ภาค 6 ยันฟ้าด้วยมือเดียว บทที่ 558 ตาข่ายใหญ่

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

“แม่นางอิ่น ทั้งหมดต้องขอบคุณเจ้า สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงตามหาตำแหน่งของพวกเจ้าศิษย์อาจารย์เจอ”

“ไม่ใช่! ไม่ใช่นะ! ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”

“ถูกต้อง เจ้าไม่ทราบว่าข้าเป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แต่ว่าคำพูดที่เจ้าพูด คนของเขากว่างเฉิงจะเชื่อหรือไม่? ต่อให้พวกเขาเชื่อ ถึงจะพลาดพลั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าคิดว่าจะไม่ต้องรับผิดชอบหรือ?”

“ข้า…ข้าไม่รู้ว่าจะกลายเป็นเช่นนี้…”

“ถ้าหากว่าเฟิงอวิ๋นเซิงทำผิดโดยมิได้ตั้งใจเช้นนี้ ไม่แน่ว่าถูกตำหนิไม่กี่คำก็จบ แต่ว่าเจ้าแตกต่าง มีคนที่โดดเด่นเช่นนี้คอยเปรียบเทียบกับเจ้า เจ้าไม่ทำผิดก็ถือว่าผิด ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังเป็นความผิดซ้ำซาก”

“ท่าน…ท่านไม่ต้องพูดแล้ว…ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าจะไม่เปิดเผยสถานะของท่าน…”

“แม่นางอิ่น คนที่เจ้าควรเปิดโปงมิใช่ข้า แต่เป็นศิษย์พี่ของท่านต่างหาก”

“ท่าน…ท่านพูดอะไร?!”

“เฟิงอวิ๋นเซิงเป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด ลำบากแอบแฝงอยู่ในเขากว่างเฉิง สุดท้ายครั้งนี้ถูก ฟู่เอินซูอาจารย์ของเจ้ามองออก ฉวยโอกาสที่อาจารย์ของเจ้ายังไม่แน่ใจ นางได้ลงมือก่อน ติดต่อกับผู้อาวุโสเหมิงของสำนักข้าให้ฆ่าปิดปากฟู่เอินซู เจ้าว่าความจริงนี้เป็นอย่างไร?”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน? ท่าน…ข้าเข้าใจแล้ว พวกท่านสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ไม่มั่นใจว่าจะชนะการทดสอบแห่งจนทร ดังนั้นจึงวางแผนนี้ขึ้นมา!”

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรกังวล สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องพิจารณาก็คือ…ถ้าหากไม่ใช่นางเผยร่องรอย เช่นนั้นก็เป็นเจ้าแล้ว…”

ตั้งแต่กลับมาจากทะเลตะวันออก ในห้วงสมองของอิ่นหลิวหัวปรากฏเสียงเหล่านี้สะท้อนไปมาไม่หยุด

แต่อย่างค่อยเป็นค่อยไป กลับมีความคิดใหม่ผุดออกมา

เหมือนกับตำหนักอัสนีสวรรค์และเขาไร้พรมแดน ถ้าหากมีสตรีแห่งจันทราแค่คนเดียว ไม่ว่านางจะมีผลงานเป็นอย่างไร ตำหนักอัสนีสวรรค์กับเขาไร้พรมแดนได้แต่ต้องฝืนใจยอมรับ เพื่อความเป็นไปได้หนึ่งในหมื่น จึงใช้ความพยายามสุดความสามารถ

เหนียนเหล่ยจากตำหนักอัสนีสวรรค์ หลิงฮุยแห่งเขาไร้พรมแดน อยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายของการทดสอบแห่งจันทราแทบทุกปี แต่ว่าพวกนางกลับตำมีแหน่งพิเศษในสำนักของตัวเอง

อย่างน้อย จนกระทั่งตอนนี้ ความอดทนของตำหนักอัสนีสวรรค์และเขาไร้พรมแดงยังไม่หมดลง

‘ถ้าหากมีข้าคนเดียว…ถ้าหากมีข้าคนเดียวละก็…’

อย่างค่อยเป็นค่อยไป เสียงอื่นล้วนหายไปหมด เหลือเพียงแต่เสียงนี้เสียงเดียวที่ค่อยๆ เติมเต็มห้วงสมองของอิ่นหลิวหัว

“ศิษยหลานอิ่น โปรดเข้ามา”

เมื่อได้ยินเสียงของฉางเจิ้น ร่างของอิ่นหลิวพลันหัวสั่นไหว ได้สติกลับมา

นางสูดหายใจลึก ทราบว่าเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตมาถึงแล้ว

หลังจากเข้าสู่ตัววิหาร อิ่นหลิวหัวก็คำนับพวกจางคุน ฉางเจิ้น และฉานหงเจียฉี “หงเจียฉีผู้นี้บอกว่าศิษย์หลานเฟิงเป็นสายลับของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในสำนักเรามานาน อีกทั้งยังบอกว่าศิษย์น้องฟู่เพราะค้นพบความลับนี้ ดังนั้นศิษย์หลานเฟิงจึงขายร่องรอยของนาง เพื่อให้ยอดฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาฆ่าคนปิดปาก”

“เขาบอกว่าคนที่เห็นเหตุการณ์ในตอนนั้น นอกจากเขาแล้ว ยังมีเจ้าด้วย ทั้งยังบอกว่าสามารถทำพิธีโลหิตจิตหวนเวลาเพื่อพิสูจน์ได้”

“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ? เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึง?”

สายตาของฉางเจิ้นกดดันอิ่นหลิวหัว เขาเป็นผู้อาวุโสระดับหนึ่งที่ดูแลการลงโทษและกฎเกณฑ์ของสำนัก ทั้งยังเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณระยะท้าย

สายตาคล้ายกับบดขยี้ร่างกายของอิ่นหลิวหัวได้ ความลับทุกอย่างจึงมิอาจซ้อนเร้น

อิ่นหลิวหัวร่างสั่นเทา เกือบสติหลุดไป

แต่ต่อมานางรู้สึกว่าสายตาของฉางเจิ้นยังคงอยู่ แต่ไม่ได้สั่นสะเทือนขวัญวิญญาณเหมือนตอนแรกอีกแล้ว

จางคุนกับผู้อาวุโสฉินเชื่อใจฉางเจิ้นมาก จึงไม่ก้าวก่าย ให้ฉางเจิ้นซึ่งเป็นผู้อาวุโสระดับหนึ่งวิหารอาญาควบคุมสถานการณ์

อิ่นหลิวหัวสงบจิตใจ บอกเล่าอย่างอ้ำอึ้ง “ศิษย์ไม่กล้ายืนยัน ตอนนั้นท่านอาจารย์กับศัตรูต่อสู้กัน ศิษย์จึงไม่กล้าเข้าใกล้ ทั้งยังถูกคลื่นหลงเหลือจากการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายซัดใส่จนโซเซ ไม่รู้ทิศรู้ทาง”

“ดังนั้นสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินจึงเป็นคำพูดที่กระจัดกระจายเท่านั้น”

นางมองเฟิงอวิ๋นเซิงแวบหนึ่ง “ศิษย์พี่เฟิงทำดีมาโดยตลอด ดูแลศิษย์เป็นอย่างดี ศิษย์คิดว่าตนน่าจะเข้าใจผิด ดังนั้นไม่กล้ากล่าวเหลวไหล”

ฉางเจิ้นเอ่ย “หงเจียฉีต้องการทำพิธีโลหิตจิตหวนเวลากลับเจ้า เจ้ายินยอมหรือไม่”

อิ่นหลิวหัวมองเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างเป็นกังวล พูดด้วยความลังเล “ศิษย์…ศิษย์…”

เฟิงอวิ๋นเซิงมองอิ่นหลิวหัวอย่างมั่นคง สายตามองสลับระหว่างอิ่นหลิวหัวกับหงเจียฉี

จางคุนกับผู้อาวุโสฉินขมวดคิ้ว

ฉางเจิ้นเห็นดังนั้น จึงงอนิ้วดีด ลำแสงสายหนึ่งพุ่งไปกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงกลางวิหาร ครอบคลุมอิ่นหลิวหัวกับหงเจียฉีไว้ด้านใน

หงเจียฉีกรีดนิ้วของตัวเองโดยไม่ลังเล เลือดหยดหนึ่งซึมออกมา กลายเป็นเส้นเลือดหมุนเวียนกลางลำแสง

ภายใต้การชี้นำของฉางเจิ้น อิ่นหลิวหัวทำเช่นเดียวกัน

วินาทีถัดมา กระจกแสงใบหนึ่งค่อยๆ ลอยลงมากลางวิหาร

มีภาพปรากฏขึ้นในกระจกแสง ทุกคนมองไป สีหน้าอดปรากฏความตกตะลึงไม่ได้

นั่นคือภาพกระแสบ้าคลั่งที่พลังแห่งผนึกก่อให้เกิดขยายออกไปรอบข้างอย่างต่อเนื่องในตอนที่ผนึกสมบูรณ์แล้ว

จากนั้นก็เห็นฟู่เอินซูกับเหมิงอี้กำลังต่อสู้กัน

“คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงจริงๆ! ลูกศิษย์ที่ข้าฟู่เอินซูภูมิใจที่สุด เป็นข้าที่ฟูมฟักให้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์!” เสียงของฟู่เอินซูดังออกมาจากในพายุ เต็มไปด้วยความผิดหวังและความเคียดแค้น “พวกเจ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ใช้แผนทรมานตน แม้แต่หลานของพานป๋อไท่ยังเสียสละได้หรือ?”

เสียงของเหมิงอี้ยิ่งใหญ่ดุจท้องฟ้า “ถ้าหากเจ้าไม่พบความลับของมู่เกอ ข้าเองอาจจะไว้ชีวิตเจ้าอีกสักพัก ถึงอย่างไรตามที่มู่เกอพูด เจ้าเชื่อใจนางมาก”

“แต่น่าเสียดายนัก เจ้าหาเรื่องใส่ตัว สุดท้ายส่งตัวเองมาบนเส้นทางความตาย โทษคนอื่นไม่ได้”

ฟู่เอินซูกล่าวอย่างเย็นชา “ต่อให้ข้าตาย ก็จะลากเฒ่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้าไปตายด้วย!”

ทั้งสองสู้กันถึงจุดดุเดือด เห็นฟู่เอินซูเสี่ยงโจมตี ส่งตัวเองกับเหมิงอี้เข้าไปในคลื่นซัดสาดที่เกิดจากพลังของผนึก เพื่อตกตายร่วมกัน

ภาพเงาแสงสลายไปเพียงเท่านั้น บรรยากาศเคร่งขรึมเหมือนยังลอยวนอยู่ในวิหาร

จางคุนกับผู้อาวุโสฉินมองหน้ากัน สีหน้าต่างถมึงทึง

อิ่นหลิวหัวร่างสั่นไหว มองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยความตื่นตระหนก

เฟิงอวิ๋นเซิงมิได้มองหงเจียฉีอีกต่อไป เพียงจ้องมองอิ่นหลิวหัวตรงๆ

ฉางเจิ้นโบกมือ ห้ามไม่ให้เฟิงอวิ๋นเซิงมองกดดันอิ่นหลิวหัว ก่อนจะกล่าวอย่างเชื่องช้า “ศิษย์หลานเฟิง มิใช่ไม่ให้โอกาสเจ้าอธิบาย เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”

“มิใช่ข้า” เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าว

ฉานเจิ้นถาม “เช่นนั้นเป็นใคร?”

เฟิงอวิ๋นเซิงมองอิ่นหลิวหัวอีกครั้ง

สถานการณ์ในตอนที่อิ่นหลิวหัวได้มารวมตัวกับพวกนางอีกครั้งเพราะได้รับการช่วยเหลือหลังจากพลัดหลงไป สับสนเกินไป เมื่อฟู่เอินซูเจออิ่นหลิวหัว จึงยังไม่ได้พูดกับเฟิงอวิ๋นเซิง

แต่ว่าเฟิงอวิ๋นเซิงรู้ดีว่า ตนมิใช่สายลับของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์!

ดังนั้นพิธีกรรมโลหิตจิตหวนเวลาต้องมีปัญหาแน่

ถ้าไม่ใช่ภาพปลอม ท่านอาจารย์ฟู่เอินซูก็ถูกคนหลอกลวง เข้าใจตนผิดไป

เฟิงอวิ๋นเซิงรู้สึกว่าตนถูกเล่นงานแล้ว

ไม่ใช่คนเดียว แต่มีตาข่ายยักษ์ผืนหนึ่งครอบคลุมมาทางนาง

เพลิงโทสะลุกโชนในดวงตาทั้งสองข้างของเฟิงอวิ๋นเซิง นางหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาสงบลงกว่าเดิม “ข้าถูกคนกล่าวหา”

นางกวาดมองอิ่นหลิวหัวและหงเจียฉี “พิธีโลหิตจิตหวนเวลาอาจจะสร้างเรื่องเท็จได้เช่นกัน”

หงเจียฉีได้ยินดังนั้นแค่นเสียง ส่วนอิ่นหลิวหัวเม้มปากแน่น สีหน้าไม่นับว่าสงบนัก แต่จิตใจตึงเครียดขึ้น

คำพูดของเฟิงอวิ๋นอวิ๋นเซิงเท่ากับหันหัวหอกมาทางนาง ระหว่างศิษย์พี่และศิษย์น้องร่วมสำนักไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีกแล้ว