ตอนที่ 1218 วันสิ้นโลก (2)

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1218 วันสิ้นโลก (2) โดย Ink Stone_Fantasy

เจ้านี่…มันพูดภาษาคนได้หรอเนี่ย!

ในตอนที่เอิร์ลถูกองครักษ์พยุงขึ้นมา เขารู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว สีหน้าดูแย่อย่างมาก เดิมเขาคิดว่าจะสร้างความน่าเกรงขามต่อหน้าลูกน้อง ขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นใจให้กับขุนนางคนอื่นๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายแค่คำรามออกมาประโยคเดียว เขาก็ล้มลงไปนั่งกองกับพื้นแล้ว สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คืออีกฝ่ายนั้นมีแค่ตัวเดียวเท่านั้น

บ้าเอ้ย ข้าจะฆ่าเจ้าสวะนี่!

มาร์เวนกัดฟันยกมือขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังจะออกคำสั่งยิง ปราชย์แก่พลันเข้ามาห้ามเขาเอาไว้ แถมยังกะพริบตาแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า ‘ใจเย็น’

เอิร์ลงุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมาทันที ถูกต้อง ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถพูดได้ อย่างนั้นก็มีโอกาสที่จะเจรจา ถ้าหากเจรจาได้ อย่างนั้นก็หมายถึงการแลกเปลี่ยนและการให้ความช่วยเหลือ ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือ ตัวเองได้รับผลกระทบจากคนของเกรย์คาสเซิล แล้วก็เลยคิดว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นศัตรูไปด้วย

เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นปีศาจหรือไม่ แต่การที่มันมาที่นี่ตัวคนเดียวนั้นอาจจะแสดงให้เห็นถึงท่าทีบางอย่าง อย่างเช่นเป็นทูตเหมือนกับของมนุษย์

ไม่อย่างนั้นทำไมมันถึงไม่ลงมือเสียอีก หากแต่จงใจที่จะยืนอยู่เฉยๆ นอกกำแพงแบบนั้น?

ถ้าอีกฝ่ายโหดเหี้ยมเหมือนอย่างที่เกรย์คาสเซิลว่าเอาไว้จริงๆ อย่างนั้นมันก็ควรจะลงไปไล่ฆ่าพวกมนุษย์แล้วถึงจะถูก เพราะหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ นั้นไม่มีรอยแตกของหุบเหวและกำแพงเมืองคอยปกป้อง

มาร์เวนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล ถ้าหากเขาไปสร้างความแค้นให้กับ ‘ปีศาจ’ ก่อนด้วยการไปฆ่าผู้ส่งสารของมัน อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าสมความตั้งใจของพวกเกรย์คาสเซิลหรอกเหรอ?

แต่ว่าเมื่อกี้ยังตะโกนบอกอีกฝ่ายให้คุกเข่ายอมแพ้อยู่เลย แล้วตอนนี้จะมาพูดเจรจากับอีกฝ่าย ความขายหน้าตรงนี้เอิร์ลรู้สึกตัวเองยากที่จะแบกรับได้

โชคดีที่ปราชญ์แก่มองความลังเลของเขาออก อีกฝ่ายถึงก้าวออกไปแล้วพูดว่า “ช่างไร้มารยาทจริงๆ! ในเมื่อพูดภาษาคนได้ อย่างนั้นเจ้าก็ควรจะแจ้งสถานะและบอกจุดประสงค์ของเจ้า! โชดีที่ท่านเอิร์ลมีเมตตา ท่านจึงยินดีที่จะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?”

ทำดีมาก มาร์เวนคิดชมอยู่ในใจ สมแล้วที่เป็นผู้ดูแลที่เขาไปเอามาจากเมืองหลวง เงินเดือน 10 เหรียญทองถือว่าคุ้มค่าจริงๆ

“ก่อนที่ข้าจะบอกเจ้า ถ้าอยากจะถามพวกเจ้าเรื่องหนึ่งก่อน” เสียงของปีศาจกลับมาดังเป็นปกติ “พวกเข้าเป็นอะไรกับ…มนุษย์ที่อยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์?”

ที่ราบลุ่มบริบูรณ์? มันคือที่ไหน? ทุกคนต่างมองหน้ากันสีด้วยสีหน้าประหลาดใจ

แต่ว่าคำพูดนี้ทำให้มาร์เวนรู้สึกใจชื้นขึ้นมา เจ้าปีศาจนี้เป็นคนส่งสารจริงๆ ด้วย

“ข้าไม่รู้ว่าที่ราบลุ่มบริบูรณ์ที่เจ้าพูดถึงมันอยู่ที่ไหน” ปราชญ์แก่พูดอีกครั้ง “มันก็เหมือนกับในดินแดนๆ หนึ่งมีที่มีทั้งเหนือแล้วก็ใต้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ากับข้ายังเป็นคนละเผ่าพันธุ์ เจ้าต้องเอาแผนที่มาดู ข้าถึงจะให้คำตอบเจ้าได้”

“ไม่ นั่นมันเป็นชื่อที่พวกเจ้าเป็นคนตั้งขึ้นมา ข้าแค่เอามาใช้เท่านั้น” อีกฝ่ายส่ายหัวเล็กน้อย “อย่างนี้นี่เอง…พวกเจ้ายังคงเป็นเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อน แบ่งออกเป็นเมืองๆ กระจัดกระจายออกไป การตอบสนองถึงได้ช้าขนาดนี้ ข้าอยากจะเห็นสีหน้าหวาดกลัวของพวกเจ้า ด้านหนึ่งตะโกนร่ำร้องว่าเป็นไปไม่ได้ อีกด้านหนึ่งกลับไม่สามารถทำอะไรกับ ‘ชะตาชีวิต’ ที่กำลังมาถึงได้”

นี่มันหมายความว่ายังไง? ใช้คำพูดอย่างกับละคร…เอิร์ลขมวดคิ้วขึ้นมา มีอยู่แวบหนึ่งที่เขาเหมือนจะเห็นความผิดหวังในสีหน้าแปลกๆ ของอีกฝ่าย

“หรือว่า…เจ้าหมายถึงพวกเกรย์คาสเซิล?” จู่ๆ หัวหน้าอัศวินก็ถามขึ้นมา

“หืม?” ปีศาจมองมาทางเขา

“พวกเขาเอาแต่พูดอยู่ตลอดเวลาในตอนที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้น ปีศาจจะปรากฏตัวขึ้นมาจากนรก ตอนนี้พวกมันกลัวจนหนีกลับไปนานแล้ว” อัศวินพูดดูถูกขึ้นมา “แต่แน่นอน ถ้าฝีเท้าเจ้าเร็วพอล่ะก็ ไปทางท่าเรือตะวันออกอาจจะได้เจอพวกมันก็ได้”

“งั้นเหรอ?” มันเหลือบมองไปทางตะวันออก ก่อนจะดึงสายตากลับมาอีกครั้ง “ข้าไปแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้เรื่องที่ราบลุ่มบริบูรณ์ อย่างนั้นข้าก็จะให้ฟังสั้นๆ แล้วกัน”

“ข้าคือสกายลอร์ด ผู้บัญชาการของกองทัพตะวันตก เมื่อพันปีก่อน เผ่าพันธุ์เจ้ากับข้าเคยเซ็นสัญญาคุ้มครองเอาไว้ พวกเราตกลงกันเอาไว้ว่าจะกำจัดแม่มดและลูกสมุนของพวกนาง พวกเจ้ายกเผ่าพันธุ์ข้าให้เป็นผู้นำและทำศึกภายใต้การบังคับบัญชาของข้า สิ่งตอบแทนที่พวกเจ้าจะได้รับคืออำนาจและทรัพย์สมบัติ สัญญานี้ไม่มีเวลาสิ้นสุดจนกว่าแม่มดจะตายไปจนหมด และพวกเจ้าซึ่งเป็นผู้สืบทอดของมนุษย์ก็ควรจะทำงานให้กับเผ่าพันธุ์ข้าต่อ” เสียงของปีศาจดังกังวานขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าทั่วทั้งหมดต่างก็ได้ยินเสียงของมันอย่างไรอย่างนั้น “ตอนนี้ ข้าขอให้พวกเจ้าทำตามสัญญาด้วยการมอบเมืองนี้และรับใช้ข้าเดี๋ยวนี้!”

เจ้านี่มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย…เอิร์ลมาร์เวนพูดอะไรไม่ออก สัญญาพันกว่าปีอะไรกัน สัญญาแค่ปีสองปีก็ยังเบี้ยวกันเลย แล้วสัญญาเมื่อพันปีก่อนใครมันจะไปสนใจกันล่ะ แล้วยังเรื่องที่บอกว่าเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพตะวันตกนั่นอีก เป็นถึงผู้บังคับบัญชาแต่กลับไม่ส่งทูตมาเจรจาก่อน มายังดินแดนคนอื่นคนเดียวแบบนี้ จะพูดจะจาอะไรก็ให้มันมีขอบเขตบ้าง!

“ถ้าข้าไม่ตกลงล่ะ?” คำพูดนี้มันไร้มารยาทเกินไป เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

“ความตายจะทำให้เจ้ายอมเอง” ปีศาจที่เรียกตัวเองว่าสกายลอร์ดเงยหน้าขึ้น “ดูนั่น นั่นคือชะตาชีวิต”

เอิร์ลเงยหน้าขึ้นไป  ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ขุนเขาที่อยู่ไกลออกไปมีหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด ไม่บ่อยนักที่เทือกเขาสิ้นวิถีจะมีหมอก ทว่าหมอกที่ว่านี้กลับดูเหมือนเลือดสดๆ ที่แดงจนทำให้เขารู้สึกกลัว เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะแสงจากพระจันทร์สีแดงหรือว่าเป็นสีของตัวหมอกกันแน่

สิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือหมอกที่ข้ามหน้าผามาไม่ได้ลอยอยู่กลางอากาศ หากแต่ค่อยๆ ไหลตกลงไประหว่างเทือกเขากลายเป็นเหมือนน้ำตก

หรือว่าที่ก่อนหน้านี้มันไม่เคลื่อนไหวก็เพราะว่ารอโอกาสนี้อยู่?

มาร์เวนแอบรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เขามองดูลูกน้องที่แอบกระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้ากังวล เขารู้แล้วว่าถ้าหากยังไม่ลงมา ลูกน้องของตัวเองคงจะเสียขวัญแน่

“ลำพังเจ้าเนี่ยนะ?” เอิร์ลกัดฟัน ก่อนจะยกมือขึ้นมาเหวี่ยงเพื่อส่งสัญญาณ “ข้าได้ให้โอกาสเจ้าไปแล้ว ยิงได้!”

อัศวินและเหล่าทหารงุนงงอยู่ไม่กี่อึดใจก่อนจะได้สติกลับคืนมา จากนั้นพวกเขาจึงพากันเหนี่ยวไกหน้าไม้ ลูกดอกขนาดต่างๆ พุ่งขึ้นไปบนฟ้า ตรงเข้าไปหาปีศาจ

แต่ลูกดอกทั้งหมดกลับยิงถูกความว่างเปล่า

ทุกคนแทบจะไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ปีศาจตัวนั้นทะลุผ่านโพรงสีดำ ก่อนจะหายตัวไปจากบนเสาหิน

“บ้าเอ้ย นั่นมันผลจากเวทมนตร์” หัวหน้าอัศวินพูดเสียงคร่ำเคร่ง “พวกมันไม่ได้ต่างอะไรกับแม่มด!”

“ไม่ต้องกลัว พวกเราใส่หินอาญาสิทธิ์อยู่ พลังเวทมนตร์ทำอะไรเราไม่ได้!” มาร์เวนกำสร้อยจี้ที่อยู่ตรงหน้าอก “หามันให้เจอแล้วฆ่ามันซะ!”

“ปะ ปีศาจอยู่นั่น!” ทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา

ในเวลาแค่ชั่วพริบตา มันได้ข้ามหุบเหวกับกำแพงเมืองเข้ามา ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่บนถนนยาวด้านหลังกำแพงโดยไร้ซุ่มเสียง

ก้าวข้ามกำแพงมาได้ในก้าวเดียว เอิร์ลรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที สัตว์ประหลาดที่อันตรายขนาดนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นทูตหรือไม่ มันก็ต้องตายอยู่ที่นี่ เพราะอีกฝ่ายนั้นมีแค่ตัวเดียวเท่านั้น “เตรียมลูกดอกหินอาญาสิทธิ์ จัดการมันเหมือนกับจัดการแม่มด! คนที่ฆ่ามันตายได้ ข้าจะมีรางวัลให้ 100 เหรียญทอง!”

ในขณะที่อัศวินและทหารแห่กันเข้าไปหามัน ปีศาจก็ค่อยๆ ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นมา

ทันใดนั้นเอง ด้านหลังของมันพลันมี ‘ฉากสีดำ’ ที่กว้างหลายสิบฟุตกางออกมา ถนนและบ้านเรือที่อยู่สองข้างทางถูกตัดออกไปครึ่งหนึ่ง ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับว่าจู่ๆ บนถนนก็มีกำแพงที่ไม่มีความลึกปรากฏขึ้นมา

มันคิดจะทำอะไรกันแน่? เอิร์ลรู้สึกสงสัยขึ้นมา ดูไม่เหมือนการโจมตีแล้วก็ไม่เหมือนการป้องกันเลย หรือว่ามันคิดจะใช้ความสามารถนี้ในการซ่อนตัวเอง?

แต่ไม่นานเขาก็ได้รับคำตอบกลับมา

หมอกแดงที่เข้มข้นไหลทะลักออกมาจากฉากสีดำเหมือนกับเขื่อนที่แตกออก! จากนั้นก็มีสัตว์ประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงคำรามวิ่งออกมาจากหมอกสีดำแล้วพุ่งเข้าชนกับอัศวินที่ล้อมเข้ามา หินอาญาสิทธิ์ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ อัศวินพ่นเลือดสดๆ ออกมาจากปาก ละอองเลือดปลิวกระจาย หน้าอกของเหล่าอัศวินยุบตัวเป็นรูลึก ดูแล้วไม่น่าจะมีชีวิตรอดต่อไปได้

แต่นี่ไม่ใช่จุดจบ หากแต่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของฝันร้ายเท่านั้น

ในฉากสีดำมีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับว่าไม่มีวันหยุดลงอย่างไรอย่างนั้น พวกมันก้มหัวทำความเคารพสกายลอร์ดก่อน จากนั้นจึงค่อยไปเข้าร่วมการฆ่าฟัน ไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือว่าพละกำลัง คนธรรมดาก็ไม่อาจเทียบกับสัตว์ประหลาดกลุ่มนี้ได้เลย

ไม่ถึงสิบนาที ในเมืองก็เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนและเสียงร้องขอความช่วยเหลือ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่สามารถข้ามหุบเหวที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นไปได้

มาร์เวนรู้สึกเพียงแค่ขาตั้งสองข้างอ่อนแรงจนเขาต้องนั่งลงไปกับพื้น แต่ครั้งนี้ไม่มีใครมาช่วยพยุงเขา

องครักษ์ถูกปีศาจที่บุกเข้ามาถึงตรงหน้าฉีกออกเป็นสองท่อน

ปราสาทรีเฟลคสโนว์ที่เขาภาคภูมิใจ ที่ดินที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษพังทลายลงในพริบตา

หมอกแดงที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นเหมือนนรกบนดิน

ยิ่งมองผ่านมองแดง พระจันทร์ที่อยู่บนฟ้าก็ยิ่งดูดุร้ายและน่ากลัว

วันสิ้นโลกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เอิร์ลคิดในใจ

………………………………………………..