ภาค 6 ยันฟ้าด้วยมือเดียว บทที่ 557 ปั้นน้ำเป็นตัว

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

“ข้า?!” เฟิงอวิ๋นเซิงมองฉางเจิ้นด้วยความตกใจ เห็นฉางเจิ้นและจางคุนต่างมองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เฟิงอวิ๋นเซิงสงบจิตใจ กล่าวเสียงทุ้มว่า “บุญคุณที่อาจารย์มีต่อข้าดุจขุนเขา ข้าจะเผยร่องรอยของนางให้คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์รู้ได้อย่างไร”

ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสฉินเพียงได้รับการแจ้งจากฉางเจิ้น จึงรีบมาด้วยความตกตะลึง ไม่ค่อยทราบรายละเอียมากนัก

เขาเห็นว่าเฟิงอวิ๋นเซิงมิได้เสแสร้งแกล้งทำ จึงส่งกระแสเสียงหาฉางเจิ้นและจางคุนอย่างสงสัย ‘หรือว่าจะพลาดโดยมิได้ตั้งใจ?’

ฉางเจิ้นส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยปากว่า “อีกฝ่ายไม่เพียงแต่บอกว่าเจ้าเปิดเผยร่องรอยของศิษย์น้องฟู่เท่านั้น ในขณะเดียวกันยังให้เหตุผลที่เจ้าทำแบบนี้ด้วย?”

เฟิงอวิ๋นเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อย “เขาใส่ร้ายอะไรข้า?”

“ใช่การใส่ร้ายหรือไม่ ไม่อาจใช้คำสองสามประโยคตัดสินได้” ฉางเจิ้นกวาดสายตามองเฟิงอวิ๋นเซิง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ตามคำพูดของอีกฝ่าย เจ้าเปิดเผยร่องรอยของศิษย์น้องฟู่ เป็นเพราะนางทราบว่าเจ้ามีการคบหากับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อย่างลับๆ มีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน”

“หลังจากเจ้าทราบว่าศิษย์น้องฟู่พบความลับของเจ้าแล้ว เพื่อรักษาความลับต่อไป จึงขายนางให้กับคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ให้ยอดฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาช่วยเจ้าฆ่าปิดปาก”

“เป้าหมายในตอนนั้นของเหมิงอี้มิใช่เจ้ากับศิษย์หลานอิ่นที่เป็นสตรีแห่งจันทรา ศิษย์น้องฟู่มิได้พบเจออันตรายเพราะปกป้องเจ้า แต่เป็นเพราะสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หมายตาศิษย์น้องฟู่อยู่แล้ว นางเป็นคนที่พวกเขาต้องการกำจัด”

เฟิงอวิ๋นโมโห จากนั้นจึงบังคับให้ตัวเองใจเย็นลง “ขอถามว่าผู้บอกความลับให้ท่านทราบอยู่ที่ใด ข้ายินดีตอบคำถามต่อหน้าเขา”

“อีกฝ่ายพูดโกหกทั้งเพ ปั้นน้ำเป็นตัว”

ผู้อาวุโสฉินมองฉางเจิ้นและจางคุนอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย

เฟิงอวิ๋นเซิงมิใช่ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงทั่วๆ ไป หากพูดให้ถูกต้อง นางไม่ใช่ลูกศิษย์สายตรงของเขากว่างเฉิ’

ถึงแม้จะสู้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ แต่ว่าตัวนางมีความสำคัญพิเศษที่คนทั่วไปไม่มี สำหรับสำนัก นางมีคุณค่าในเชิงกลยุทธ์ที่เหนือกว่าพลังฝึกปรือในตอนนี้ของนางเสียอีก

ถ้าหากนางไม่ได้ความยังพอทำเนา แต่ว่าจากการแสดงฝีมือในการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่ห้าและครั้งที่หก เฟิงอวิ๋นเซิงเป็นผู้แข่งขันที่มีสิทธิ์จะได้มงกุฎจันทรามากที่สุด

แปดพิภพต่างทราบว่า การทดสอบแห่งจันทราครั้งที่เจ็ดนี้ เมิ่งหวานแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่แน่ว่าจะครองอันดับหนึ่งได้อีก

ถึงแม้ว่าเฟิงอวิ๋นเซิงจะพ่ายต่อเมิ่งหวานไปเพียงกระบวนท่าเดียวในการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่หก แต่ว่าแนวโน้มในการพัฒนาของนางก็รวดเร็วกว่าอีก่ายมาก

บนโลกแปดพิภพในปัจจุบันนี้ เฟิงอวิ๋นเซิงมีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว

เนื่องจากการมีอยู่ของเยี่ยนจ้าวเกอ คนหนุ่มสาวของเขากว่างเฉิงจึงแทบจะถูกครอบคลุมอยู่ใต้แสงสว่างของเขา เฟิงอวิ๋นเซิงเป็นข้อยกเว้นในจำนวนน้อยทีเดียว

ศิษย์ในสำนักเช่นนี้ ไม่ว่าจะสำหรับขุมกำลังใด ล้วนเป็นเหมือนของล้ำค่าอย่างยิ่ง แม้กระทั่งปฏิบัติกับคนผู้นั้นราวกับเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์

สำนักต้องการปกป้อง ศัตรูย่อมต้องหาวิธีจัดการ

หลักฐานที่มาจากโลกภายนอกเช่นนี้ ตามปกติแล้วสำนักย่อมเข้าข้างลูกศิษย์ของตัวเองก่อน

ผู้อาวุโสฉินก็เป็นเช่นนี้ ในอดีตหลังจากเขาได้พบเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงที่อาณาจักรถังตะวันออกบนเกาะนภาตะวันออก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจรับตัวนางไว้

เขามีความทรงจำต่อเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงไม่เลว ในตอนนี้บทลงโทษที่นางจะได้รับ ไม่ได้มาจากโทษฐานการเปิดเผยร่องรอยของฟู่เอินซู แต่เป็นโทษที่แจ้งศัตรูให้สังหารผู้เป็นอาจารย์ ผู้อาวุโสฉินจึงไม่เชื่อในทันที

ถึงอย่างไร การทรยศสำนักเข้ากับศัตรูกับการสังหารผู้เป็นอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นสำนักหรือพรรคใด ล้วนเป็นโทษใหญ่ลำดับหนึ่ง

ถ้าหากถูกตรวจสอบว่าเป็นความจริง นอกจากความตายแล้ว ไม่มีผลลัพธ์ที่สองอีก

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต้องการกำจัดเฟิงอวิ๋นเซิงเสมอมา วันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น

สถานการณ์ของเฟิงอวิ๋นเซิงค่อนข้างมีความพิเศษ ไม่เพียงแต่ตอนเข้าสำนักเท่านั้น หลังจากเข้าสำนักมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต่างถูกตรวจสอบทั้งในที่ลับและที่แจ้งโดยเขากว่างเฉิง สุดท้ายก็ผ่านมาได้ และมีวันนี้

ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้อาวุโสฉินคิดว่าเฟิงอวิ๋นเซิงไม่น่าจะมีปัญหาจึงจะถูก หากมีปัญหาควรจะตรวจสอบได้ตั้งแต่ต้น เหตุใดต้องรอถึงวันนี้

ฉางเจิ้นมองผู้อาวุโสฉิน พยักหน้าช้าๆ

มองจากท่าทีจริงจังของเขา ในใจของผู้อาวุโสฉินกลายเป็นเคร่งขรึม

ฉางเจิ้นหันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง ไม่ได้พูดเรื่องตอบคำถามต่อหน้า แต่เปลี่ยนเป็นถามว่า “ในตอนที่เจ้าพลัดหลงกับศิษย์น้องฟู่ ศิษย์หลานอิ่นได้อยู่กับศิษย์น้องฟู่หรือไม่ หรือว่าพลัดลงเช่นเดียวกัน”

“ในตอนนั้นท่านอาจารย์กับศิษย์น้องอิ่นสมควรอยู่ด้วยกัน มีแค่ข้าคนเดียวที่ถูกกระแสลมซึ่งเหมือนกับพายุพัดไป” เฟิงอวิ๋นเซิงตอบ “ต่อมาได้ยินศิษย์น้องอิ่นเล่าว่า หลังจากนั้นนางก็พลัดหลงกับท่านอาจารย์”

“หลังจากที่เจ้ากับศิษย์น้องฟู่พลัดหลงกันแล้ว เจ้าได้เจอคนอื่นหรือไม่” ฉางเจิ้นถาม

เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าเจอคนอีกครั้ง ก็เป็นผู้อาวุโสในสำนักที่ตามหาข้าเจอ”

ฉางเจิ้นมองเฟิงอวิ๋นเซิงครู่หนึ่ง ค่อยๆ กล่าวว่า “จำเป็นต้องถามกันต่อหน้าจริงๆ แต่ไม่ใช่กับเจ้า”

เขาใช้ญาณจริงแท้ส่งกระแสเสียงออกไป ‘พาหงเจียฉีเข้ามา’

หงเจียฉีคือคนที่ชี้ตัวเฟิงอวิ๋นเซิง เขาเป็นจอมยุทธ์พเนจรที่เคลื่อนไหวอยู่บริเวณทะเลตะวันออก มีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณ ทว่าไร้พรรคและไร้สำนัก

ฉางเจิ้นมองหงเจียฉี “พวกเราเป็นคนรู้จักเก่า เจ้าอุตส่าห์มาแจ้งข่าว ข้ารู้สึกซาบซึ้งนัก แต่ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก ศิษย์หลานเฟิงเป็นศิษย์สายตรงของสำนักเรา ฝีมือความสามารถของนางยอดเยี่ยมมาโดยตลอด”

อีกฝ่ายกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ผู้อาวุโสฉาง เป็นเพราะว่าเรารู้จักกัน ข้าถึงได้มาที่นี่”

“ไม่พูดถึงเรื่องเก่าแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ สำนักท่านทางหนึ่งสะกดปฐพีพิภพ ทางหนึ่งต่อสู้กับปีศาจอัคคีที่ทะเลตะวันออก ยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนสิ้นชีวิต เสียสละครั้งใหญ่ ส่งผลประโยชน์ไปอีกพันปี”

“ครั้งนี้ที่แปดพิภพผ่านพ้นภัยพิบัติการตีขนาบข้างของปีศาจอัคคีและมารร้ายจากนพยมโลกได้ สำนักท่านย่อมมีคุณูปการมากที่สุด”

“กลับกัน สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลับแทงข้างหลังในขณะที่แปดพิภพร่วมมือกันต่อต้านศัตรูภายนอก

“ถึงข้าจะไร้พรรคไร้สำนัก มีพลังฝึกปรือตื้นเขิน แต่ก็ไม่ชอบการกระทำชั่วช้าเช่นนี้ และไม่อยากให้สำนักของท่านถูกเล่ห์เหลี่ยมเล่นงานหลังจากที่เสียสละชีวิตไปมากมาย ในครั้งนี้จึงมาที่นี่”

หงเจียฉีประสานมือให้กับพวกฉางเจิ้น “สำหรับสถานการณ์โดยละเอียดของลูกศิษย์ท่าน ข้าไม่มั่นใจมากนัก และไม่ทราบว่ามีความจริงที่อยากปกปิดอะไรหรือไม่ ข้าเพียงแต่บอกเล่าสิ่งที่ข้าได้พบได้เห็น ส่วนจะจัดการอย่างไร ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสฉางจะตัดสินอย่างเป็นธรรม”

เฟิงอวิ๋นเซิงขมวดคิ้วมองหงเจียฉี “ข้ากับท่านไม่เคยรู้จักกัน ในนี้มีความเข้าใจผิดใช่หรือไม่?”

“เจ้าคือเฟิงอวิ๋นเซิงหรือ?” หงเจียฉีหันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง

“ถูกต้อง” หญิงสาวตอบ

หงเจียฉีมองเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างล้ำลึก พูดด้วยน้ำเสียงครุมเครือว่า “ข้ากับท่านไม่รู้จักกันจริงๆ ดีแล้วที่เป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นบางทีข้าอาจจะมีจุดจบเหมือนอาจารย์ท่าน”

เฟิงอวิ๋นเซิงเลิกคิ้ว ฉางเจิ้นยกมือห้ามปรามนาง “ศิษย์หลานเฟิง ข้าบอกแล้วว่าคนที่ต้องการสอบถามต่อหน้าเขามิใช่เจ้า”

เขาส่งเสียงพูด “ศิษยหลานอิ่น โปรดเข้ามา”

เฟิงอวิ๋นเซิงงงงวย ครั้นหันไปมอง ก็เห็นอิ่นหลิวหัวเดินเข้ามาในวิหาร

ฉางเจิ้นมองหงเจียฉีกับอิ่นหลิวหัว กล่าวว่า “เพื่อให้ความจริงปรากฏขึ้น จำเป็นต้องดำเนินพิธีโลหิตจิตหวนเวลา พวกเจ้าสองคนจะคัดค้านหรือไม่”