ผู้ที่ทำให้ความรักระหว่างหลิงเสี่ยวกับหยินชิงเฉวียนกลายเป็นชนวนของโศกนาฏกรรมตระกูลหลิง จนสมาชิกตระกูลหลิงเกือบถูกสังหารตายจนหมดเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้น ก็คือซือกงถูกับหลิงเจิ้นนั่นเอง..
หลังจากที่หลิงหยุนจับตัวซือกงถูมาได้เขาได้ให้มันลิ้มรสการถูกทรมานอย่างแสนสาหัส และมีสภาพปางตายนานกว่ายี่สิบวัน และในที่สุดซือกงถูก็ถูกหลิงเสี่ยวตัดศรีษะเป็นการชำระแค้น..
หลิงเสี่ยวลงมือสังหารซือกงถูด้วยจิตใจที่สงบนิ่งแน่วแน่ มือที่เงื้อกระบี่ฟันลงไปบนลำคอของซือกงถูนั้นไม่มีสั่นเทิ้ม หลิงเสี่ยวตัดศรีษะซือกงถูด้วยความรู้สึกราวกับฆ่าไก่ตัวหนึ่งเท่านั้น
จากนั้น..หลิงเสี่ยวก็ได้สั่งให้หลิงหยุนออกคำสั่งในฐานะผู้นำตระกูล ขับไล่หลิงเจิ้นออกจากตระกูลหลิง และจับตายเขาเท่านั้น! ทั้งสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงของหลิงเสี่ยวนั้น ไม่มีอาการสั่นสะท้านให้เห็นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความเฉยชา และสงบนิ่งเท่านั้น..
และในที่สุด..หลิงเสี่ยวก็ได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ!
หลิงเสี่ยวไม่หลงเหลือความอ่อนแอและความลังเลใจอีกเลย เขาตัดขาดจากความเจ็บปวดที่ดึงตนเองให้จมปลักอยู่กับความทุกข์นานถึงสิบแปดปี และกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อีกครั้ง!
เวลานี้หลิงเสี่ยวได้กลับมาเป็นคนที่มั่นอกมั่นใจในตัวเองและมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด เขายืนหลังตรงอย่างสง่าผ่าเผย และแสดงความแข็งแกร่งออกมาให้ประจักษ์กับสายตาของทุกคนในที่นั้น..
ก่อนจะสังหารซือกงถู..หลิงเสี่ยวยังได้ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า เขาและหลิงหยุนจะบุกเข้าไปช่วยหยินชิงเฉวียนออกมาจากพรรคมาร เพื่อที่พ่อแม่ลูกจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง..
คำพูดทั้งหมดของหลิงเสี่ยวนั้น..ไม่เพียงเป็นการประกาศต่อซือกงถู และทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น แต่ยังเป็นการย้ำกับตัวเขาเองด้วย!
ทุกคนในที่นั้นต่างก็ได้ยินคำพูดหนักแน่นนี้ของหลิงเสี่ยว!
การที่หลิงเสี่ยวเลือกที่จะผิดคำพูดว่าจะไม่พบหน้าหยินชิงเฉวียนอีกตลอดชั่วชีวิตนั้นบ่งบอกว่าหลิงเสี่ยวได้กลับมาเป็นผู้เลือกเส้นทางเดินชีวิตด้วยตัวเองแล้ว และบ่งบอกว่าเขาเลือกที่จะเป็นตัวเอง มากกว่าที่จะเป็นคนดีในสายตาของผู้อื่น..
และแน่นอนว่าผู้ที่สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของหลิงเสี่ยวได้ชัดเจนกว่าผู้ใดย่อมต้องเป็นหลิงลี่ซึ่งเป็นพ่อ..
ทันทีที่ได้เห็นหลิงเสี่ยวสังหารซือกงถูและเสนอให้หลิงหยุนออกคำสั่งสังหารหลิงเจิ้นนั้น หลิงลี่ก็รู้ได้ทันทีว่าลูกชายคนเดิมที่เคยสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้น ได้กลับมาแล้ว! หลิงเจิ้นเกรงว่าความลับของตนจะถูกเปิดโปงจึงได้หนีไปในขณะที่หลิงเสี่ยวเรียกความเชื่อมั่นทั้งหมดคืนมาได้ และกลับมาเป็นหลิงเสี่ยวที่สง่างามเช่นเดิม!
ตั้งแต่หลิงหยุนกลับเข้าตระกูลหลิงอย่างเป็นทางการหลิงห่าวหลานชายคนโตก็ถูกสังหาร ในขณะที่ลูกชายคนโตก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน แต่หลิงลี่ก็ได้ลูกชายคนที่สามกลับคืนมา อีกทั้งยังเข้มแข็งกว่าเดิมมาก..
“ชีวิตก็เป็นเช่นนี้..”
หลิงลี่คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจและพึมพำออกมา..
จู่ๆหลิงเสี่ยวก็คุกเข่าลงตรงหน้าหลิงลี่พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านพ่อ.. ลูกอ่อนแอจมปลักอยู่กับความโศกเศร้ามานานหลายปี เวลานี้ลูกได้สติแล้ว และขอสาบานว่าจะต้องสังหารหลิงเจิ้นแก้แค้นให้กับดวงวิญญาณของคนตระกูลหลิงบนสรวงสวรรค์ ขอท่านพ่อส่งเสิรมเพื่อให้ความต้องการของลูกเป็นจริงด้วย!” “ลูกสาม..เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง หลิงเจิ้นสมควรตายยิ่งนัก!”
หลิงลี่ก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับโน้มตัวลงพยุงหลิงเสี่ยวให้ลุกขึ้น“แต่เวลานี้ข้าเองก็ยังไม่พบแม้แต่ร่องรอยของหลิงเจิ้น ไม่รู้ว่าเวลานี้หนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่”
หลิงลี่เห็นว่าดึกมากแล้วเขากวาดตามองทุกคนที่ยืนอยู่ในสวนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนได้แล้ว ส่วนศพของซือกงถูนั้น ทิ้งไว้ที่นี่เดี๋ยวจะมีคนมาจัดการเอง..”
หลังจากที่ทุกคนกลับไปหมดแล้ว..จึงเหลือเพียงแค่หลิงลี่ หลิงเสี่ยว หลิงเย่ว และหลิงหยุนเท่านั้น..
“พวกเจ้าทั้งสามคนตามไปที่บ้านของข้า..”
จากนั้นหลิงลี่ก็เดินนำหน้าทุกคนไปที่บ้านของตนเอง..
“หลิงหยุน..ที่ผ่านมาปู่ลังเลอยู่หลายครั้งหลายคราว่าจะบอกเรื่องหลิงเจิ้นให้เจ้ารู้ดีหรือไม่ แต่ในที่สุดปู่ก็เลือกที่จะไม่พูด ปู่ช่างเป็นคนเห็นแก่ตัวนัก เจ้าอย่าได้ตำหนิปู่เลยนะ!”
และทันทีที่ทั้งสี่คนเข้าไปในบ้าน..หลิงลี่ก็ไม่รีรอที่จะเปิดปากพูดเรื่องที่ยังคงค้างคาใจกับหลิงหยุนออกมาทันที
หลิงหยุนนั้นเข้าใจความลำบากใจของชายชราดีจึงได้ตอบไปว่า “ท่านปู่.. ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี! พวกเราต่างก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ อย่าได้พูดถึงอีกเลย..”
แม้แต่เสือมันยังไม่กินลูกของตัวเองแล้วนี่ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งเท่านั้น มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่เข้าใจความรู้สึกของหลิงลี่
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลิงหยุนก็ยืนกรานที่จะทำในสิ่งที่ควรทำเขาตัดสินใจที่จะสังหารหลิงเจิ้น เพียงแค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น!
และการที่หลิงหยุนไม่กลับบ้านห้าวันก็เพื่อปล่อยให้ทุกคนได้มีเวลาใคร่ครวญจนตกผลึกกับเรื่องราวทั้งหมด และสามารถปรับสภาพจิตใจของเตนเองได้เท่านั้น แต่เขาไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนใจไม่สังหารหลิงเจิ้นเลย..
หลิงหยุนจำเป็นต้องทำให้สมาชิกตระกูลหลิงที่เหลือทุกคนกลับมากลมเกลียวกันดั่งเชือกเชือกฟั่น แทนที่จะคิดขัดแย้งไปคนละทิศละทาง หรือระล้าระรังตัดสินใจอะไรไม่ได้เหมือนที่ผ่านมา ไม่เช่นนั้นความต้องการของเฉินจิ้งเทียนก่อนตายก็จะสมปรารถนา..
เวลานี้ทั้งหลิงเสี่ยวกับหลิงลี่นั้นได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วจะเหลือก็เพียงแค่หลิงหย่งเท่านั้น..
หลิงลี่เห็นหลิงหยุนเข้าใจได้อย่างง่ายดายเช่นนี้จึงอดที่จะถามย้ำไม่ได้ “หลิงหยุน.. นี่เจ้าไม่ต้องการฟังคำอธิบายจากปู่จริงๆงั้นรึ”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ท่านปู่.. ท่านจะอธิบายให้ข้าฟังว่าในเวลานั้นเป็นเพราะท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนท่านพ่อก็ถูกทำลายวรยุทธ ท่านจึงต้องมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้หลิงเจิ้นงั้นรึ”
“หรือต้องการที่จะอธิบายว่า..หลังจากที่ท่านเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-8 แล้ว แต่กลับเลือกที่จะนิ่งเฉยไม่จัดการกับหลิงเจิ้น เพราะไม่ต้องการให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายในตระกูหลิงขึ้น หรือไม่ก็ทนที่จะยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้งั้นรึ”
“ท่านปู่..สิ่งที่ท่านตัดสินใจทำไปก่อนหน้านี้ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เหตุใดยังต้องอธิบายอะไรอีกเล่า”
“….”
หลิงลี่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก…
“ท่านปู่..ท่านพ่อ.. เรื่องของหลิงเจิ้นได้สร้างความทุกข์ใจให้กับพวกท่านมานานเกินพอแล้ว! ในเมื่อความจริงปรากฏขึ้นเช่นนี้ สิ่งเดียวที่ต้องทำคือสังหารหลิงเจิ้น!”
“หากจะพูดไปพวกเราคงต้องขอบคุณเฉินจิ้งเทียน..หากมันไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ตระกูลหลิงของเราก็คงจะไม่ได้กำจัดแผลในใจของทุกคน และนับจากนี้ไปตระกูลหลิงของเราก็จะไม่มีเรื่องที่ให้ผู้อื่นใช้บีบได้อีกแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว..”
หลิงเย่วที่นิ่งเงียบมานานจึงพูดเสริมขึ้นว่า“ความหมายของหลิงหยุนก็คือว่า.. หลังจากที่ตระกูลซันกับตระกูลเฉินสิ้นชื่อไปแล้ว และปัญหาเรื่องหลิงเจิ้นก็ได้ถูกแก้ไขแล้ว ย่อมหมายความว่าตระกูลหลิงของเราได้ขจัดปัญหาทั้งภายใน และภายนอกได้แล้วนั่นเอง!”
“เอาล่ะ..ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราสี่คนมาปรึกษาหารือกันดีกว่าว่า จากนี้ไปตระกูลหลิงของเราจะเดินหน้าต่อไปเช่นใด”
หลิงลี่หยุดพูดเรื่องของหลิงเจิ้นและกลับมาปรึกษาเรื่องอนาคตของตระกูลหลิงต่อไปแทน..
หลิงหยุนจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า“ท่านปู่.. เรื่องนี้ท่านกับลุงสองปรึกษาหารือกันได้เลย ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ!” “เรื่องสำคัญอะไรงั้นรึ!”หลิงลี่ถามขึ้นด้วยความสงสัย..
หลิงหยุนหันไปทางหลิงเสี่ยวพร้อมกับตอบไปว่า“ท่านพ่อสามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้ตลอดเวลา ข้าคงรอไม่ได้อีกแล้ว และจะช่วยให้ท่านพ่อพัฒนาขั้นในคืนนี้เลย!”
เวลานี้สภาพจิตใจของหลิงเสี่ยวกลับมามั่นคงแน่วแน่อย่างมากแล้วจึงถึงเวลาที่หลิงหยุนจะต้องช่วยให้เขาพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไปได้แล้ว!
หลิงลี่พยักหน้าอย่างเข้าใจจากนั้นหลิงหยุนกับหลิงเสี่ยวก็ออกจากบ้านของหลิงลี่ และมุ่งหน้าไปยังห้องฝึกวิชาตระกูลหลิงทันที
……
“ท่านพ่อ..การเข้าสู่ขั้นต่อไปนั้นไม่สำคัญเท่ากับการเปิดจุดซือไห่กลางหน้าผาก เพื่อให้จิตหยั่งรู้ถือกำเนิดขึ้น!”
ทันทีที่เข้าไปในห้องฝึกวิชาหลิงหยุนก็ได้ร้องบอกหลิงเสี่ยว และทั้งคู่ก็เริ่มเดินลมปราณภายในร่างทันที..
หลิงหยุนให้หลิงเสี่ยวกลืนโอสถชำระล้างไขกระดูกอีกครั้งและช่วยเขาขับสิ่งไม่บริสุทธิ์ออกจากร่างกาย จากนั้นจึงใช้ยันต์ธาราชำระล้างสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกมาตามรูขุมขน
และภายในเวลาเพียงแค่สั้นๆหลิงเสี่ยวก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 ได้ หลังจากนั้นหลิงหยุนจึงให้หลิงเสี่ยวดื่มน้ำลายมังกร และกลืนโอสถหลงหู่ ส่วนตัวเขาก็ได้เผาเสินหยวนกว่าร้อยหยด เพื่อที่จะช่วยให้หลิงเสี่ยวสามารถทะลวงจุดซือไห่ที่อยู่กึ่งกลางหว่างคิ้วให้ได้
และด้วยความช่วยเหลือของหลิงหยุนในที่สุดหลิงเสี่ยวก็ได้เข้าสู่ระดับที่หนึ่งขั้นพลังเหนือธรรมชาติ และจุดหยั่งรู้ที่แข็งแกร่งของเขาก็ได้กำเนิดขึ้น!
หลังจากที่หลิงเสี่ยวเข้าสู่ระดับที่หนึ่งขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้วหลิงหยุนกับหลิงเสี่ยวก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน พร้อมกับแนบฝ่ามือทั้งสองข้างของตนเข้าด้วยกัน หลิงหยุนกำลังถ่ายเทปราณเสวียนหวงในร่างกายของตนให้กับหลิงเสี่ยว เพื่อทำการชะล้างเส้นลมปราณ และสร้างความมั่นคงให้กับขั้นของเขาด้วย..
ปราณเสวียนหวงโคจรผ่านจุดตันเถียนของสองคนพ่อลูกอย่างสม่ำเสมอไม่ช้า และไม่เร็วจนเกินไป ถึงสามสิบหกรอบใหญ่..
หลังจากผ่านไปกว่าสองชั่วโมง..เมื่อมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไรแน่แล้ว หลิงหยุนนจึงได้ถอยลมปราณกลับ และค่อยๆ ถอนฝ่ามือออกมา แล้วลุกขึ้นยืนทันที
แต่หลิงเสี่ยวยังคงนั่งหลับตานิ่งและฝึกฝนต่ออีกราวครึ่งชั่วโมง แล้วจึงเปิดเปลือกตาขึ้น..
“หลิงหยุน..เจ้าช่วยข้าพัฒนาขั้นเช่นนี้ คงสูญเสียพลังปราณไปมากสินะ!”
แต่หลิงหยุนกลับส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า “ไม่เลยท่านพ่อ! เราสองคนพ่อลูกผูกพันกันโดยสายเลือด เมื่อถ่ายเทปราณเสวียนหวงให้กับท่าน ข้าเองจึงได้รับคืนกลับมาด้วย..”
และสิ่งที่หลิงหยุนพูดก็เป็นความจริง..เพราะเวลานี้เขาสัมผัสได้ว่าปราณเสวียนหวงในร่างของตนนั้น ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และกระแสของปราณเสวียนหวงที่หมุนเวียนอยู่ในร่างของตนก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังหมุนเวียนได้รวดเร็วกว่ากระแสปราณหยิน–หยางด้วย
“ท่านพ่อ..จิตหยั่งรู้ของท่านมีรัศมีครอบคลุมได้ไกลเพียงใดงั้นรึ!”
หลิงเสี่ยวเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจทันที“ราวหนึ่งพันเจ็ดร้อยเมตร ยังไม่ถึงสองกิโลเมตร!”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับเอ่ยออกมาอย่างมีความสุข“ท่านพ่อ.. ท่านน่าจะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นปฐมชี่ (ขั้นพลังชี่-1) และใกล้จะเข้าสู่ขั้นเอ้อเฉิงชี่แล้ว!”
หลิงเสี่ยวถามขึ้นทันที“หลิงหยุน.. แล้วตัวเจ้าล่ะ”
หลิงหยุนไม่ตอบ..แต่เรียกกระบี่เหินเงาธนูออกมา และใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งของตนเปลี่ยนกระบี่เหินให้มีขนาดใหญ่ แล้วกระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่ และลอยอยู่เช่นนั้น!
“นี่…”
หลิงเสี่ยวถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่งในที่สุดก็ถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “หลิงหยุน.. ผู้ใดสอนวิชาบ่มเพาะนี้ให้กับเจ้ารึ”
“ปรมาจารย์ที่โด่งดัง..เจ้าสำนักหมอสวรรค์!”
หลิงหยุนไม่สามารถบอกความจริงกับพ่อได้และก็ไม่สามารถโกหกได้เช่นกัน จึงทำได้เพียงแค่ตอบกลับไปเช่นนั้น!
หลิงเสี่ยวเห็นหลิงหยุนตอบเพียงสั้นๆแค่นั้นก็พอเดาได้ว่าเขาไม่ต้องการอธิบายอะไรมากไปกว่านี้ จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่ถามต่อ..
“ท่านพ่อ..แล้ววรยุทธของท่านเล่า ฝึกฝนไปถึงใหนแล้ว” หลิงหยุนเองก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีเช่นกัน..
“ข้าฝึกดาราคุ้มกายถึงระดับเจ็ดแล้ว..”
จากนั้นหลิงเสี่ยวก็ใช้วิชามังกรพรางร่างไปยืนอยู่ตรงหน้าหลิงหยุนแล้วจึงร่ายรำฝ่ามือสวรรค์จนจบกระบวนท่า ตามด้วยเพลงกระบี่อู๋เซียง (หรือเพลงกระบี่ล่องหน)
หลิงหยุนยืมมองด้วยความชื่นชมนั่นเพราะหลิงเสี่ยวเพิ่งได้รับการรักษาจากหลิงหยุนได้เพียงแค่ยี่สิบวัน แต่กลับสามารถฝึกฝนวรยุทธได้ก้าวหน้าถึงเพียงนี้
แต่แล้วจู่ๆเพลงกระบี่ของหลิงเสี่ยวก็เปลี่ยนเป็นดุดัน และมุ่งสังหารมากขึ้น นั่นเพราะเขากำลังร่ายรำเพลงกระบี่นวสังหารอยู่นั่นเอง!
“ท่านพ่อ..ยอดเยี่ยมมากทีเดียว! อีกไม่นานท่านคงจะสามารถเข้าสู่ระดับสองและสามของขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้แล้ว..”
จากนั้นหลิงหยุนก็เรียกกระบี่ออกมาจากแหวนจักรวาลของตนสามเล่มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ.. นี่คือดาบและกระบี่ที่ข้าได้มาจากนักบวชเลี่ยหั่ว มือกระบี่จื่อยู่ และตี๋ยั่วถัง”
“ท่านเลือกไปหนึ่งเล่มหรือจะทั้งสามเล่มเลยก็ได้ เก็บไว้ใช้สำหรับเป็นอาวุธป้องกันตัว!”
หลิงเสี่ยวทดลองกระบี่ทั้งสามเล่มในที่สุดก็เลือกกระบี่ยาวของจื่อยู่วแห่งสำนักกระบี่คุนหลุน..
จากนั้นหลิงหยุนก็เรียกโอสถหนึ่งขวดออกมามอบให้กบหลิงเสี่ยวพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ.. นี่คือโอสถของวัดเส้าหลิน เป็นโอสถที่ใช้ฟื้นฟูพลังปราณในระหว่างต่อสู้ได้รวดเร็วยิ่งนัก!”
หลิงเสี่ยวจัดการเก็บโอสถที่หลิงหยุนมอบให้เข้าไปในแหวนพื้นที่ของตนเองทันที แล้วจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“หลิงหยุน..นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าไม่กลับไปพักผ่อนเสียหน่อย พรุ่งนี้ต้องออกไปเที่ยวข้างนอกกับเพื่อนๆไม่ใช่รึ” “เอ่อ..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้าเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้ว ไม่ต้องนอนหลับพักผ่อนสี่ห้าวันติดกันก็ไม่เป็นอะไร..”
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดว่า‘ข้าตั้งใจหลีกเลี่ยงที่จะกลับเข้าบ้าน ท่านยังจะไล่ข้ากลับไปอีกงั้นรึ!’
“ท่านพ่อ..ท่านเหนื่อยแล้วรึ!”
หลิงเสี่ยวเห็นสีหน้าท่าทางของต่งยั่วหลานในวันนี้ก็ได้แต่กระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเช่นกัน จึงรีบตอบหลิงหยุนกลับไปว่า
“ไม่เลย..ข้าไม่รู้สึกเหนื่อย..”
“ในเมื่อพวกเราสองพ่อลูกยังไม่เหนื่อยก็มาเริ่มฝึกฝนกันต่อดีกว่า..”
หลิงหยุนเองก็รู้ดีว่า..หลิงเสี่ยวก็หาเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ยอกกลับไปบ้านเช่นกัน!
สองคนพ่อลูกจึงนั่งฝึกฝนเพลงหมัดเพลงกระบี่อยู่ในห้องฝึกวิชากันตลอดทั้งคืน.. อีกไม่นาน..หลิงหยุนก็ต้องออกเดินทางไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธที่เขาหลงหู่แล้ว และในช่วงเวลาที่หลิงหยุนไม่อยู่ตระกูลหลิงนั้น แน่นอนว่าผู้ที่จะเป็นกำลังหลักย่อมต้องเป็นหลิงเสี่ยวที่เวลานี้อยู่ในระดับหนึ่งขั้นพลังเหนือธรรมชาติ!
ยิ่งหลิงเสี่ยวแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใดหลิงหยุนก็จะออกท่องโลกภายนอกได้อย่างสบายใจมากขึ้น..
ทั้งคู่ฝึกฝนวิชาอยู่ในห้องจนกถึงตีห้า..สองคนพ่อลูกจึงได้ออกมาฝึกวิชาดาราคุ้มกายอยู่ด้านนอก และในเวลาเจ็ดโมงเช้าทั้งคู่จึงได้แยกย้ายกัน