ตอนที่ 814 ต้นข่าวสาร
คนผู้นั้นคาดเข็มขัดหยกบนชุดคลุมสีเขียว เกล้วผมเป็นมวย ใบหน้าหล่อเหลา สะพายกระบี่โบราณสีน้ำเงินไว้กลางหลัง สีหน้าเผยความเย่อหยิ่ง

ดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง!

ตอนที่หลินสวินยังเป็นเด็กหนุ่มอ่อนแออายุสิบสามสิบสี่ ก็เคยเจอเซี่ยอวี้ถังในป่าโบราณนอกหมู่บ้านเฟยอวิ๋นครั้งหนึ่ง

ตอนนั้นหลินสวินมีพลังปราณเพียงระดับกำลังภายในเท่านั้น แต่เซี่ยอวี้ถังได้ก้าวสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว สามารถควบคุมดาบ สง่างามราวกับเซียน

จากนั้นในเมืองหมอกอำพรางมณฑลซีหนาน ครั้งแรกที่หลินสวินเจอหลิ่วชิงเยียน ก็ได้เจอเซี่ยอวี้ถังอีกครั้ง

เพียงแต่ตอนนั้นเซี่ยอวี้ถังเคยใช้คมกระบี่สามฉือจ่อลำคอหลินสวิน ด้วยท่าทางที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ ข่มขู่ให้หลินสวินปล่อยคุณชายเสเพลคนหนึ่งที่ถูกกำราบไว้

จนตอนนี้หลินสวินยังจำคำพูดที่เซี่ยอวี้ถังเคยพูดตอนนั้นได้…

‘มดปลวกตัวน้อย หากไม่รู้จักประมาณตนระวังภัยจะมาถึงตัว!’

นั่นเป็นครั้งแรกที่หลินสวินถูกข่มขู่เช่นนี้ ถูกกระบี่จ่อคอหอย มองเป็นมดปลวก ชีวิตนี้เขาไม่มีวันลืมความรู้สึกเช่นนี้

เพียงแต่หลังจากหลินสวินเข้าไปอยู่ในนครต้องห้ามได้ไม่นาน ดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังก็เดินทางมาฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ หลังจากนั้นหลินสวินก็ไม่เคยได้ยินข่าวของคนผู้นี้อีกเลย

แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าจะพบคนผู้นี้อีกครั้งที่หน้าเมืองก่วมหิมะ ซึ่งอยู่แถบชายแดนแคว้นล้ำเมฆาแห่งแดนฐิติประจิม

‘ดูเหมือนว่าหลังจากเขามาเยือนดินแดนรกร้างโบราณ ก็ได้กราบอาจารย์เข้าไปฝึกปราณในสำนักกระบี่โผผิน และดูจากสถานการณ์คงได้รับความสำคัญจากสำนักอย่างมาก’

หลินสวินตระหนักได้ในใจ เซี่ยอวี้ถังสามารถติดตามอยู่เคียงข้างจั๋วขวงหลันผู้เป็นหนึ่งในห้าศิษย์สืบทอดของสำนักกระบี่โผผินได้ ฐานะในสำนักกระบี่โผผินย่อมไม่ต่ำแน่

หลินสวินไม่ถึงกับรู้สึกดีกับเซี่ยอวี้ถัง แต่ก็ไม่ได้เกลียดชัง ตอนนั้นแม้เคยถูกอีกฝ่ายเอากระบี่จ่อคอข่มขู่ แต่ก่อนหน้านั้นเซี่ยอวี้ถังก็เคยบังเอิญช่วยเขาไว้ครั้งหนึ่ง

ดังนั้นสำหรับหลินสวิน เขากับเซี่ยอวี้ถังก็เท่ากับว่า ‘หมดสิ้นบุญคุณความแค้น’ ไม่มีใครติดค้างใคร

แน่นอนว่าหลินสวินมีความเย่อหยิ่งและศักดิ์ศรีของตน แม้จะไม่ไปแก้แค้นเซี่ยอวี้ถัง แต่เขาก็ไม่มีทางจะไปปฏิสัมพันธ์กับเซี่ยอวี้ถังก่อน

แม้สำหรับดินแดนรกร้างโบราณ พวกเขาทั้งสองล้วนถือว่าเป็น ‘ศัตรู’ ที่มาจากที่เดียวกัน ทว่าเป็นคนรู้จักก็ใช่ว่าจะสามารถมองข้ามเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วให้อภัยต่อกันได้

“หลินสวิน?”

เพียงแต่ตอนที่หลินสวินเตรียมจะหมุนตัวกลับไปนั้น เซี่ยอวี้ถังก็สังเกตเห็นเขาเช่นกัน พลันส่งเสียงอย่างประหลาดใจ “เจ้าก็มาดินแดนรกร้างโบราณแล้วหรือ”

หลินสวินขานรับว่าอืม สีหน้าเรียบเฉย

เซี่ยอวี้ถังขมวดคิ้ว ไม่เจอกันเพียงไม่กี่ปี เขาพบว่าพลังปราณของหลินสวินอยู่ในระดับหยั่งสัจจะขั้นสมบูรณ์แล้ว ในใจยิ่งคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

“ตอนนี้เจ้ากราบอาจารย์เข้าสำนักใดหรือยัง”

เซี่ยอวี้ถังถาม ตอนนั้นเขาไม่เคยสนใจหลินสวินเลยสักนิด

และเป็นตอนที่อยู่ในนครต้องห้าม เขาถึงได้รู้ว่าหลินสวินสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่จับตามองแล้ว

เพียงแต่เขาก็ยังคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ชายขอบของจักรวรรดิจื่อเย่า ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ก็มีความสามารถที่จะเข้ามาฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณแล้ว!

นี่ทำให้อดตะลึงและประหลาดใจไม่ได้แล้ว

อย่าลืมว่าในจักรวรรดิจื่อเย่า ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณได้ง่ายๆ! มีเพียงขุมอำนาจใหญ่ชั้นยอดแห่งยุคเท่านั้น จึงจะสามารถส่งลูกศิษย์ของพวกเขามายังแดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่และกว้างขวางนี้ได้!

“ยัง”

หลินสวินส่ายหน้า

เซี่ยอวี้ถังขานรับว่าอ้อคำหนึ่ง ในใจกระจ่างแล้ว

ก็จริง เด็กหนุ่มที่ไม่มีเบื้องหลัง ไม่มีฐานะ สามารถเข้ามาฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณได้ก็เป็นโชคดีมากแล้ว ยังจะสามารถเข้าสำนักโบราณใดได้อย่างไร

“ศิษย์น้องเซี่ย นี่คือสหายของเจ้าตอนที่อยู่โลกชั้นล่างหรือ”

ทันใดนั้นจั๋วขวงหลันพูดขึ้น เขาอยู่ในชุดเสื้อแขนกว้าง ท่าทางสง่างาม ร่างยืดตรงราวกับกระบี่ มีกลิ่นอายราวกับเมฆที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทันทีที่อ้าปากก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งลาน

“ไม่ถึงขั้นเรียกว่าสหาย แค่รู้จักเท่านั้น” เซี่ยอวี้ถังพูดสบายๆ

จั๋วขวงหลันขานรับว่าอ้อคำหนึ่งก็เก็บสายตา ไม่ได้ทักทายหรือพูดคุยพอเป็นพิธีกับหลินสวิน ท่ามกลางความเงียบแฝงความเย่อหยิ่งที่ดูห่างเหิน

โลกชั้นล่าง!

บริเวณรอบๆ ผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินต่างชะงัก สีหน้าพลันปรากฏความไม่เห็นด้วย ต่างดูถูกเหยียดหยามไม่มากก็น้อย

ทีแรกเห็นเซี่ยอวี้ถังคุยกับหลินสวิน พวกเขายังแปลกใจในตัวหลินสวินไม่น้อย คิดว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนักเก่าแก่ที่ใดที่หนึ่ง

แต่เมื่อรู้ว่านี่เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างอันแห้งเหือดและยังไม่มีสำนัก ก็หมดความสนใจทันที

“ศิษย์น้องเซี่ย เรื่องสำคัญรออยู่ จะเสียเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว” จั๋วขวงหลันพูดสบายๆ

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยอวี้ถังก็ไม่ได้มีความคิดที่จะแนะนำหลินสวินให้คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าพูด “ทุกอย่างล้วนฟังตามที่ศิษย์พี่จั๋วกล่าว”

“เช่นนั้นก็ไปเถอะ”

กลุ่มของพวกเขาพุ่งหน้าเข้าประตูเมืองไปทันที ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมองหลินสวินตรงๆ อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

สำหรับพวกเขา เด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างอย่างหลินสวิน ไม่ต่างอะไรกับคนผ่านทาง ไม่ควรค่าให้ความสนใจ

มีเพียงเซี่ยอวี้ถังเท่านั้นที่ก่อนไปเหลือบมองหลินสวินปราดหนึ่ง แล้วสื่อจิตอย่างนิ่งสงบ ‘หากเจ้าประสบปัญหาอันใดสามารถมาหาข้าได้ แต่ว่าหากข้าช่วยได้ก็จะช่วย หากช่วยไม่ได้ เจ้าเองก็อย่าตั้งความหวังไว้มากนัก’

พูดจบเขาก็จากไปอย่างเร่งรีบ

หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นพลันยิ้มเยาะคราหนึ่ง

ตอนที่เซี่ยอวี้ถังพูดคำพูดเหล่านี้ มีความรู้สึกว่าเหนือกว่าเป็นเอกลักษณ์ ราวกับกำลังทำทาน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทำด้วยความจริงใจ

หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่า ยังไม่เข้าเมืองก่วมหิมะด้วยซ้ำ กลับถูกกลุ่มผู้สืบทอดที่มาจากสำนักกระบี่โผผินดูถูกและมองข้ามแล้ว

แม้แต่เซี่ยอวี้ถังยังแสดงท่าทีสูงส่ง ท่าทางเหมือนทำทานอย่างไรอย่างนั้น ทำให้หลินสวินรู้สึกตลก

เขาส่ายหน้า ไม่นานก็ทิ้งเรื่องเล็กที่แทรกเข้ามานี้ไป ก้าวเท้าเข้าประตูเมืองเก่าแก่สูงใหญ่ของเมืองก่วมหิมะ

……

ตอนที่หลินสวินจากไปได้ไม่นาน เกี้ยวสมบัติอันหรูหรางดงามคันหนึ่งขับเคลื่อนมาจากระยะไกลท่ามกลางการคุ้มครองของกลุ่มผู้ฝึกปราณ

คนที่นั่งอยู่บนเกี้ยวสมบัติก็คือสองพี่น้องอวี๋เสวี่ยเจียวและอวี๋เสวี่ยเทียน

“ท่านพี่ เราไปดูที่ ‘ต้นข่าวสาร’ กลางเมืองก่อนดีหรือไม่ จากไปหนึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นในแดนฐิติประจิมบ้าง”

อวี๋เสวี่ยเทียนพูดอย่างตื่นเต้น

อวี๋เสวี่ยเจียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่อยากให้น้องชายผิดหวังจึงพยักหน้าพูด “ก็ดี งั้นลองไปดู”

ต้นข่าวสาร

นี่เป็นต้นไม้โบราณที่แปลกประหลาด ปลูกโดยผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยที่ข่าวไวที่สุด

ทุกครั้งที่มีเรื่องฮือฮาที่สุดเกิดขึ้น ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยก็จะสืบข่าวมาแขวนไว้บนต้นไม้ ควบรวมเป็นใบไม้แต่ละใบให้คนมาดูมาชม

ใบไม้ของต้นข่าวสารยอดเยี่ยมมาก สามารถเปลี่ยนเป็นตัวอักษรและรูปภาพ ฉายภาพเหตุการณ์เสมือนจริงของหลายข่าวอีกครั้ง

และหลายข่าวที่เป็นความลับอย่างมากก็สามารถสืบได้บนต้นข่าวสารเช่นกัน เพียงแต่ต้องเอาแกนวิญญาณจำนวนหนึ่งออกมาป้อนใบไม้พวกนี้ จึงจะสามารถมองเห็นเนื้อหาในนั้นได้ทันที

และก็เพราะเหตุนี้ ต้นข่าวสารจึงถูกเรียกว่าเป็น ‘ต้นเงินต้นทอง’ ของเผ่าวาทวาโย

……

กลางเมืองก่วมหิมะ

ต้นข่าวสารสูงใหญ่เสียดฟ้าที่เก่าแก่และแข็งแรงฝังรากอยู่ที่นี่ กิ่งก้านของมันแผ่สาขาออกไปเหมือนมังกรมีเขา ด้านบนเต็มไปด้วยใบไม้หนาแน่น

ใบไม้มีสีขาวเป็นประกายราวกับแกะสลักจากน้ำแข็ง ขนาดใหญ่พอๆ กับใบพัด ภายในซ่อนข่าวสารต่างๆ ที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยสืบมาได้

ตอนที่พวกของอวี๋เสวี่ยเจียวมาถึงก็พบด้วยความแปลกใจว่า ที่นี่คึกคักผิดปกติ เงาร่างที่ราวกับคลื่นน้ำล้อมรอบต้นข่าวสารเอาไว้จนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้

“คนเยอะขนาดนี้ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่!” อวี๋เสวี่ยเทียนตะโกนอย่างตื่นเต้น ลุกพรวดขึ้นกระโดดลงจากเกี้ยวสมบัติอย่างร้อนรน แล้วเบียดเข้าไปในกลุ่มคน

“น้องเล็กยังคงใจร้อนเกินไป…” อวี๋เสวี่ยเจียวส่ายหน้า จากนั้นนางเองก็ลุกขึ้น ก้าวลงจากเกี้ยวสมบัติเช่นกัน

อวี๋เสวี่ยเจียวจำได้แม่น จะต้องเป็นเพราะมีเรื่องใหญ่ที่ฮือฮาอย่างมากเกิดขึ้น บริเวณต้นข่าวสารถึงได้ดึงดูดผู้ฝึกปราณมากมายขนาดนี้

‘หรือในช่วงนี้ยังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ’ ในใจอวี๋เสวี่ยเจียวอดแปลกใจไม่ได้

และในเวลานั้นเอง อวี๋เสวี่ยเทียนที่เบียดเข้าไปในกลุ่มคนนานแล้วส่งเสียงด้วยความตกใจกะทันหัน “ท่านพี่ รีบมาดูเร็ว!”

อวี๋เสวี่ยเจียวในใจสะท้าน เดินมาหน้าต้นข่าวสารรวมตัวกับอวี๋เสวี่ยเทียนอย่างราบรื่นท่ามกลางการปิดล้อมอย่างหนาแน่นของผู้คุ้มกัน

ตอนที่สายตาของนางมองไปทางลำต้นซึ่งสะดุดตาที่สุดของต้นข่าวสารก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ถึงกับเป็นเขา!?