บทที่ 2536 กู้ภัย / บทที่ 2537 กู้ภัย 2

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2536 กู้ภัย

แววตาที่หมิงเตี๋ยใช้มองเขามีความปวดร้าวพาดผ่านแวบหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมานางมิได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย…

เพียงแต่การเชื่อฟังมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ได้กลายเป็นความเคยชินที่ฝังลึกลงไปในกระดูกนางแล้วถึงแม้ภายในใจจะอัดอั้น นางก็ไม่ได้พูดจาเป็นอื่นอีก ยอมล่าถอยไปอย่างเชื่อฟัง

อวิ๋นเยียนหลีย่อมมองเห็นความผิดหวังของนาง แต่เขาทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น รู้ดีว่าต่อให้ในใจนางจะไม่พอใจสักแค่ไหนก็ยังคงซื่อสัตย์ภักดีต่อเขาอยู่

ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่านางจะชอบชังรักโกรธ สิ่งที่เขานึกถึงคือเส้นทางอันรุ่งโรจน์ในอนาคต…

เขายืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง เลือกไปดูคุนตัวนั้นก่อน

คุนยังคงถูกคุมขังไว้ในแหแบบพิเศษ อวิ๋นเยียนหลีชังเขาจนกัดฟันกรอดๆ แล้ว ในเมื่อจับตัวเขาได้แล้ว ย่อมไม่ปล่อยให้เขาได้อยู่ดี เพิ่มอุปกรณ์ลงไปบนตัวแหอีก

คุนเสวี่ยอี๋รู้สึกเหมือนอยู่ในดงเข็มแหลม เข็มพิษนับไม่ถ้วนทิ่มแทงลงบนร่างเขาอย่างต่อเนื่อง คล้ายมีฝูงต่อคอยตั้งหน้าตั้งตาทิ่มเหล็กในใส่อยู่ไม่ขาดสาย

ที่บัดซบยิ่งกว่านั้นคือ เขาไม่อาจแปลงร่างเป็นมนุษย์ ถูกผนึกไว้ในร่างมัจฉาเท่านั้น

ผู้คุมเหล่านั้นต้องการประจบเอาใจอวิ๋นเยียนหลีนำแหที่กักขังเขาไว้ไปผิงไว้บนกองไฟ ย่างไฟเอาไว้ตลอด…

หากเป็นเมื่อก่อน กองไฟเหล่านี้ย่อมทำอันตรายเขาไม่ได้ แต่แหบัดซบนี่ผนึกพลังวิญญาณของเขาไว้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอาศัยหนังของตัวเองต้านไฟ…

ต่อให้ไม่ได้ถูกย่างจนสุก แต่ก็ถูกย่างจนหน้าตามอมแมมมอซอไปหมดแล้ว ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง

อวิ๋นเยียนหลีรู้สึกว่าเขาอยู่ในสภาพนี้แล้วสะใจดีนัก ดังนั้นทุกๆ วันจะมาเดินเตร่ที่นี่รอบหนึ่ง

อย่างเช่นวันนี้เขาก็มาอีกแล้ว นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าคุนเสวี่ยอี๋ มองหนังคุนทั่วร่างเขาที่ถูกเผาจนแห้งผากแล้ว เขายิ้มนิดๆ

“คุนอวิ๋นจ่าน รู้สึกสบายไหมล่ะ?”

คุนเสวี่ยอี๋ลืมตาขึ้น เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ตอบอย่างตรงไปตรงมา

“มีเพลิงคั่งค้างที่ไม่ได้ระบายออกมาอยู่ ถ้าเจ้าปลดปล่อยให้ข้าสักครั้ง ข้าคงจะสบายขึ้น”

ถูกย่างมาสี่วันแล้ว ลำคอของคุนเสวี่ยอี๋จึงแหบแห้งบ้างแล้ว

คำตอบของอวิ๋นเยียนหลีคือโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง พัดกองไฟนั้นให้ลุกโหม ทำให้ไฟกองนั้นคุโชนยิ่งขึ้น ถึงขั้นที่เติมเพลิงกสิณเข้าไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ ทั้งร่างของคุนเสวี่ยอี๋จึงถูกฝังอยู่ในกองไฟแล้ว

ไฟธรรมดาเผาทะลุผิวหนังของเขาไม่ได้ แต่เพลิงกสิณสามารถสร้างความเสียหายให้แก่เนื้อหนังของเขาได้ ในที่สุดร่างเขาก็เริ่มสั่นสะท้านแล้ว

อวิ๋นเยียนหลีที่อยู่ด้านข้างมองอย่างแช่มชื่นเบิกบาน

มุกคุนเป็นของดีอย่างหนึ่ง แต่หลังจากได้มาแล้วจะต้องกินทันที จากนั้นต้องโคจรย่อยสลายเจ็ดวันเจ็ดคืนถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด

และเนื่องจากอวิ๋นเยียนหลียังมีธุระบางอย่างที่จำเป็นต้องจัดการอยู่ ปิดด่านไม่ได้ชั่วคราว ดังนั้นจึงไม่ได้สังหารคุนเสวี่ยอี๋แล้วชิงมุกคุนมา เพียงคิดหาทางให้เขาได้รับความทรมานทั้งเป็น เพื่อระบายความชิงชังในหัวใจ

“คุนอวิ๋นจ่าน วันมะรืนนี้ก็จะเป็นวันแต่งงานของข้ากับซีจิ่วแล้ว พอถึงเวลาข้าจะยกเจ้าขึ้นไปชมพิธีนะ ให้เจ้าได้ซึมซับรับไอมงคลจากข้า”

คุนเสวี่ยอี๋หลับตาข่มกลั้นความเจ็บปวด คร้านจะแยแสเขา

“คุนอวิ๋นจ่าน หลังข้าแต่งงานกับซีจิ่วแล้ว จะมารับมุกคุนของเจ้า เลาะหนังคุนของเจ้าออกมา มุกคุนข้าใช้งานเอง ส่วนหนังคุนเอาไปทำอาภรณ์ให้ซีจิ่วก็ไม่เลวเลย…”

ที่สุดคุนเสวี่ยอี๋ก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว เอ่ยอย่างจริงใจนัก

“เจ้ายังไม่ตื่นอีกหรือ? ฝันกลางวันอยู่หรือไง?”

จากนั้นก็คล้ายว่าจะยิ้มแวบหนึ่ง

“เจ้าเอาแผนการในอนาคตมาบอกข้าจนหมดเปลือก กลัวว่าข้าจะเสียใจหรืออย่างไรกัน? รึว่าเจ้าหลงรักข้าแล้ว? อยากเห็นปฏิกิริยาข้าเวลาที่ทำตัวเหมือนศรีภรรยาตัวน้อย…อยากเห็นข้าหึงหวงใช่ไหม?”

อวิ๋นเยียนหลีไม่อยากคุยกับไอ้ตัวนี้แล้ว!

ตอนนี้เขาอยากเอาไอ้ปลาปากเปราะตัวนี้ไปผัดน้ำแดงเหลือเกิน!

เขาพลันโบกแขนเสื้อ เติมเพลิงกสิณเข้าไปอีกสามกอง สั่งการคนเฝ้าให้เติมฟืนอีก ยิ่งเพลิงลุกโชนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

อวิ๋นเยียนหลีจากไปแล้ว

ในที่สุดคุนเสวี่ยอี๋ก็ได้กลิ้งเกลือกอยู่บนกองไฟเสียที

————————————————————————————-

บทที่ 2537 กู้ภัย 2

เจ็บจะตายอยู่แล้ว!

เขารู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะถูกย่างสุกจริงๆ แล้ว!

เมื่อเทียบกับเพลิงที่กำลังแผดเผาเนื้อกายแล้ว หัวใจเขาร้อนรุ่มยิ่งกว่า

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคุนที่พบเห็นโลกมามากตัวหนึ่ง ซ้ำยังใกล้ชิดสนิทสนมกับตี้ฝูอี หลังจากได้เห็นความพิสดารของรูปสลักหยก ในใจเขามั่นใจไปเจ็ดแปดส่วนแล้วว่ารูปสลักหยกนั้นก็คือตี้ฝูอี…

ฝ่ายของพวกเขาพ่ายแพ้ยับเยินไปหมดแล้ว เขานึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะมีใครที่สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้…

กำลังทหารของอาณาจักรมารมีไม่น้อยเลยจริงๆ แต่เมื่อเทียบกันลูกน้องของอวิ๋นเยียนหลีแล้ว ยังด้อยกว่ามาก

ยิ่งไปกว่านั้นคือวรยุทธ์ของอวิ๋นเยียนหลีวิปริต ฝ่ายของเขาไม่มีใครที่ทัดเทียมกับเขาได้เลย…

มารดามันเถอะ หากไม่ได้อยู่ในแดนอสุราผุพังแห่งนี้ บางทีเขาอาจสู้ตายกับองค์ชายวิปริตผู้นี้ได้ สั่งสอนให้เขารู้ว่าเป็นมนุษย์ควรทำตัวอย่างไร…

แต่ตอนนี้ ตอนนี้เขามีแต่โดนอีกฝ่ายสั่งสอนว่าเป็นปลาควรทำตัวอย่างไร…

สี่คนนั้นที่คอยเฝ้าเขาไว้รูปโฉมพิลึกพิลั่น คล้ายสัตว์ทว่ามิใช่สัตว์ คล้ายมนุษย์ทว่ามิใช่มนุษย์

คุนเสวี่ยอี๋จับจ้องอยู่เนิ่นนานก็มองไม่ออกว่าพวกเขาแปลงมาจากอะไร ไม่คล้ายว่าเป็นเพราะวรยุทธ์ไม่เข้าขั้น จึงแปลงกายได้ไม่สมบูรณ์ แต่คล้ายว่าการรวมร่างกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ร้าย มองอย่างไรก็ขัดนัยน์ตา

รูปโฉมของสี่คนนี้ยากจะบรรยายได้ นิสัยใจคอก็ยากจะพรรณนายิ่งนักเช่นกัน

ซ้ำยังมีวิธีดีๆ ในการทรมานเคี่ยวกรำคนด้วย

ตอนที่พวกเขากำลังย่างคุนเสวี่ยอี๋อยู่ก็ได้นึกลูกไม้ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ย่างไปสักพักหนึ่งก็จะสาดน้ำเกลือผสมหมากมาศถ้วยหนึ่งใส่ร่างเขา จากนั้นก็ใช้แปรงเหล็กถูไปบนผิวเขา…

การลงทัณฑ์เช่นนี้ทำให้คุนเสวี่ยอี๋ได้ลิ้มรสความทรมานผ่านเนื้อหนัง ค่อนข้างทุกข์ทรมานยิ่งนัก และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเกิดความคิดอยากระเบิดมุกคุนของตนให้รู้แล้วรู้รอดไปซะ

ขณะที่กำลังทรมานอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นเยียนหลีจะกลับมาอีกครั้ง

สี่คนนั้นค่อนข้างประหลาดใจ วันนี้นายท่านออกมาตรวจงานบ่อยจัง รีบก้าวเข้าไปทำความเคารพ

อวิ๋นเยียนหลีโบกมือ ให้พวกเขาลุกขึ้น จากนั้นก็มองคุนเสวี่ยอี๋ที่กำลังถูกย่างอยู่ตรงนั้น

คุนเสวี่ยอี๋หยามหยัน

“โอ๊ะ เจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้เชียว! นี่คือหักใจจากข้าไม่ลงกระมัง? กลัวข้าจะโดนย่างจนพังหรือ? วางใจเถอะ อย่างมากก็แค่ถูกย่างจนหนังย่นเท่านั้น ส่วนสำคัญไม่ถูกย่างจนเสื่อมสภาพหรอก เจ้าปล่อยผู้เฒ่าสิ แล้วผู้เฒ่ารับประกันว่าจะให้ได้สม…ซี้ด สม…สูด ทำให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติอันน่าอภิรมย์ที่ชาตินี้ไม่เคยได้ลิ้มลอง…”

อวิ๋นเยียนหลีชะงักไปแวบหนึ่ง เดินวนรอบตัวเขาหนึ่งรอบ ลูบหลังของมัจฉาใหญ่

“ร่างของเจ้ากันไฟได้จริงๆ ประสิทธิภาพในการต้านไฟสูงนัก”

สี่คนนั้นก็เปิดปากเอ่ยเช่นกัน

“ใช่ขอรับ หนังปลาตัวนี้แปลกประหลาด ย่างขนาดนี้แล้วก็ยังไม่หลุด”

อวิ๋นเยียนหลีกวักมือ ให้พวกเขาเข้ามาใกล้อีกหน่อย

“พวกเจ้าเข้ามาดูหน่อยสิ ดูว่าบนร่างเขามีรอยปริแตกหรือยัง”

สี่คนนั้นเขยิบเข้ามาดูจริงๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีกลิ่นหอมสายหนึ่งโชยเข้าจมูก สมองพลันมึนงง ล้มตึงไปเลย!

คุนเสวี่ยอี๋แข็งทื่อไปทั้งร่าง มองอวิ๋นเยียนหลี แววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

“เจ้า…เจ้า…แม่นางกู้!”

‘อวิ๋นเยียนหลี’ ยิ้มแวบหนึ่ง

“ถูกเจ้ามองออกแล้วหรือนี่”

เสียงสลับไปเป็นเสียงสตรีแล้ว เป็นเสียงของกู้ซีจิ่ว ไม่น่าเชื่อว่านางจะปลอมเป็นอวิ๋นเยียนหลีแล้วเล็ดรอดเข้ามาที่นี่

กู้ซีจิ่วปลดคุนเสวี่ยอี๋ลงมาจากตระแกรงย่าง ลูบแหบนร่างเขา ศึกษาดูเล็กน้อย ก็ทำลายได้แล้ว ปล่อยคุนเสวี่ยอี๋ออกมา

คุนเสวี่ยอี๋ไม่สนใจความเจ็บปวดจากบาดแผลทั่วร่าง แปลงเป็นมนุษย์ทันที มองดูกู้ซีจิ่ว

“เจ้า…ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะหนีออกมาได้!”

เขาทั้งยินดีทั้งละอาย ดูจากประโยคสัปดนอันใดที่พูดออกไปเมื่อครู่นี้ หากว่าราชันมารรู้เข้า ต้องถลกหนังคุน ของเขาเป็นแน่!

คุนเสวี่ยอี๋เกิดความคิดชั่ววูบที่อยากขุดหลุมฝังตัวเองขึ้นมา!

เขากระแอมคราหนึ่ง

“แม่นางกู้ ถ้อยคำหยาบโลนที่ข้าน้อยพูดออกไปก่อนหน้านี้เจ้าช่วยทำใจกว้าง…”

ห้ามบอกนายท่านเด็ดขาดเลยนะ…

เขายังไม่ทันได้เอ่ยวาจาท่อนหลังออกมากู้ซีจิ่วก็ตัดบทเขาแล้ว

“เจ้าพูดจาหยาบโลนอันใดหรือ? ทำไมข้าจำไม่ได้เลยล่ะ?”

แม่นางกู้ผู้นี้ช่างรู้ความโดยแท้!

คุนเสวี่ยอี๋สบายใจแล้ว!

กู้ซีจิ่วก็ไม่ได้จุกจิกกับเขา

“ช่วยข้าคลายจุดหน่อย พลังวิญญาณของข้าไม่พอ”

เธอฟื้นฟูพลังวิญญาณได้ส่วนหนึ่งแล้ว และได้ศึกษาวิธีทำลายตำหนักทองอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ดังนั้นจึงใช้วิชาเคลื่อนย้ายออกมาอย่างรวดเร็ว หนีออกมาจากกรงทองแห่งนั้น จากก็ค่อยๆ แอบติดตามอวิ๋นเยียนหลีมา ตามมาจนถึงคุกแห่งนี้…

จนกระทั่งอวิ๋นเยียนหลีจากไป เธอก็แปลงโฉมเป็นเขา หาทางช่วยเหลือคุนเสวี่ยอี๋