เหวินเซินมิได้ตอบคำถามของสุ่ยมี่เอ๋อร์แต่อย่างใด แต่เขากลับนำนางไปทิ้งไว้ที่ครอบครัวๆหนึ่ง
“สองเดือน ข้าต้องการให้นางเรียนรู้งานหนักทุกอย่างให้เป็น จำว่า อย่าให้ถึงตาย!”
“เจ้าค่ะ!” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งพยักหน้ารับคำสั่ง
อีกฝ่ายให้เงิน ทั้งยังมอบสาวใช้เพื่อให้นางเอาไว้ใช้สอยอีกคน งานสบายเช่นนี้จะไปหาได้ที่ไหนกันล่า!
“นี่! เจ้าอย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่!”
สุ่ยมี่เอ๋อร์เมื่อเห็นว่าเหวินเซินเตรียมจะจากไป ก็รีบเร่งดึงชายเสื้อเขาเอาไว้ทันที
เหวินเซินเหลือมองาที่มือของสุ่ยมี่เอ๋อร์ที่รั้งเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าขยะแขยง จากนั้นค่อยผลักนางให้ผละออก แล้วหมุนกายจากไปโดยไม่แม้แต่หันกลับมามองด้วยซ้ำ
“นังบ้า รีบไปซักผ้าเข้าสิ!”
ยังไม่ทันที่สุ่ยมี่เอ๋อร์จะได้ตามออกไป หญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็จับนางเอาไว้พร้อมกับฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของสุ่ยมี่เอ๋อร์อย่างแรง
“อะไรก็ไม่ทำ คิดจะอยู่ที่นี่ไปวันๆโดยเปล่าประโยชน์หรืออย่างไร?”
ด้วยเพราะกินยาประหลาดเข้าไปทำให้วรยุทธืของสุ่ยมี่เอ๋อร์ถูกจำกัดเอาไว้ชั่วคราว ไม่อาจใช้การได้เลย เมื่อถูกตบหน้าเข้าอย่าแรงนางจึงล้มลงไปบนพื้นทันที
“เฮอะ คิดว่าตัวเองเป็นลูกคุณหนูผู้ดี หรือว่าอยากจะแอบขี้เกียจ?! ได้ข้าจะให้เจ้าขี้เกียจสมใจ!” หญิงวัยกลางคนหยิบไม้กวาดด้ามใหญ่ขึ้นมาตบตีสุ่ยมี่เอ๋อร์ไม่ยั้ง
‘อย่าตีข้า! อย่าตีข้าเลย!’
สุ่ยมี่เอ๋อร์นั่งจุมปุกอยุ่ที่พื้นมือกุมศีรษะขณะที่พยายามหลบหลีกไม้กวาดที่ฟาดลงมาอย่างแต็มที่ นางไม่เคยนึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ตนเองจะมีวันที่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ได้
หญิงวัยกลางคนผู้นี้ใจเ**้ยมดหดร้ายทารุณ นางใช้ให้สุ่ยมี่เอ๋อร์ทำงานทุกอย่างทั้งวันทั้งคืน หากนางทำได้ไม่ดีไม่เพียงแค่ถูกลงโทษให้อดข้าวซึ่งถือว่าเล็กน้อยเพราะนางยังต้องถูกตบตีอย่างโหดร้ายทารุณอีกด้วย
ภายใต้การอบรมที่ป่าเถื่อน สองเดือนให้หลังเมื่อเหวินเซินกลับมาอีกครั้ง จากคุณหนูสี่แห่งตระกูลสุ่ยผู้สูงส่งกลายสภาพเป็นบ่าวรับใช้เต็มตัว เป็นคนรับใช้เต็มขั้น แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องที่เอาไว้พูดกันทีหลัง
เมื่อเหวินเซินกลับไปรายงานให้แก่เหวินเหรินเจี๋ยได้รับทราบ เหวินเหรินเจี๋ยก็เหลือบมองไปยังโรงเตี๊ยมเซียนเค่ออีกครั้ง
“เหวินเซิน เจ้าไปที่หลงเหมินด้วยตัวเองสักครั้ง ไปบอกกับตี้อู่หมีเตี๋ยว่าอู๋โยวปรากฏยอดฝีมือที่มีวิชาพิษขั้นสูง ดังเช่นตันซ้ายขึ้นมาแล้ว”
“ขอรับ!” จนกระทั่งเหวินเซินเดินออกไป เหวินลั่วก็ยังคงจับตามองมายังเหวินเหรินเจี๋ยไม่เลิก
‘จากคำพูดเมื่อครู่ของนายน้อยบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสนใจใคร่รู้ในตัวอวี้เฟยเยียนยิ่งนัก แล้วเพราะเหตุใดนายน้อยถึงยังต้องไปบอกกล่าวตันวาให้ได้รู้อีก? อีกอย่างเพราะอะไรนายน้อยถึงต้องบอกว่าจื่ออวิ๋นฮูหยินเป็นชาวตันซ้ายด้วยนะ?’
‘หรือว่านายน้อยต้องการจะร่วมมือกับตันขวาต่อกรกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นและฮูหยินของเขา? ตันซ้ายเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น?’
“คาดเดามั่วซั่วอะไรอยู่!” เหวินเหรินเจี๋ยฉีกยิ้ม หน้าตาใส่ซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อย
“ข้าเพียงแค่อยากจะรู้ว่า ความสามารถของนางมีมากเพียงไหนกันแน่!”
น”ายน้อย ข้าน้อยเข้าใจแล้ว นี่ท่านต้องการนั่งชมเสือสองตัวกัดกัน!” เหวินลู่ยกนิ้วให้เหวินเหรินเจี๋ย
“ผิดแล้ว! ตันซ้ายเหามะสมที่จะเป็นเหยื่อล่อก็จริง แต่จุดประสงค์ของข้าก็เพื่อต้องการล่อตันขวาออกมา “
เหวินเหรินเจี๋ยส่ายหน้าเบาๆ
“สำหรับนาง ข้าคิดว่าหากมีกระดานให้นาง นางย่อมกระโดดได้สูงขึ้น!”
เหวินเหรินเจี๋ยกล่าวเช่นนี้ เหวินลู่ยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ว่านายน้อยของตนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ล่อตันขวาออกมา เพื่อให้พวกเข้ามาเป็นกระดานให้ฮูหยินจื่ออวิ๋นได้กระโดดได้สูงยิ่งขึ้น? หากว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ่นสามารถสยบตันขวาลงได้จริงๆขึ้นมา มิเท่ากับเป็นการสร้างอำนาจให้เขาหรอกหรือ?
‘พวกเรากับสกุลจื่ออวิ๋นเกี่ยวข้องกันอย่างไรกันแน่?’
‘พวกเรากับพวกเขามิใช่ศัตรูอยู่ตรงข้ามกันหรอกหรือ?’
เหวินลู่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“เกิดว่านางพ่ายแพ้ขึ้นมาละขอรับ จะว่าอย่างไร?”
“หากนางแพ้ขึ้นมานั่นก็หมายความว่าวิชาของนางไม่กล้าแข็งพอ——”
‘เช่นนั้นก็ไม่ใช่คนที่ข้าต้องการจะหา’
ประโยคหลังเหวินเหรินเจี๋ยเอ่ยขึ้นในใจ
กลุ่มคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่ด้านนอกของโรงเตี๊ยมเซียนเค่อเมื่อได้เห็นน้ำมือเ**้ยมโหดเด็ดขาดของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนแล้ว ก็ไม่มัวแต่โอ้เอ้อีกต่อไปแต่ละคนรีบสลายตัวอย่างรวดเร็ว ไม่นานที่ลานด้านนอกของโรงเตี๊ยมก็เงียบสงบลง เมื่อไร้ซึ่งเสียงเสียงจอกแจกจอแจให้รำคาญใจ อวี้เฟยเยียนจึงทอดถอนใจออกมาอย่างสบายใจ
เมื่อจดการสถานการณ์ตรงหน้าเสร็จเรียบร้อย พวกของอวี้เฟยเยียนจึงไปเตรียมตัวเพื่อเดินทางไปยังตันซ้าย
ทว่า ในช่วงสองสามวันนี้ดูเหมือนว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะยุ่งมากกว่าปกติ เพราะนอกเสียจากในเวลากลางคืนที่เขาจะรายงานตัวกลับเข้ามาตรงต่อเวลาแหลังจากนั้นนางและเขาก็จะได้แสดงความรักต่อกันตามเสียงเรียกร้องของหัวใจแล้ว ในช่วงเวลากลางวันแทบไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเลยทีเดียว
ครั้งนี้ซย่าโหวฉิงเทียนทำท่าทางราวกับมีลับลมคมนัยยิ่งนัก แม้ว่าจะเป็นอวี้เฟยเยียนซักถาม เขาก็ยังตอบกลับเพียงประโยคสั้นๆประโยคเดียวเท่านั้นว่า ไปเตรียมของขวัญ
“ของขวัญ?” เมื่อได้ยินดังนั้นอวี้เฟยเยียนก็ยิ้มออกมา
ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนที่ปกติออกจะเย็นชาเช่นนั้น แต่หัวใจของเขากลับใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
ญาติของท่านแม่มีมากมายเสียด้วย!
ท่านตาท่านยาย ท่านลุงสามคนและท่านป้าอีกสามคน พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของนางอีกหกคน สองในหกนั้นมีพี่ใหญ่และพี่รองที่แต่งงานและมีลูกคนละคนแล้วด้วย พี่สามหมั้นหมายแล้ว มีเพียงพี่สี่พี่ห้าเท่านั้นที่ยังครองตัวเป็นโสด ครอบครัวใหญ่ครอบครัวนี้พำนักอยู่ด้วยกัน
สรุปก็คือญาติทางท่านแม่นี้เป็นครอบครัวใหญ่นั่นเอง
ซึ่งอวี้เฟยเยียนก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักกับของขวัญของซย่าโหวฉิงเทียน เพียงแต่ว่าคราวนี้ซย่าโหวฉิงเทียนปิดปากสนิทไม่ยอมเผยอะไรออกมาเลย
แม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะใช้ทุกวิถีทาง พยายามหลอกล่อทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนเคลิบเคลิ้ม แต่เขาก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำอย่างเดียว สุดท้ายคนที่เป็นฝ่ายเหน็ดเหนื่อยจนเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกหมดเรี่ยวหมดแรงกลับกลายเป็นอวี้เฟยเยียนเสียเอง ซย่าโหวฉิงเทียนสีหน้าสุขสมมีความสุข ทว่านางกลับไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้อวี้เฟยเยียนถึงกับหมดคำพูด
การจะเดินทางไปยังตันซ้าย อวี้เฟยเยียนเองก็คิดที่จะตระเตรียมของขวัญเมื่อพบหน้าพี่น้องญาติเอาไว้เช่นกัน แต่เมื่อตี้อู่เฮ่ออี้รู้เข้าก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทั้งยังกล่าวอีกว่า การที่นางกลับไปนับเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว
แม้ว่าตี้อู่เฮ่ออี้จะบอกว่าไม่ต้อง แต่จนแล้วจนรอดอวี้เฟยเยียนก็ยังปรุงยาขึ้นมาบางส่วนเพื่อเตรียมมอบให้เป็นของขวัญสำหรับทุกคน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าประตูโรงเตี๊ยมเซียนเค่อ ทำให้ชื่อเสียงของฮูหยินจื่ออวิ่นในเรื่องของหึงหวงรุนแรงดังขจรไปไกลทั่วทั้งเมืองอู๋โยว ขณะเดียวกันที่แพร่สะพัดออกไปพร้อมๆกันนั่นก็คือเรื่องที่ว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นกลัวภรรยานั่นเอง และข่าวที่ว่าฮูหยินจื่ออวิ่นคือราชาอาวุโส ทั้งยังเป็นหมอก็ถูกเผยแพร่ออกไปเช่นกัน
เรื่องนี้ทำให้บรรดาหญิงสาวที่คิดมีใจเกินเลยต่อซย่าโหวฉิงเทียนแทบจะเป็นบ้าไปตามๆกัน แต่ก็ต้องยอมรับในที่สุด แต่ละคนจึงทยอยสงวนท่าทีเก็บหางของตัวเองให้เรียบร้อย