนเตียง แล้วหลับตาลงทั้งที่ปากยังท่องงึมงำคำพูดที่ฟังไม่รู้เรื่องไปด้วย

คนไข้รายนี้คือคนที่เห็นผลชัดเจนจนน่าประทับใจที่สุด ส่วนคนไข้คนอื่นที่ค่อนข้างรับมือยากอีกหลายราย เธอก็รับมือตามคำแนะนำของชีเจ๋อ ปัญหาจึงค่อย ๆ คลี่คลายไปทีละส่วนอย่างง่ายดาย เพียงแต่อวี่ฉีก็ยังไม่เข้าใจอยู่นิดหน่อยว่า ชีเจ๋อรู้สถานการณ์ของผู้ป่วยพวกนั้นอย่างทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ได้ยังไง

เมื่อดึงสติกลับมา อวี่ฉีก็มองไปทางชีเจ๋อ เธอเห็นอีกฝ่ายยกมือสองข้างขึ้นกอดอก ทำท่าทางเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ เขามองเธอพร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ด้วยสีหน้าแฝงไปด้วยความภูมิใจที่เขาคิดเอาเองว่า ตัวเองเก็บซ่อนมันไว้ได้เป็นอย่างดี

อวี่ฉีเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะสรรเสริญเยินยอวิธีการอันยอดเยี่ยมของอีกฝ่ายจากใจพร้อมกับหยั่งเชิงไปด้วยอย่างละครึ่ง อย่ามาตั้งแง่จับผิดความเป็นมืออาชีพของเธอเชียวนะ ต่อให้เธอจะพูดออกมาจากใจจริงแค่ครึ่งเดียว แต่เธอก็สามารถทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเธอจริงใจเต็มร้อยได้อยู่ดี

ชีเจ๋อวางฟอร์มตีสีหน้าไม่ยี่หระ ฟังคำยกยอปอปั้นแบบไหลลื่นไม่มีสะดุดของอวี่ฉีที่ชักแม่น้ำมาไม่รู้ตั้งกี่สายจนจบอย่างอดทน เขายกมุมปากที่นึกไปเองว่าไม่มีใครจับได้ขึ้นมา จากนั้นก็กระแอมออกมาทีหนึ่ง แล้วหันมามองเธอด้วยดวงตาดำขลับที่มีความภูมิใจจนล้นทะลักออกมา แต่ใบหน้าของเขายังคงความสุขุมเยือกเย็น เสียงที่ใช้ก็เรียบนิ่งเหมือนที่ผ่านมา “เธอมีเรื่องอะไรอยากจะถามฉันไหม”

เหมือนเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าถามแบบนี้จะดูจงใจออกนอกหน้าเกินไปหน่อย จึงรีบพูดเสริมอีกประโยคตามมาติด ๆ “วันนี้ฉันอารมณ์ดี จะช่วยชี้แนะแนวทางสว่างให้เธอสักหน่อยก็แล้วกัน”

เวลานี้ดวงตาดำสนิทเป็นประกายคู่นั้นของชีเจ๋อกำลังมองเธอนิ่ง ๆ ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับสุนัขตัวโตที่กำลังรอให้คนโยนอาหารให้กินไม่มีผิด จนเธอเกือบจะคิดว่ามีหางปุกปุยงอกมากระดิกรัว ๆ อยู่ด้านหลังของเขาไปแล้ว

เมื่อต้องเจอกับแววตาเช่นนี้ของชีเจ๋อ ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อภารกิจ อวี่ฉีก็ทนขัดใจเขาไม่ลงอยู่ดี เธอขมวดคิ้วมุ่นและครุ่นคิด หลังจากนั้นพักหนึ่งก็ลองถามออกไปอย่างลังเลภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของชีเจ๋อ “คุณ…คิดวิธีพวกนี้ออกมาได้ยังไงคะ”

เหมือนเธอจะถามเขาไม่ตรงจุด ชีเจ๋อจึงเลิกคิ้วแล้วตอบอย่างรวดเร็วว่า “ก็วิเคราะห์จากเวชระเบียนของเขาไงล่ะ แค่หาจุดอ่อนจากข้อมูลพวกนั้นออกมาก็ใช้ได้แล้ว เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ยังต้องถามอีกรึไง”

ถึงอวี่ฉีจะไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องง่าย ๆ ตรงไหน แต่เธอก็จับประเด็นสำคัญในคำพูดประโยคนี้ได้ทันที “เวชระเบียนเหรอคะ? คุณไปเห็นเวชระเบียนของพวกเขาได้ยังไงกันคะ” ราวกับเธอกดโดนสวิตช์ที่ถูกต้อง อวี่ฉีรู้สึกว่าตัวเองคล้ายจะมองเห็นดวงตาสีดำสนิทของชีเจ๋อทอประกายวาบขึ้นมาในพริบตา

ชีเจ๋อเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ถึงดวงตาจะแฝงความภูมิใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่สีหน้าก็ยังแสดงออกเหมือนไม่ใส่ใจ ราวกับการทำเรื่องเหล่านี้ไม่มีอะไรสลักสำคัญทั้งนั้น “ฉันเคยแฮ็กเข้าไปในระบบของที่นี่และเห็นเวชระเบียนของทุกคนมาหมดแล้วยังไงล่ะ” เมื่อเห็นเธอเบิกตาทั้งสองข้างในเสี้ยววินาทีหลังได้ยินคำอธิบาย เขาก็ยกยิ้มมุมปากเหมือนเพิ่งได้รับคำชม ก่อนที่จะทำสีหน้าบูดบึ้งในพริบตาต่อมา “แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชีซินก็ไม่ยอมให้ฉันแตะคอมพิวเตอร์อีกเลย”

อวี่ฉีกลั้นขำสุดชีวิต เธอเบือนหน้าไปมองกำแพงสักพักกว่าจะหันกลับมาแล้วกระแอมหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ยื่นยากับน้ำในมือส่งให้เขา “กินมันสักหน่อยนะคะ จะได้หลับสบาย ๆ สักตื่น”

ชีเจ๋อขมวดคิ้ว จ้องเขม็งมายังยาเม็ดสีขาวในมือของเธอ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ค่อยๆ เหลือบดวงตาลุ่มลึกขึ้นมองเธอ “ฉันจำได้ว่าเคยบอกเธอไปแล้วนะ ว่าฉันไม่ได้มีปัญหาทางจิต”

อวี่ฉีฉีกยิ้ม เธอโกหกด้วยท่าทีสงบนิ่งและใจเย็น “ใช่ค่ะ ดังนั้นยาพวกนี้ถึงเป็นยานอนหลับทั้งหมดไงคะ ดู ๆ แล้วคุณน่ะจำเป็นต้องพักผ่อนมากทีเดียวค่ะ”

เขามองเธอแวบหนึ่ง แล้วอธิบายโดยไม่แสดงอาการใด ๆ อย่างใจเย็น “ยาตัวอื่นมีฤทธิ์ทำให้หลับก็จริง แต่สองเม็ดนี้คือริสเพอริโดน จัดอยู่ในประเภทยาต้านอาการทางจิต”

————————————