บทที่ 2534 ชิงไหวชิงพริบ 3 / บทที่ 2535 ชิงไหวชิงพริบ 4

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2534 ชิงไหวชิงพริบ 3

“ข้ามีสหายไม่มาก แต่เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น ข้ายังนึกถึงตอนที่เพิ่งได้รู้จักเจ้าอยู่เลย ครั้งแรกที่ข้าขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ยังคงเป็นเจ้าที่ช่วยอธิบายให้ข้า…”

กู้ซีจิ่วเริ่มรำลึกความหลัง

อวิ๋นเยียนหลีหลุบตาลง ตอนนั้นเขายังเป็นองค์ชายเยาว์วัยที่สดใสร่าเริงมุ่งมั่นทะเยอทะยานและเปี่ยมเมตตาอยู่…

คนที่ทำให้ใจเต้นแรงเป็นครั้งแรกก็คือนาง…

นั้นคือช่วงเยาว์วัยที่หอมหวาน…

เดิมทีมือของอวิ๋นเยียนหลีคล้องหลวมๆ อยู่บนสายคาดเอวของนาง ขอเพียงออกแรงเล็กน้อย สายคาดเอวนี้ก็จะหลุดออก สายเสื้อของนางจะเปิดอ้า…

แต่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายบทสนทนาอันอบอุ่นที่หาได้ยากระหว่างเขากับนาง

เขาค่อยๆ เก็บมือกลับไป นั่งลงข้างกายนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

“ตอนนั้นเจ้าเป็นสาวน้อยทรงเสน่ห์คนหนึ่งชัดๆ เพียงแต่ชอบวางท่าเป็นผู้อาวุโส…”

กู้ซีจิ่วก็ยิ้มออกมาแล้ว

“ข้าคิดว่าพวกเจ้าล้วนอายุน้อยกว่าข้านี่”

….

พอทั้งสองคนสนทนากันเช่นนี้ บรรยากาศก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อย

พวกเขาคุยกันอย่างเจ้าคำข้าคำ กู้ซีจิ่วพยายามไม่ไปกระตุ้นเขา หัวข้อสนทนาล้วนเป็นหัวข้อที่อบอุ่นทั้งสิ้น

ทั้งสองคุยกันอยู่ถึงครึ่งชั่วยามเต็ม จู่ๆซีจิ่วก็ยิ้มแวบหนึ่ง

“เช่นนั้นเจ้าเอาผลไม้หรือของว่างอันใดมาให้ข้าหน่อยได้ไหม? ไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว ข้ารู้สึกหิวอยู่บ้าง”

อวิ๋นเยียนหลีชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ข้านึกว่าเจ้าสำเร็จเป็นเสี่ยวเซียนแล้ว จะตัดธัญพืชไม่กินอาหารแล้วเสียอีก”

เขาย่อมทราบว่าแดนอสุราแตกต่างไปจากปกติ เป็นไปได้สูงที่นางจะเกิดความหิวโหยอย่างหนัก แต่เขาก็อยากจะปราบพยศนางอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงไม่ส่งอาหารมาให้นางกินเลย ปล่อยให้นางหิวโซ

ถึงอย่างไรนางก็เป็นเสี่ยวเซียนแล้ว อดไปสักพักก็ไม่หิวตายหรอก

เพียงแต่ ในเมื่อตอนนี้นางเอ่ยขอออกมาแล้ว อวิ๋นเยียนหลีก็ไม่คิดจะสร้างความลำบากให้นางต่อไปแล้ว ลุกขึ้นแล้วออกไปอีกครั้ง

ยามที่เขากลับมาอีกครั้ง ได้ถือผลไม้หนึ่งจาน ขนมอบหนึ่งจาน ถึงขั้นที่ยังมีโจ๊กเปล่าและกับข้าวอีกสองสามอย่างกลับมาด้วย

กู้ซีจิ่วเริ่มกินเลยโดยไม่เกรงใจ

อวิ๋นเยียนหลีมองดูนาง แววตาวาววามเล็กน้อย ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดอะไรอยู่

เพียงแต่พอเธอกินไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็เอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่ง

“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะวางยาในอาหารเจ้าหรือ?”

ในปากกู้ซีจิ่วยังคงงับซาลาเปาลูกหนึ่งอยู่ ส่ายหน้าพลางตอบเสียงอู้อี้

“ไม่หรอก ข้อนี้ข้าไว้ใจเจ้าได้”

ตอนนี้เขาทำตัวดีกับเธอขนาดนี้แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้อีกล่ะ? แล้วจะอยากวางยาเธอไปทำไม?

อวิ๋นเยียนหลีเงียบไปอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อกู้ซีจิ่วกินอิ่มหนำแล้ว ได้เอ่ยถามเขา

“อยากเดินหมากสักตาไหม?”

ทักษะหมากรุกของอวิ๋นเยียนหลีไม่เลวเลย เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วเคยเล่นกับเขาอยู่สองสามตา แพ้บ้างชนะบ้าง

อวิ๋นเยียนหลีหยิบกระดานหมากรุกที่พกติดตัวออกมา

“ได้!”

กู้ซีจิ่วเอ่ยไปว่า

“การเดินหมากแบบเดิมน่าเบื่อจะตาย พวกเรามาลองเดินหมากแบบใหม่กันดีกว่า ใช้แค่ตัวเบี้ยเท่านั้น ไม่ต้องใช้กระดานของเจ้าหรอก”

เธอพูดไปด้วย ใช้พู่กันวาดเขียนลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งไปด้วย

ไม่นานนัก ผังเดินหมากที่ซับซ้อนยิ่งนักแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอวิ๋นเยียนหลี

“แบบนี้เล่นเป็นไหม?”

กู้ซีจิ่วถามเขา

อวิ๋นเยียนหลีมีท่าทางงุนงงไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วเอ่ยตอบ

“ข้าไม่เคยเห็นแบบนี้เลย”

“ไม่เป็นไร ข้าจะสอนเจ้าเอง”

คงเป็นเพราะกู้ซีจิ่วถูกขังไว้เพียงลำพังมาสามวันจนเพี้ยนไปนิดหน่อยแล้ว อารมณ์ถึงดียิ่งนัก

อวิ๋นเยียนหลีมองนางแวบหนึ่ง พยักหน้ารับ

“ได้!”

ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงประชันหมากกันอยู่ตรงนั้น…

ถึงอย่างไรอวิ๋นเยียนหลีก็ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ถึงแม้จะไม่มีประสบการณ์ แต่ลองดูครั้งสองครั้งก็คล่องมือแล้ว การลงหมากของเขาก็ดูเข้าเค้าแล้ว

ทั้งสองเดินหมากกันอยู่ที่นี่ห้าตาแล้ว อวิ๋นเยียนหลีเสียเปรียบเพราะไม่คุ้นเคย พ่ายแพ้ทั้งห้าตา เพียงแต่ถึงแม้จะพ่ายแพ้ทั้งห้าตา แต่ตัวหมากที่เสียไปในแต่ละครั้งก็น้อยลงเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าทักษะหมากรุกของเขาก้าวหน้าขึ้นว่องไวยิ่งนัก…

————————————————————————————-

บทที่ 2535 ชิงไหวชิงพริบ 4

สิ่งนี้ทำให้เสพติดได้ง่ายดายยิ่ง อวิ๋นเยียนหลียังอยากเล่นอีกสองสามตา แต่เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วอ่อนล้าแล้ว

“วันนี้เหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยเล่นเป็นเพื่อนเจ้าอีกก็แล้วกัน”

อวิ๋นเยียนหลีชะงักไปแวบหนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า

“ได้! พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่”

พลางยื่นมือไปสกัดจุดนางไว้อีกครั้ง

“ขออภัยด้วย ต้องให้เจ้าเป็นเช่นนี้ข้าถึงจะวางใจได้”

กู้ซีจิ่วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้าให้

อวิ๋นเยียนหลีมองนางอีกหลายครา ในที่สุดถึงได้หันหลังจากไป

เขาละโมบในความงดงามของการอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่นเช่นนี้ อยากจะยืดช่วงเวลานี้แบบนี้ออกไปอีกนิด

กู้ซีจิ่วลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ทราบว่าวิกฤตในวันนี้ผ่านพ้นไปแล้ว

เธอนั่งหลุบตาใคร่ครวญอยู่บนเตียง เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นเยียนหลีไม่เข้าใจกลหมากเหล่านี้ และวิธีเดินหมากก็ไม่เหมือนกับเทพผู้สร้างโลกท่านนั้นเลย ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่เทพผู้สร้างโลกหลับชาติมาเกิด…

เธอขยับข้อมือเล็กน้อย

เมื่อกี้ตอนที่อวิ๋นเยียนหลีสกัดจุดให้เธออีกครั้ง เธอใช้ศาสตร์เคลื่อนย้ายจุดชีพจรที่เรียนมาจากยุคอนาคต เบี่ยงออกไปเล็กน้อย ทำให้จุดชีพจรเคลื่อนออกไปครึ่งชุ่น…การเคลื่อนออกไปครึ่งชุ่นนี้ ทำให้การสกัดจุดของอวิ๋นเยียนหลีไม่สัมฤทธิ์ผล ถึงขั้นที่ว่าในการเคลื่อนเมื่อกี้นี้ เขาบังเอิญสัมผัสถูกตำแหน่งหนึ่งที่ผนึกชีพจรของเธอเอาไว้เล็กน้อย ทำให้พลังวิญญาณของเธอเริ่มไหลเวียนเป็นวงจรเล็กๆ ได้แล้ว…

กล่าวอีกนัยคือ ตอนนี้พลังยุทธ์ของเธอฟื้นคืนมาประมาณหนึ่งส่วนแล้ว!

….

พออวิ๋นเยียนหลีออกมา กลับเห็นเจ้าวังน้อยยืนอยู่ด้านนอกไม่ไกลจากบานประตูเท่าไหร่ สายตามองมาทางเขาพอดี ค่อนข้างทึ่มทื่ออยู่บ้าง

อวิ๋นเยียนหลีขมวดคิ้ว เอ่ยถามนาง

“มีเรื่องอะไร?”

เจ้าวังน้อยชะงักไปแวบหนึ่ง กล่าวรายงาน

“นายท่าน วัตถุดิบที่ท่านต้องการได้มาเกือบครบแล้ว พวกเขากำลังเร่งเตรียมการ เย็นวันพรุ่งนี้น่าจะเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว”

อวิ๋นเยียนหลีพยักหน้า

“ครั้งนี้เจ้าทำงานได้ไม่เลวเลย”

ถึงแม้จะชมเชยนาง ทว่าไม่ได้ตบไหล่นางเบาๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมาแล้ว…

ความผิดหวังวาบผ่านนัยน์ตาของเจ้าวังน้อย เพียงแต่ยังคงรายงานต่อไปอย่างมานะพากเพียร

“ได้รับข้อมูลตอบกลับจากเจ้าเมืองคนอื่นๆ แล้วเจ้าค่ะ ระยะนี้มียอดฝีมือส่วนหนึ่งมาทำลับๆ ล่อๆ ณ ที่ว่าการ…หลังจากสองวันก่อนที่เมืองเล่อกั่วไม่มีพิรุณโลหิตตกอย่างที่ควรจะมี ประชาชนก็ค่อนข้างแตกตื่นกันแล้ว คนที่ออกไปตามหาผังดาวในเมืองอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนชาวบ้านจะเอาใจออกห่างแล้ว…”

อวิ๋นเยียนหลีหัวเราะหยัน

“ก็แค่ชาวบ้านโง่เง่ากลุ่มหนึ่งเท่านั้น จะก่อคลื่นลมได้สักเท่าไหร่กัน? วางใจเถอะ ภายหน้าถ้าพวกเขาได้เห็นทุกอย่างในงานแต่งของข้า ก็จะกลับมาเชื่อถือข้าอีกครั้ง”

เจ้าวังน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามเสียงแผ่ว

“นายท่านจะแต่งกับกู้ซีจิ่วจริงๆ หรือเจ้าคะ? มิใช่ท่านกล่าวว่า จัดงานแต่งนี้ขึ้นเพื่อล่อให้ตี้ฝูอีตัวจริงออกมาหรอกหรือเจ้าคะ?”

อวิ๋นเยียนหลีตอบไปว่า

“นี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง ทว่าการแต่งยังคงเป็นการแต่งกันจริงๆ”

นางคือความหมกมุ่นของเขา ย่อมต้องแต่งเข้ามาถึงมือก่อนแล้วค่อยว่ากัน ยิ่งไปกว่านั้นคือเพียงคิดว่าจะได้ครอบครองนางที่เป็นสตรีของตี้ฝูอี โลหิตเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาแล้ว…

สีหน้าเจ้าวังน้อยซีดขาว

“เช่นนั้น…เช่นนั้นเตี๋ยเอ๋อร์ล่ะเจ้าคะ? นายท่านก็เคยรับปากไว้เช่นกันว่าจะแต่งกับเตี๋ยเอ๋อร์…”

อวิ๋นเยียนหลีนิ่งไป เอ่ยขึ้นว่า

“วางใจเถอะ ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ย่อมไม่บิดพลิ้วต่อเจ้า รอให้วันหน้าข้ากุมตำแหน่งจักรพรรดิเซียนของดินแดนเบื้องบนได้ จะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระสนมแน่นอน”

“เช่นนั้นกู้ซีจิ่วล่ะเจ้าคะ? นางคิดร้ายต่อนายท่านมาตลอด ไม่เคยรักนายท่านเลย วันหน้านายท่านยังจะแต่งตั้งนางเป็นจักรพรรดินีอีกหรือเจ้าคะ?”

ใบหน้าหล่อเหลาของอวิ๋นเยียนหลีขรึมลงแล้ว

“หมิงเตี๋ย เจ้าล้ำเส้นแล้วนะ! เรื่องของข้า เจ้าเข้ามาสอดปากได้ตามใจชอบงั้นหรือ?”

ท้ายที่สุดแล้วหมิงเตี๋ยก็หวาดกลัวเขา จึงกล่าวขออภัย ไม่กล้าพูดต่อแล้ว

อวิ๋นเยียนหลียังต้องใช้ประโยชน์นางอยู่ ไม่คิดจะหักหาญน้ำใจนางเกินไปเช่นกัน ดังนั้นเลยเอ่ยปลอบนางอีกสองสามประโยค ถึงขั้นที่รับปากนางว่ารอให้งานแต่งของเขากับกู้ซีจิ่วผ่านพ้นไปแล้ว อีกหนึ่งเดือนจะรับนางเข้าบ้าน จัดพิธีสมรสที่มีหน้ามีตาให้นางเช่นกัน…

….