ตอนที่ 1217 วันสิ้นโลก (1) โดย Ink Stone_Fantasy
ปราสาทรีเฟลคสโนว์ อาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์
“ท่านเอิร์ล…ท่านเอิร์ล…กองทัพของเกรย์คาสเซิล ถอนกำลังออกไปแล้วขอรับ!” ในตอนที่องครักษ์คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องโถงของปราสาทแล้วแจ้งข่าวนี้ให้ทราบ สายตาของขุนนางทุกคนต่างจับจ้องมาที่เขา
“เจ้าแน่ใจ?” เอิร์ลมาร์เวนเอามือตบที่วางแขนบนเก้าอี้พร้อมลุกขึ้นยืนทันที
“แน่ใจขอรับ ไม่ใช่แค่สายสืบเท่านั้นที่พูดแบบนี้” องครักษ์รีบพยักหน้า “มีชาวบ้านเห็นพวกเขาถอนค่ายออกไปทั้งหมดภายในคืนเดียว แถมยังทิ้งเสบียงเอาไว้ไม่น้อยด้วยขอรับ!”
“ในที่สุดเจ้าคนพวกนี้…ก็ไสหัวกลับไปแล้ว!” เอิร์ลหัวเราะเสียงดังขึ้นมา แถมอารมณ์เขาก็ยังรู้สึกผ่อนคลายขึ้นด้วย เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ จู่ๆ คนพวกนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เมืองท่าต่างๆ ของอีเทอร์นอลวินเทอร์ แถมยังกระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ประนีประนอม ไม่ยอมรับการยอมแพ้และของบรรณาการ พวกเขากวาดชาวบ้านในพื้นที่ที่พวกเขาเดินทางไปจนเกือบจะหมด การกระทำที่ป่าเถื่อนเช่นนี้เรียกได้ว่าน่ากลัวกว่าศาสนจักรเสียอีก เพราะอย่างน้อยศาสนจักรก็ยังพูดคุยตกลงกันได้
ส่วนเหตุผลในการกวาดต้อนคนของทางเกรย์คาสเซิลก็ไร้สาระอย่างมาก พวกเขาบอกว่าพระจันทร์สีแดงจะนำพาภัยพิบัติมา จึงต้องรีบพาคนออกไปก่อนที่มันจะมาถึง ช่างน่าขันเสียจริงๆ! ที่ดินผืนนี้เป็นมรดกที่บรรพบุรุษของบรรพบุรุษของเขาทิ้งไว้ให้ ไม่มีใครที่จะแย่งมันไปจากเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นศาสนจักรหรือเกรย์คาสเซิลก็ตาม
“ท่านเอิร์ลช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก” นักปราชย์แก่ๆ คนหนึ่งพูดชมขึ้นมา “พระจันทร์เต็มดวงพระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์มืดพระจันทร์สว่างนั้นล้วนแต่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมาเมื่อถึงเวลา พวกเขาอยากจะเชื่อว่านี่เป็นลางที่ไม่ดีมันก็เป็นเรื่องของพวกเขา ขอเพียงท่านเอิร์ลอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน พวกเขาก็ทำอะไรท่านไม่ได้”
“ถูกต้อง หน้าผารอบๆ ปราสาทรีเฟลคสโนว์ต่างหากก็แหล่งรายได้ที่สำคัญของท่าน”
“ถ้าคนของเกรย์คาสเซิลอยากจะพูดคุยตกลง พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ยอมเจรจา”
“ตอนแรกศาสนจักรก็มีท่าทีแข็งกร้าวแบบนี้เหมือนกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังแต่งตั้งท่านให้เป็นมุขนายกเลยไม่ใช่เหรอ?”
คนอื่นๆ พากันพูดสำทับขึ้นมา
เอิร์ลมาร์เวนยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เขามองดูปรากฏการณ์ธรรมชาติแปลกๆ ที่อยู่บนท้องฟ้านอกหน้าต่าง ภายในใจเขาไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนในตอนแรกแล้ว เรียกได้ว่าเกิดความรู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำ ถ้าไม่เป็นเพราะปรากฏการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นมาเมื่อสามวันก่อนนี้ คนของเกรย์คาสเซิลคงจะบุกเข้าไปในพื้นที่ด้านในของอีเทอร์นอลวินเทอร์ แล้วปราสาทรีเฟลคสโนว์ก็คงจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
ถึงแม้จะได้ยินมาว่าคนป่าเถื่อนพวกนั้นจะไม่ค่อยเปิดฉากโจมตีใส่เมืองของขุนนางก่อน ขอเพียงไม่ไปยุ่งกับงานของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สนใจอะไรพวกขุนนางเลย แต่การแย่งชิงคนไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้มันก็เท่ากับเป็นการแย่งชิงทรัพย์สมบัติของขุนนางเหมือนกัน
ถ้าอีกฝ่ายกวาดเอาชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เมืองไปจนหมดจริงๆ อย่างนั้นพอถึงตอนเดือนแห่งปีศาจจะทำยังไง?
ที่นี่คือแหล่งรายได้หลักของเขาอย่างที่พวกขุนนางคนอื่นๆ ว่าไว้ มันตั้งอยู่ท่ามกลางหน้าผา รอบๆ เป็นหุบเหวลึกที่กั้นระหว่างมันกับหน้าผา ทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นเหมือนเกาะที่อยู่บนแผ่นดินตามธรรมชาติ รอยแตกที่กว้างที่สุดนั้นกว้างหลายกิโลเมตร ส่วนรอยแตกที่แคบที่สุดก็กว้างแค่สิบกว่าฟุต มีแต่ต้องใช้สะพานเชือกในการเดินข้ามเท่านั้น ส่วนพื้นที่กลางรอยแตกก็กว้างอย่างมาก กว้างพอที่จะใส่กำแพงเมืองเข้าไปได้หลายเมืองเลย
เป็นเพราะบรรพบุรุษเล็งเห็นว่าที่นี่ง่ายต่อการป้องกันและยากต่อการโจมตี พวกเขาถึงได้เอาปราสาทผู้ปกครองมาตั้งไว้บน ‘เกาะ’ แห่งนี้ และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องนี้ นับตั้งแต่ที่ปราสาทรีเฟลคสโนว์ถูกสร้างขึ้นมามันก็ไม่เคยถูกโจมตีมาก่อน ถึงแม้ศาสนจักรจะสามารถกวาดล้างอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ทั้งอาณาจักรได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่มีเพียงปราสาทรีเฟลคสโนว์แห่งนี้ที่พวกเขาบุกโจมตีไม่สำเร็จ ดังนั้นพวกเขาจึงส่งทูตเข้ามาเจรจา โดยบอกว่าขอเพียงจงรักภักดีต่อศาสนจักร เขาก็จะได้ปกครองที่นี่ต่อ สำหรับเอิร์ลแล้ว นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่คนปกติทำกัน
และเขาก็อาศัยข้อได้เปรียบในจุดนี้ในการรักษาท่าทีนิ่งเงียบไม่พูดอะไร โดยหวังจะได้ค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อจากอีกฝ่าย
แต่เงื่อนไขที่วิมเบิลดันประกาศออกมานั้นทำให้เขาไม่สามารถยอมรับได้
เอิร์ลมาร์เวนไม่ได้กังวลว่าคนของเกรย์คาสเซิลกับปีศาจที่พวกเขาพูดถึงจะบุกโจมตีที่นี่ เพราะไม่มีอะไรที่จะเป็นแนวป้องกันไปได้ดีกว่าหน้าผาที่สูงหลายหมื่นฟุตแล้ว แต่เมืองนั้นจำเป็นต้องมีเสบียงอาหารที่ส่งมาจากหมู่บ้านรอบๆ เหมือนกัน ต่อให้ในคลังเสบียงใต้ดินของปราสาทรีเฟลคสโนว์จะมีเสบียงเก็บเอาไว้มากพอให้ใช้จนกว่าศัตรูจะยอมแพ้ไป แต่ทันทีที่ชาวบ้านถูกพาตัวไปแล้ว เสบียงที่ใช้ไปก็จะไม่สามารถเติมกลับมาให้เป็นเหมือนเดิมได้อีก
แต่ที่โชคดีก็คือพวกเขาตกใจกลัวพระจันทร์สีแดง
“ท่านแซค หลังจากนี้ข้าควรจะทำยังไงดี?” มาร์เวนมองไปทางปราชย์แก่
“เหอๆๆ ก็ต้องบุกไปโจมตีน่ะสิ” อีกฝ่ายพูดพร้อมลูบเคราของตัวเอง
สีหน้าเอิร์ลเคร่งเครียดทันที ความยุ่งยากในการป้องกันปราสาทรีเฟลคสโนว์กับการบุกออกไปหาอีกฝ่ายนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าไม่มีป้อมปราการธรรมชาติอันนี้ เขาคงไม่มีความกล้าพอที่จะสู้กับราชาแห่งเกรย์คาสเซิลแน่
“ไม่ต้องกลัว ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงคนของเกรย์คาสเซิล หากแต่เป็นพวกผู้ปกครองที่ถูกพวกเขาชิงเอาคนไป — ลองคิดดูสิ ในรายงานของสายก็มีบอกเอาไว้ว่าศัตรูกระจายกำลังกันออกไป กองทัพเล็กๆ กองหนึ่งก็มีคนแค่ประมาณร้อยคนเท่านั้น จำนวนคนแค่นี้จะขนของไปได้เท่าไร?”
มาร์เวนตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “ความหมายของเจ้าคือ…”
ปราชญ์แก่พยักหน้ายิ้มๆ “คนที่ถูกพาตัวไปจะต้องทิ้งอะไรไว้บ้างแน่ พวกเราแค่ตระเวนค้นตามเส้นทางที่คนของเกรย์คาสเซิลผ่าน เราน่าจะพอเก็บตกอะไรได้บ้าง”
อย่างเช่นเสบียงที่ไม่สะดวกต่อการขนย้าย…
มาร์เวนยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น ในขณะที่เขาเรียกหัวหน้าอัศวินของตัวเองมาเพื่อเตรียมตัวออกคำสั่ง องครักษ์อีกคนหนึ่งพลันวิ่งเข้ามาในห้องโถง “นะ นายท่าน…นอกเมือง มีปีศาจตัวหนึ่งขอรับ…”
“ปีศาจอะไร?” เอิร์ลถลึงตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด “แม้แต่เจ้าก็เชื่อเรื่องปีศาจที่คนของเกรย์คาสเซิลมันพูดงั้นเหรอ?”
“ขะ ขออภัยขอรับ….นายท่าน แต่ว่ามัน…” เสียงขององครักษ์สั่นเครือขึ้นมา “แต่ว่ามันไม่ใช่มนุษย์จริงๆ นะขอรับ!”
ไม่ใช่…มนุษย์?
ทุกคนสบตากัน
หัวใจของมาร์เวนเองก็เต้นแรงขึ้นมาเหมือนกัน แต่ในฐานะที่เป็นผู้นำ เขาจำเป็นต้องแสดงความสุขุมเอาไว้
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็พาข้าไปดูมันหน่อยแล้วกัน” เอิร์ลสะกดอารมณ์แล้วทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ข้าอยากจะดูเหมือนกันว่าเจ้าพวกที่อาศัยอยู่ในนรกมันหน้าตาเป็นยังไง”
….
ปากถึงแม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในตอนที่เขาเดินขึ้นไปบนกำแพงเมือง เขาก็ได้เปลี่ยนไปใส่ชุดเกราะที่ดีที่สุดของตน อีกทั้งยังสวมใส่หินอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่เอาไว้ด้วย องครักษ์สิบกว่าคนห้อมล้อมเขาเอาไว้ โล่หนาๆ ตั้งกันไว้รอบตัวเขากลายเป็นเหมือนกำแพง
แต่ว่าในตอนที่มองเห็นอีกฝ่าย มาร์เวนพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ครั้งนี้ลูกน้องตัวเองไม่ได้มองผิดไปจริงๆ เจ้า ‘ปีศาจ’ ที่ว่านั้นมีตัวเดียว
ตำแหน่งที่มันยืนอยู่นั้นไม่ใช่รอยแตกที่แคบที่สุด แล้วก็ไม่ใช่จุดที่อ่อนแอที่สุดบนกำแพงเมือง หากแต่ยืนอยู่บนเสาหินแท่งหนึ่งที่ตั้งโด่ขึ้นมาต้นเดียว ความสูงของมันเหมือนจะสูงกว่ากำแพงนิดหน่อย หากขยับมาข้างหน้าอีกหน่อยก็จะเป็นหุบเหวที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น อัศวินที่ลาดตระเวนได้สั่งให้ลูกน้องตั้งเครื่องยิงหน้าไม้เล็งไปที่เป้าหมาย
หลังจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว มาร์เวนถึงได้พบว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ถึงแม้มันจะมีสองขาสองแขนเหมือนกัน แต่ร่างกายกลับใหญ่กว่ามนุษย์มาก ขณะเดียวกันผิวหนังก็ออกเป็นสีเขียว แถมยังมองเห็นเส้นเลือดกับเส้นเอ็นที่ปูดบวมออกมาด้วย แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนก็คือหนวดสั้นๆ ยาวๆ ที่งอกออกมาจากแก้ม คางและข้อศอกของมัน เจ้าสิ่งที่กำลังขยับไปหาเหมือนไส้เดือนนั้นทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้และขนลุก
แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจก็คือในเวลานี้ปีศาจกำลังหลับตาอยู่ เหมือนว่ามันกำลังนอนหลับอยู่อย่างไรอย่างนั้น ดูไม่ได้เหมือนจะมีภัยคุกคามอะไรเลย
เจ้าสัตว์ประหลาดนี่มันถูกพระจันทร์สีแดงนำมาจริงๆ เหรอ? ไม่…นั่นเป็นแค่คำพูดที่คนของเกรย์คาสเซิลใช้ขู่พวกชาวบ้านให้กลัวเท่านั้น เอิร์ลคิดในใจ ไม่ว่ามันจะมาจากไหน มันก็ไม่เกี่ยวกับวันสิ้นโลกอย่างที่ลือกัน ในทางกลับกัน ขอเพียงเขาออกคำสั่งยิง เจ้าปีศาจนั้นจะต้องถูกลูกดอกยิงใส่แน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มาร์เวนจึงสูดหายใจพร้อมตะโกนเสียงดังว่า “ฟังให้ดีนะเจ้าสัตว์ประหลาดที่สกปรกและน่ารังเกียจ! ข้าคือลอร์ดแห่งปราสาทรีเฟลคสโนว์ มาร์เวน ไพค์! เจ้ากำลังบุกรุกดินแดนของข้า ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดก็จงคุกเข่ายอมสยบต่อข้าซะ ไม่อย่างนั้นหุบเหวที่อยู่ด้านล่างนี้จะเป็นหลุมฝังศพของเจ้า!”
เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะฟังคำพูดของตัวเองรู้เรื่อง คำพูดนี้แทนที่จะบอกว่าเป็นการเตือนปีศาจ ควรจะบอกว่าเขาจงใจพูดออกไปเพื่อแสดงให้เหล่าลูกน้องของตัวเองที่อยู่บนกำแพงได้เห็นความกล้าของเขาซึ่งเป็นผู้ปกครองของที่นี่
ในเมื่อคนของเกรย์คาสเซิลคิดว่านี่คือปีศาจร้ายจากขุมนรก ถ้าเขาสามารถขู่ให้มันหนีไปหรือฆ่ามันได้ นั่นจะต้องทำให้ชื่อเสียงและบารมีของตนเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน
“ข้าไม่มีความอดทนมากขนาดนั้นนะ ตอนนี้ข้าจะให้เวลาเจ้า 5 วินาทีในการตัดสินใจ….5, 4!”
มาร์เวนด้านหนึ่งก็นับไป อีกด้านหนึ่งส่งสัญญาณมือให้อัศวินเตรียมตัวยิง
“3…”
จู่ๆ ปีศาจก็ลืมตาขึ้นมาแล้วตะโกนเสียงดัง “พอได้แล้ว!”
เสียงของมันระเบิดดังขึ้นมาเหมือนสายฟ้า เกล็ดหิมะที่เกาะอยู่บนกำแพงร่วงกราวลงไปด้านล่าง ยอดของภูเขาทำให้เสียงของมันสะท้อนไปมา ทันใดนั้นเอง มาร์เวนรู้สึกเหมือนแผ่นดินสะเทือนขึ้นมา หูของเขามีเสียงดังวิ้งๆ ขาของเขาก้าวถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะล้มก้นกระแทกลงไปกับพื้น
……………………………………………………….