ตอนที่ 7.4 (เล่มสอง)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

หรงรุ่ย[4] 

 

อวี่ฉีไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองนี้เท่าไร กว่าจะหาตึกที่หรงรุ่ยบอกเจอจึงเปลืองแรงไปมากโข หลังจากขับรถช้า ๆ เลียบริมแม่น้ำเพื่อตามหาอีกฝ่ายอยู่สักพัก ในที่สุดเธอก็พบกับร่างสูงที่คุ้นตายืนอยู่ตรงบริเวณราวกั้น

 

จากที่เห็น เขาคงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกมาจากบ้าน ตอนนี้จึงสวมเสื้อโค้ตสีดำยาวแนบตัวอยู่บนร่าง การตัดเย็บอย่างดีและการออกแบบที่กระชับตัวนั้นขับเน้นเอวสอบของเขาให้ดูสูงเพรียวสง่า คอเสื้อพับลงจนเผยให้เห็นลายสก็อต ดูเป็นสไตล์นักเรียนนอกจากอังกฤษเช่นเคย

 

ภายใต้แสงโคมสลัวและอากาศเย็นสบายยามค่ำคืน แทบไม่มีคนเดินบนท้องถนนเลย จะมีก็แต่สายลมที่พัดผ่านมาเป็นครั้งคราวตีม้วนเศษใบไม้ให้ลอยขึ้นจากพื้นเท่านั้น

 

หรงรุ่ยยืนพิงราวกั้นริมแม่น้ำอยู่คนเดียว เขาก้มหน้าลงราวกับครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ เงาร่างสูงโปร่งที่มองจากด้านหลังนั้นดูโดดเดี่ยวไม่น้อย

 

หลังจากหาที่จอดรถได้แล้ว อวี่ฉีก็เดินเลี้ยวเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงอีกฟากหนึ่ง เธอซื้อกาแฟร้อนมาสองแก้ว จากนั้นจึงเดินทอดน่องอย่างไม่เร่งร้อนเพื่อไปหาเขา

 

ท่าทีของคนที่ยืนอยู่ดูเหม่อลอย แม้อวี่ฉีจะเดินไปยืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด เขายังคงจับจ้องไปยังผิวน้ำสีดำใต้ท้องฟ้ายามราตรีอย่างเงียบงันอยู่อย่างนั้น

 

จวบจนแก้วกาแฟอุ่นร้อนกระทบถูกหลังมือ หรงรุ่ยจึงหลุดออกจากภวังค์ เขามีท่าทีอึ้งงันเพียงครู่เดียวก่อนรับกาแฟไปถือไว้ “คุณ มาแล้วหรือ?”

 

“อืม” อวี่ฉีเท้าแขนลงบนราวกั้นแล้วมองไปยังแม่น้ำบ้าง ก่อนจะจงใจพูดขึ้นเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องราวใด ๆ “ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงตกลงใจได้ล่ะคะ?”

 

ตอนแรกเธอนึกว่าเขาจะพูดเรื่องที่ตัวเองถูกเลิกจ้างออกมา แต่ใครจะคิดว่าหรงรุ่ยกลับไม่ได้เดินตามเกมนั้นเลยสักนิด

 

“ในเมื่อมีคนยื่นเช็คส่งให้ถึงมือ ผมก็สมควรรับเอาไว้สิครับ ไม่ใช่ผลักไสมันออกไป แถมคนที่ยื่นเช็คให้ก็เป็นหญิงสาวที่หน้าตาสวยขนาดนี้…” เขาพูดด้วยเสียงราบเรียบพลางจับจ้องมองดวงตาของเธอแน่วนิ่ง ทำให้คนมองเกิดมโนภาพว่าเห็นความรักที่ลึกซึ้งขึ้นมาจากสายตาของเขา

 

อวี่ฉีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจได้ทันทีว่าเพราะอะไรเขาถึงใช้วิธีนี้ พวกผู้ชายที่ทำอาชีพนี้ต่างต้องพึ่งพาเสน่ห์ในการหาเงิน ถ้าให้ลูกค้ารู้ข่าวเรื่องที่ตัวเองถูกไล่ออก อาจทำให้เสน่ห์ลดฮวบได้ เขาถึงต้องปิดบังเอาไว้

 

สมแล้วที่เขาชื่อหรงรุ่ย ฉลาดทรงปัญญาสมชื่อจริง ๆ

 

เธอยิ้มพราย พร้อมประสานสายตากับเขา “นี่คุณกำลังชมว่าฉันสวยอยู่เหรอคะ?”

 

“ก็มันเป็นความจริงนี่ครับ”

 

“งั้นคุณเองก็หน้าตาหล่อเหลา รสนิยมดีเหมือนกัน”

 

“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ”

 

อวี่ฉียืนรับลมริมแม่น้ำเป็นเพื่อนเขาอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “คืนนี้คุณย้ายมาที่บ้านของฉันเถอะค่ะ”

 

หรงรุ่ยตกตะลึง ก่อนจะอธิบายกับเธอ “สัญญาระยะยาวคือผมจะบริการคุณแค่คนเดียว ไม่ไปพบลูกค้าคนอื่นช่วงหนึ่ง แต่มันไม่ได้รวมถึงการ…”

 

“ย้ายมาเถอะค่ะ” อวี่ฉีตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณเสนอราคามาได้เลย”

 

หรงรุ่ยเงียบไปพักหนึ่ง “…ถ้างั้นผมต้องไปเก็บข้าวของก่อน”

 

“คืนนี้ย้ายมาก่อนก็ได้นี่ พรุ่งนี้ฉันจะไปเก็บของกับคุณด้วย”

 

“ลูกค้าคือพระเจ้าครับ” หรงรุ่ยยอมประนีประนอมในที่สุด

 

“ในเมื่อพระเจ้าเชื้อเชิญให้คุณไปอาณาจักรสวรรค์ของเธอ คุณก็ควรจะซาบซึ้งตื้นตันใจสิคะ”

 

หรงรุ่ยอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึก “ใช่ครับ ผมซาบซึ้งตื้นตันใจจริงๆ”

 

—————————————————

 

อวี่ฉีขับรถพาหรุ่งรุ่ยออกมาจากริมแม่น้ำ มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์บนภูเขาที่อยู่ชานเมือง ความจริงคอนโดของเธอที่อยู่ใจกลางเมืองนั้นอยู่ใกล้ที่สุด แต่เธอรู้สึกว่าสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสียงของผู้คนนั้นไม่เอื้อประโยชน์ต่อโลกของสองเราสักเท่าไร

 

ต้องเป็นสภาพแวดล้อมอย่างพวกคฤหาสน์ในเขาลึกสิถึงจะสร้างบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกว่า โลกใบนี้เหลือเพียงคุณกับฉันแค่สองคน ทั้งยังช่วยบ่มเพาะความรักให้เกิดขึ้นมาได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

 

ตอนเด็ก ๆ ฉินอวี่ฉีเคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ แต่ต่อมาคนทั้งครอบครัวก็ย้ายเข้าไปอยู่ใจกลางเมืองกันหมด เหลือเพียงแม่นมที่ยังคงอยู่ที่นั่น ในตอนที่คนบ้านตระกูลฉินกลับมาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราว ก็ได้แม่นมวัยชรานี่ละช่วยทำอาหารให้

 

ครั้งล่าสุดที่เธอกลับไปก็ผ่านมาปีกว่าแล้ว แม่นมวัยชราจึงดีใจมากกับการมาเยือนครั้งนี้ของเธอ เธอเดินตามหลังอวี่ฉีต้อย ๆ คอยถามตลอดเวลาว่า คุณหนูมีอะไรจะเรียกใช้ไหม จนทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

 

แม่นมวัยชราไม่รู้สถานะของหรงรุ่ย เธอรู้แค่ว่าคุณหนูคบหาอยู่กับหนุ่มหล่อคนนี้ ก็เลยรู้สึกปลื้มใจมาก อ้าปากทีไรก็เอาแต่เรียกว่า แฟนของคุณหนู จนหรงรุ่ยเริ่มจะเขินอายที่ถูกเรียกแบบนั้น

 

อวี่ฉีมองความครึกครื้นนั้นจากมุมหนึ่งของบ้าน พลันก็นึกขึ้นได้ว่าในคฤหาสน์หลังนี้เลี้ยงสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ชื่อเจ้าชาย เอาไว้ตัวหนึ่ง เธอจึงอดที่จะถามหามันไม่ได้ “เจ้าชายล่ะ? ทำไมไม่เห็นมันเลย?”

 

แม่นมชราร้องอุทานขึ้นมา ก่อนเอ่ยเล่าว่า ตัวเองอยู่ในคฤหาสน์คนเดียวนั้นค่อนข้างเงียบเหงา เธอเลยให้เจ้าชายไปอยู่ด้วยกันที่ห้องจะได้มีเพื่อนแก้เหงาทุกวัน พูดจบก็กล่าวขอโทษไม่หยุด และรีบบอกว่าจะไปเปิดประตูให้มันมาเจอกับเจ้านายของมัน

 

หรงรุ่ยได้ยินที่แม่นมชราพูดก็เลิกคิ้วขึ้น “เจ้าชาย?”

 

อวี่ฉีคิดใคร่ครวญแล้วจึงบอกเขาไปตามตรง “ฉันเลี้ยงสุนัขพันธุ์ซามอยด์มาหลายปีแล้วค่ะ แต่ว่าดูแลยาก ก็เลยส่งมาไว้ที่นี่แทน”

 

หรงรุ่ยพยักหน้ารับ กล่าวเสียงเบาว่า “มันจะต้องคิดถึงคุณมากแน่ ๆ”

 

“คุณรู้ได้ยังไงคะ?”

 

“ผมก็เคยเลี้ยงหมา ทุกครั้งที่กลับบ้าน มันจะดีใจจนกระโจนใส่ตัวคุณ” หรงรุ่ยยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ตอนนั้นคุณจะรู้สึกว่าคุณคือโลกทั้งใบของมัน”

 

อวี่ฉีไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน จึงไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น ได้แต่ถามออกไปเรื่อยเปื่อยว่า “แล้วทำไมตอนหลังถึงไม่เลี้ยงแล้วล่ะคะ?”

 

หรงรุ่ยชะงักไป มองดูมือของตัวเอง “มันอยู่กับผมได้ไม่กี่ปีก็จากไปเพราะป่วย…ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดจะเลี้ยงอีกสักตัวหรอกนะครับ แต่ผมยังลืมมันไม่ลง”

 

อวี่ฉีหรี่ตาลง เธอรู้สึกว่าการมาที่นี่เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดจริง ๆ ไม่แน่ว่าเจ้าชายแค่ตัวเดียวอาจจะช่วยสร้างความรู้สึกดี ๆ ได้มากกว่าเช็คสิบใบเสียอีก พอคิดมาถึงตรงนี้ก็มีเสียงครึกโครมราวกับสะเทือนฟ้าดินดังลั่นมาจากบันไดทางขึ้น

 

ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นไปมองพร้อมเพรียงกัน ก็เห็นสุนัขตัวโตขนสีขาวดั่งหิมะวิ่งลงมาอย่างร่าเริง ขนทั้งร่างเปล่งประกายราวกับเกล็ดหิมะ นี่ถ้าเจ้าปุกปุยตัวนี้ไม่ทำท่าทางกระดี๊กระด๊า รูปลักษณ์ของมันก็คงดูสูงส่งเหมือนเจ้าชายจริง ๆ ไปแล้ว

 

เจ้าชายทำตัวราวกับเป็นหัวรถไฟสีขาวคันน้อยที่กระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของอวี่ฉี ส่งผลให้ร่างทั้งร่างหงายลงไปบนโซฟา อุ้งเท้าทั้งสี่เหยียบอยู่บนหน้าท้องและต้นขาของเธอ มันพยายามมุดเข้าไปในอ้อมแขนไม่หยุด ร่าเริงสุด ๆ จนเธอรับมือไม่ไหว

 

หลังได้หรงรุ่ยเข้ามาช่วยเหลือ อวี่ฉีถึงลุกขึ้นมานั่งตัวตรงได้อย่างทุลักทุเล

 

ตอนนี้เป็นช่วงผลัดขนของเจ้าซามอยด์พอดี การกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเมื่อครู่จึงทำให้ขนสีขาวยาว ๆ หลุดร่วงติดเสื้อสีดำตัวนอกของเธอเต็มไปหมด  

 

หางตาของเธอเหมือนจะเหลือบเห็นหรงรุ่ยกำลังหัวเราะอยู่ อวี่ฉีจึงขมวดคิ้ว เอ่ยแก้เก้อ “คืนนี้คุณนอนที่ห้องข้าง ๆ ห้องนอนของฉันก็แล้วกันค่ะ” เธอชะงัก ก่อนจะกล่าวเสริมขึ้นว่า “อย่าล็อกประตูอีกล่ะ”

 

พอเห็นรอยยิ้มของเขาแข็งค้าง อวี่ฉีก็เลิกคิ้วขึ้น พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อย่าคิดไปไกลล่ะ ถ้าฉันคิดจะทำอะไรคุณจริง ๆ ฉันให้คุณนอนในห้องฉันเลยก็ยังได้” สิ้นเสียง อวี่ฉีก็ลุกขึ้นเดินไปทางบันได ก่อนที่จะก้าวขึ้น เธอก็ไม่ลืมก้มจับอุ้งเท้าของเจ้าชายยัดเข้าไปในอ้อมอกของหรงรุ่ย พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่น่าไว้ใจสุดๆ “เจ้าชาย ทักทายพ่อในอนาคตของหนูสิจ๊ะ”

 

หลังจากอวี่ฉีเดินขึ้นชั้นบนไปแล้ว หรงรุ่ยก็กุมอุ้งเท้าขนปุกปุยของเจ้าชายเอาไว้อย่างเก้อเขิน พลางจับจ้องรอยยิ้มที่ไร้พิษภัยของมันอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ไฮ พ่อหนุ่มน้อย นายนี่มีเจ้านายที่ชอบทำให้คนปวดหัวจริง ๆ นะ”

 

—————————————-

 

วันต่อมา อวี่ฉีตื่นขึ้นมาตอนหกโมงครึ่งเป๊ะ หลังล้างหน้าล้างตาเสร็จ เธอก็หาชุดออกกำลังกายจากในตู้เสื้อผ้าออกมาผลัดเปลี่ยน แล้วจึงเดินออกจากห้องมา

 

เดินไปไม่กี่ก้าว เจ้าชายที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากในมุมไหน ก็เข้ามาพันแข้งพันขาเธออย่างประจบเอาใจ

 

ใคร ๆ ต่างพูดกันว่าซามอยด์มีรอยยิ้มที่สวยที่สุดในโลก ทำให้คนเห็นจิตใจเบิกบาน อวี่ฉีหรี่ตาจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จนสุดท้ายก็ใจอ่อน พามันเดินไปด้วยกันจนถึงหน้าห้องของหรงรุ่ย ก่อนจะเคาะประตู

 

เธอรออยู่พักหนึ่ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ

 

อวี่ฉีเลิกคิ้ว และตัดสินใจไม่ทำตัวเป็นคนดีมีมารยาทรอเขาอีกต่อไป เธอเอื้อมมือกดด้ามจับประตู

 

หรงรุ่ยเชื่อฟังกว่าที่เธอคาดไว้ เขาไม่ได้ล็อกประตูตามที่เธอสั่งจริง ๆ ด้วยเหตุนี้แค่กดด้ามจับประตูลง ประตูก็เปิดออกได้ทันที

 

อวี่ฉีพาเจ้าชายเดินเข้าไปในห้อง และเห็นหรงรุ่ยยังคงหลับลึกอยู่บนเตียงตามคาด เส้นผมสีดำที่ปกติมักจัดทรงเป็นระเบียบ ตอนนี้ตกลงบนหมอนอย่างยุ่งเหยิง

 

เธอย่อตัวลงพลางลูบหัวใหญ่ ๆ ของเจ้าชาย แล้วออกคำสั่งพร้อมกับผลักมันไปทางเตียงนอน “ไปปลุกเขาสิ”

 

ปกติซามอยด์เป็นสุนัขที่มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อคืนที่เจ้าชายวอแวกับหรงรุ่ยอยู่นานสองนานนั้นเป็นสิ่งยืนยัน

 

หลังจากได้รับคำสั่ง เจ้าชายจึงส่ายหางแล้วกระโดดขึ้นไปบนเตียงอย่างเป็นมิตร ขยับขาหลังไปเหยียบอยู่บนท้องของหรงรุ่ย ส่วนสองขาหน้ากดอยู่บนไหล่ ก่อนจะจัดการเลียคางของเขาเสียยกใหญ่

 

หรงรุ่ยลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เมื่อหลบไม่พ้นจึงต้องยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาบังหน้าเอาไว้ เขาเหลือบมองไปทางประตูห้องอย่างอ่อนใจ ก็ได้เห็นอวี่ฉีในชุดออกกำลังกายยืนอยู่ที่หน้าประตูตามคาด เธอจ้องมองมาทางเขาอยู่ก่อนแล้วพร้อมมุมปากที่เหยียดยิ้มเล็กน้อย

 

หรงรุ่ยยกมือขึ้นกอดเจ้าชายเอาไว้ไม่ให้มันขยับตัวมั่วซั่ว ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแหบแห้งว่า “มีอะไรเหรอ?”

 

“มาตามคุณออกไปวิ่งตอนเช้าด้วยกัน” อวี่ฉีเอียงศีรษะตอบ

 

“วิ่งตอนเช้า?” หรงรุ่ยถามเสียงสูงเหมือนว่าตัวเองฟังผิดไป

 

“ให้เวลาคุณสิบนาที ล้างหน้าเสร็จแล้วลงไปหาฉันข้างล่างนะ”

 

 ——————————————————————————————–