บทที่ 2532 ชิงไหวชิงพริบ / บทที่ 2533 ชิงไหวชิงพริบ 2

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2532 ชิงไหวชิงพริบ

เธอนั่งอยู่ตรงนั้น ใคร่ครวญถึงความฝันอย่างเงียบๆ พบว่าลืมเลือนไปกว่าครึ่งแล้ว

จำได้เพียงรางๆ ว่าดูเหมือนตนจะได้เห็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์และเทพผู้สร้างโลกอันใดกำลังเดินหมากกันอยู่…

ความฝันนี้ยิ่งใหญ่มากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะฝันถึงบุคคลที่เลิศล้ำถึงสองคนในคราวเดียว มหัศจรรย์นัก!

ดูเหมือนสองคนนี้จะไม่ใช่แค่เดินหมากกันอยู่…

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วครุ่นคิด จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าในความฝันนี้มีเบาะแสสำคัญบางอย่างอยู่ แต่น่าเสียดายที่เธอคิดจนหัวแทบแตกแล้วก็ยังนึกอะไรไม่ออกเลย

ศักยภาพในการจดจำของกู้ซีจิ่วน่าตกตะลึงนัก เห็นผ่านตาไม่ลืมเลือนโดยแท้ แต่ความฝันนี้กลับเสมือนสิ่งต้องห้าม เลือนหายไปจากสมองเธออย่างรวดเร็วยิ่ง ราวกับมีอะไรบางอย่างครอบคลุมความฝันนี้ไว้ จากนั้นก็รีบหอบหนีไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้เธออยากไล่ตามก็ตามไม่ทัน…

เพียงแต่ ถึงแม้เธอจะจดจำบุคคลยิ่งใหญ่ในความฝันสองคนนั้นไม่ชัดเจนแล้ว ทว่ายังจดจำตี้เฮ่าได้!

เด็กคนนั้นยังแบ่งเมล็ดแตงกลิ่นนมให้เธอระหว่างชมละครด้วยกันอยู่เลย แม้ว่าเมื่อก่อนกู้ซีจิ่วจะเคยตื่นขึ้นมาแล้วลืมเลือนความฝันอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่เคยเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเช่นวันนี้เลย ราวกับความฝันนี้เป็นบางคนฝืนยัดเยียดให้เธอ ต่อมาจึงถูกริบคืนไป

เธอบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นยืน เดินวนภายในห้องรอบหนึ่ง กวาดตามองผังการจัดห้อง

หัวใจพลันสั่นไหว!

การตกแต่งของห้องนี้พิสดารยิ่งนัก กู้ซีจิ่วเคยทดลองเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนโต๊ะตั่งเก้าอี้ภายในห้องดูแล้ว ผลคือของพวกนี้ล้วนตอกตรึงอยู่บนพื้น เธอเคลื่อนย้ายไม่ได้เลย

เธอรู้ว่านี่คือค่ายกลอย่างหนึ่ง แต่เธอเพิ่งเคยเห็นค่ายกลเช่นนี้เป็นครั้งแรก ประกอบกับบนร่างไม่มีพลังเลย ย่อมแก้ไขทำลายไม่ได้

หลายวันมานี้เธอคิดหาหนทางทำลายค่ายกลนี้อยู่ตลอด ทว่าคิดไม่ออกชั่วขณะ หลังจากผ่านความฝันนั้นมาแล้วมองดูอีกครั้ง จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าค่ายกลนี้คล้ายผังดาวอย่างหนึ่ง…

เธอลืมไปแล้วว่ากลหมากนี้เป็นผู้ใดที่จัดวาง แต่เธอยังคงจดจำวิธีที่ฝ่ายตรงข้ามทำลายมันได้…

หรือว่าตำหนักนี้จะสอดคล้องกับผังดาวประหลาด?!

เธอหลุบตาลงเล็กน้อย เพียงน่าเสียดายที่บนร่างไม่มีพลังอยู่เลย มิเช่นนั้นเธอคงจะทดสอบดูแล้ว

เธอกลับไปนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง เช็ดเหงื่อบนหน้าผากเล็กน้อย ด้วยร่างกายอันปวกเปียกนี้ ต่อให้เธอทำลายค่ายกลหนีออกไปได้ ก็คงไม่มีประโยชน์อยู่ดี ยังคงต้องหาทางคลายจุดบนร่างที่ถูกผนึกไว้ออกก่อน…

ประตูทองเปิดออกอีกครั้ง อวิ๋นเยียนหลีเดินเข้ามา

หนนี้ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะนำชุดแต่งงานมาส่งให้ บังคับให้กู้ซีจิ่วสวมใส่ เขาจะดูสักหน่อย

ชุดเจ้าสาวชุดนั้นงดงามเลิศหรูจริงๆ และดูมีรสนิยมยิ่งนัก องค์ชายอวิ๋นเยียนหลีผู้นี้ช่างสุนทรียภาพนัก

กู้ซีจิ่วคงจะทราบเช่นกันว่าตนขัดขืนไม่ได้ จึงยอมลองสวมชุดเจ้าสาว เพียงแต่เขาจะต้องคลายจุดบางส่วนให้เธอ

ถึงอย่างไรตอนนี้มือไม้เธอก็ไร้เรี่ยวแรง ซ้ำชุดเจ้าสาวชุดนี้ยังซับซ้อนเป็นพิเศษด้วย ค่อนข้างเปลืองแรงในการสวมใส่ ตอนนี้เธออยู่ในสภาพนี้ กว่าจะสวมชุดเจ้าสาวได้คาดว่าคงเหนื่อยจนหมดสภาพแล้ว

อวิ๋นเยียนหลีมั่นใจในวรยุทธ์ของตน และไม่เกรงว่านางจะเล่นลูกไม้ ยื่นมือไปคลายจุดบางส่วนให้นาง

ทำให้นางกลับมีพละกำลังเท่าคนทั่วไป แต่พลังวิญญาณยังถูกผนึกอยู่

ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็สวมชุดเจ้าสาวชุดนั้นลงบนร่างแล้ว เธอเกิดมางดงาม หลังจากสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิงเข้าไปแล้ว ยิ่งดูงดงามจนน่าตะลึง

ช่วงนี้สีหน้าเธอค่อนข้างซีดเซียว แต่พอถูกชุดแดงนี้ขับเน้นแล้ว กลับทำให้ดวงหน้าเฉิดฉันของเธองดงามขึ้นมากว่าเดิม โดยเฉพาะยามที่ดวงตาคู่นั้นมองเข้ามา นัยน์ตาดำสนิทดุจบ่อน้ำลึกที่มืดมิด ต้องการจะดูดวิญญาณคนเข้าไป…

อวิ๋นเยียนหลียืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้นชั่วขณะ

ครั้งนี้เขาไม่มีเจตนาดีเลยจริงๆ เขาชอบกู้ซีจิ่ว แต่ไม่ว่าเขาจะเพียรพยายามอย่างไรก็ไม่อาจครองใจนางได้ ตอนนี้นางเป็นเชลยของเขาแล้ว

————————————————————————————-

บทที่ 2533 ชิงไหวชิงพริบ 2

ตอนนี้นางเป็นเชลยของเขาแล้ว ทั้งยังไม่มีกำลังต่อต้านขัดขืนเขาด้วย เพื่อป้องกันไว้ก่อน เขาน่าจำให้นางตกเป็นของตนอย่างสมบูรณ์เสีย…

ดังนั้นเขาจึงนำชุดเข้ามา เขานึกว่าเป็นตายอย่างไรกู้ซีจิ่วก็คงไม่ยอมเปลี่ยน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็จะบังคับเปลี่ยนให้นาง ด้วยการบังคับนี้ ก็จะสามารถ…

ผลคือ กู้ซีจิ่วไม่ได้ขัดขืนเลย บอกให้เปลี่ยนนางก็เปลี่ยน เชื่อฟังยิ่งนัก

นี่ทำให้อวิ๋นเยียนหลีรู้สึกราวกับย่ำอยู่ในอากาศ มองกู้ซีจิ่วอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม

“วันนี้เจ้าช่างว่าง่ายนัก”

ทำให้เขาไม่กล้าเผยความคิดที่จะบังคับครอบครองนางออกมาชั่วคราว

กู้ซีจิ่วกำลังมองชุดเจ้าสาวอย่างใจลอยอยู่บ้าง

ชุดเจ้าสาวชุดนี้ทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนฉายภาพซ้ำประการหนึ่ง ราวกับเมื่อนานแสนนานมาแล้วเธอก็เคยสวมชุดเจ้าสาวมาก่อน…

แววตาอวิ๋นเยียนหลีวูบไหว กำลังขัดแย้งในตัวเองอยู่ว่าจะ ‘ระเบิด’ ออกมาดีหรือไม่

จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็เงยหน้ามองเขา

“ข้าสวมชุดเจ้าสาวแล้วน่ามองมากหรือ?”

อวิ๋นเยียนหลีชะงักไปแวบหนึ่ง พยักหน้า

“อืม น่ามอง”

“น่าเสียดายที่ห้องนี้ไม่มีกระจก ข้ามองไม่เห็น”

ในน้ำเสียงของกู้ซีจิ่วแฝงความโศกหมองไว้จางๆ ถึงขั้นที่มีความผิดหวังเล็กน้อยด้วย

โลหิตอุ่นร้อนเอ่อท้นอยู่ในหัวใจอวิ๋นเยียนหลี พลั้งปากเอ่ย

“ข้าจะไปเอากระจกมาให้เจ้า”

ยามที่กล่าวประโยคนี้ออกมา ย่อมเป็นการชะลอความคิดที่จะ ‘ระเบิด’ ของเขาไว้ชั่วคราว

คงไม่อาจพลิกโฉมหน้าเป็นคนโฉดชั่วได้ในทันทีกระมัง?!

อวิ๋นเยียนหลี กล้ำกลืนความสำนึกเสียใจลงไปอย่างเงียบๆ ออกไปหากระจกแล้ว

กู้ซีจิ่วลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก อันที่จริงเธอมองเจตนาในการมาครั้งนี้ของเขาออกแล้ว ย่อมไม่ทำตัวโง่ๆ ยั่วโมโหเขา เป็นข้ออ้างให้เขาข่มเหง

แต่ว่าคนผู้นี้ก็มีความยืดหยุ่นยิ่งนัก เมื่อเขาต้องการทำเรื่องใดปกติแล้วจะมุ่งมั่นทำจนสำเร็จ ครั้งนี้ถ้าเธอต้องการจะปัดเป่าความคิดของเขาออกไปอย่างสิ้นเชิง เกรงว่าคงยากเย็นนัก…

ผ่านไปครู่หนึ่ง อวิ๋นเยียนหลีกลับมา นำคันฉ่องขนาดที่เหมาะสมกับการลองเสื้อผ้ากลับมาบานหนึ่ง ตั้งไว้ตรงหน้ากู้ซีจิ่ว

คนในกระจกรูปโฉมดุจบุปผา ความปรารถนาของอวิ๋นเยียนหลีพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เขาตัดสินใจในทันใด ยื่นแขนข้างหนึ่งไปโอบเอวบางของนาง

“ซีจิ่ว…”

ร่างกายกู้ซีจิ่วแข็งทื่อไปเล็กน้อย เธอรู้ว่าขอเพียงดิ้นรนแม้เพียงนิด คนผู้นี้จะถือโอกาสใช้กำลังข่มเหงทันที!

ราวกับเธอไม่ได้สนใจแขนของเขาและร่างกายที่เข้ามาประชิดเลย เพียงมองดูตนเองในบานกระจก พลันทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง

“น่าเสียดาย…”

“เสียดายอะไร?”

น้ำเสียงอวิ๋นเยียนหลีแหบพร่านิดๆ

“อันที่จริงข้าใฝ่ฝันจะมีค่ำคืนสมรสที่สมบูรณ์แบบมาโดยตลอด กราบไหว้ฟ้าดินจากนั้นก็เข้าห้องหอ…น่าเสียดายที่ตอนนั้นตี้ฝูอีใจร้อนเกินไป เขาถึงขั้นที่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องตกแต่งสู่ขอข้าเลยด้วยซ้ำ ค่อนข้างน่าเศร้าอยู่บ้าง…”

น้ำเสียงเธอค่อนข้างผิดหวัง “

ในความเป็นจริงแล้ว เหล่าสตรีล้วนวาดหวังถึงพิธีแต่งงานอันสมบูรณ์แบบกันทั้งนั้น…”

อวิ๋นเยียนหลีนิ่งไปแล้ว

แววตาเขาวูบไหวนิดๆ ชั่วดีเริ่มต่อตีกันอยู่ในใจแล้ว

ถ้าเขาใช้กำลัง นางจะต้องเกลียดชังเขาแน่ หากว่าค่อยครอบครองนางในคืนสมรส บางทีอาจจะนับได้ว่าเป็นการชดเชยให้นางสักหน่อย…

แต่ว่า…

“อวิ๋นเยียนหลี เจ้าอยากแต่งกับข้าจริงๆ น่ะหรือ?”

คล้ายว่ากู้ซีจิ่วจะไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ ‘ท่ามกลางความรับผิดชอบชั่วดี’ จู่ๆ ก็เอ่ยถามเขาด้วยประโยคเช่นนี้

อวิ๋นเยียนหลีชะงักไปแวบหนึ่ง

“เหตุใดจึงถามเช่นนี้?”

จากนั้นก็ยิ้มแวบหนึ่ง

“ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าเจ้าไม่รู้หรือไร?”

กู้ซีจิ่วเอ่ยเสียงเรียบ

“รู้ อวิ๋นเยียนหลี ถึงอย่างไรพวกเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน ร่วมหัวจมท้ายเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกัน ข้าจึงไม่อยากมองเจ้าชั่วช้าเกินไป”

เธอเริ่มหงายไพ่มิตรภาพแล้ว

อวิ๋นเยียนหลีเงียบงัน เขาก็นึกถึงวันคืนเหล่านั้นที่เคยผจญภัยร่วมกับนางขึ้นมาเช่นกัน…

กู้ซีจิ่วจึงนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้นเสียเลย ถอนหายใจเบาๆ

“ข้ามีสหายไม่มาก…”