บทที่ 632 จ้างงานชาวนา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 632 จ้างงานชาวนา

หลินเป่ยเฉินโบกมือส่งสัญญาณไปทางค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

แล้วพวกของกงกง จวงปู้โจวและคนอื่นๆ ก็รีบปรากฏตัวออกมา

เหตุผลที่พวกเขายังไม่ลงมือทำสิ่งใด ก็เพราะก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินได้แอบส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนอยู่เฉยๆ

“จับตัวคนพวกนี้กลับไปที่ค่ายพักของเรา ให้พวกมันทำงานหนัก ไม่ว่าพวกมันทำงานอยู่ตรงจุดไหน งานตรงจุดนั้นต้องเสร็จสิ้นเร็วกว่าจุดอื่นๆ… หากผู้ใดไม่ยอมให้ความร่วมมือก็จะต้องถูกทุบตีจนตาย และถ้าพวกมันตาย ก็ให้โยนศพออกไปเป็นอาหารหมาป่าซะ”

หลินเป่ยเฉินยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล

เมื่อจวงปู้โจวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

ประเสริฐ

มีคนมาแทนที่เขาเสียที

หลายเดือนก่อนหน้านี้ เหล่านายทหารหน่วยรบจากแคว้นซินจินต้องทำงานขุดเหมืองแร่หินบนภูเขาเสี่ยวซี และด้วยความที่จวงปู้โจวอยากพูดจาประจบเอาใจหลินเป่ยเฉิน สุดท้ายตนเองจึงต้องทำงานหนักมากกว่าผู้อื่นถึงสามเท่า ไม่ว่าคิดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ จวงปู้โจวก็ร่างกายสั่นเทาขึ้นมาทุกที

แต่วันนี้ ได้มีผู้เคราะห์ร้ายชุดใหม่มาแทนที่พวกเขาแล้ว

และจวงปู้โจวได้เลื่อนระดับขึ้นมาเป็นผู้คุมนักโทษ

เท่ากับว่าเขาได้เลื่อนตำแหน่ง

“นายท่านได้โปรดวางใจ ข้าน้อยจะดูแลเรื่องนี้เป็นอย่างดี”

จวงปู้โจวปัดแขนเสื้อของตนเองและพูดด้วยความตื่นเต้น

เพี๊ยะ!

หลินเป่ยเฉินยกมือตบหลังหัวนายทหารหนุ่มเสียงดังสนั่นพร้อมกับคำรามว่า “ข้าสั่งกี่ครั้งกี่หนแล้วฮะ ต่อจากนี้ไปให้เรียกข้าว่าท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร”

“รับทราบแล้วขอรับ”

จวงปู้โจวรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่โดยเร็ว “ท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้โปรดวางใจ ข้าน้อยจะดูแลเรื่องนี้เป็นอย่างดี”

เด็กวัยรุ่นทุกคนย่อมเคยปรารถนาที่จะมีความรู้สึกเช่นนี้

โดยเฉพาะเกมเมอร์โอตาคุอย่างหลินเป่ยเฉิน ในเกมเขาเคยเป็นแม่ทัพใหญ่คว้าชัยชนะในสนามรบทุกหนแห่ง มีความยิ่งใหญ่กว่าเทพเจ้า บัดนี้ เมื่อมีผู้ติดตามเป็นนายทหารอย่างจวงปู้โจว บุคคลเหล่านี้ก็สมควรเรียกเขาว่าท่านแม่ทัพไม่ใช่หรือ?

แม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรคือฉายาที่หลินเป่ยเฉินตั้งให้กับตนเองชั่วคราว

เพราะเขาไม่เคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้

เพราะเขามีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก

เพราะอีกไม่นาน ทุกคนจะต้องรู้จักชื่อของเขาเป็นอย่างดี

ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบมากไปกว่านี้อีกแล้ว

เหล่ากลุ่มผู้จ้างงานซึ่งยืนฉงนฉงายอยู่ในขณะนี้ ทุกคนได้เห็นว่าปรากฏบรรดาอันธพาลร่างกายกำยำเดินออกมาจากค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง หลังจากนั้นไม่นาน อันธพาลเหล่านี้ก็ลากตัวผู้คุ้มกันจากหอนางโลมบุปผารื่นรมย์กลับเข้าไปในค่ายที่พักของตนเอง…

โดยที่ผู้คุ้มกันเหล่านั้นไม่สามารถขัดขืนได้เลย!

ผู้คนที่พบเห็นต่างก็เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ

เป็นไปได้อย่างไรกัน?

เพียงพริบตาเดียว ผู้คุ้มกันฝีมือดีหลายสิบคนก็ถูกชาวเมืองหยุนเมิ่งจับตัวไป

แม้ผู้ที่มีพลังระดับยอดปรมาจารย์จะพยายามระเบิดพลังลมปราณเพื่อหลบหนี แต่สุดท้าย เขากลับถูกหัวหน้ากลุ่มอันธพาลจัดการตบศีรษะและลากตัวต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

อันธพาลเหล่านี้จะทำตามคำสั่งของหลินเป่ยเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น

โดยไม่เกรงกลัวอำนาจมืดของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์สักนิด

เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ช่วยเปิดหูเปิดตาให้บรรดาผู้จ้างงานได้พบเห็นโลกใบใหม่

พวกเขาอยากรู้นักว่าเมืองหยุนเมิ่งที่คนกลุ่มนี้อพยพจากมามีสภาพเป็นอย่างไร

เพราะเห็นได้ชัดว่าผู้คนจากเมืองหยุนเมิ่งล้วนแล้วแต่มีฝีมือร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะกลุ่มอันธพาลเหล่านี้

ตอนแรก บรรดาผู้จ้างงานเพียงเข้าใจว่าชายฉกรรจ์เหล่านั้นคือผู้คุ้มกันทั่วไปของหลินเป่ยเฉิน

แต่กลับกลายเป็นว่าทุกคนต่างก็มีฝีมือสูงส่ง

ที่สำคัญ กลุ่มผู้คุ้มกันของหลินเป่ยเฉินมีจำนวนมากถึงหลายร้อยคน และทุกคนมีคุณสมบัติดีพอที่จะบรรจุเข้าเป็นนายทหารปกป้องกำแพงเมือง แต่บัดนี้ ชายฉกรรจ์เหล่านั้นกลับมาทำหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยของค่ายพักชาวเมืองหยุนเมิ่ง

ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ บรรดาผู้จ้างงานจากนครเจาฮุยก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นมากเท่านั้น

พวกเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดของตนเองใหม่

ใช่แล้ว

เด็กหนุ่มหน้าขาวที่ชื่อว่าหลินเป่ยเฉินต้องเป็นคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน

แต่เพราะเหตุใดกัน พวกเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน?

บางคนตัดสินใจว่าเมื่อกลับเข้าไปหาต้นสังกัดของตนเองแล้ว ก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้ารับรู้ให้ได้ ต้องมีใครสักคนจัดการสืบสวนประวัติความเป็นมาของเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเป่ยเฉินอย่างละเอียด เพื่อที่พวกเขาจะได้หลีกเลี่ยงและไม่ต้องมีเรื่องปะทะหักล้างกับเด็กหนุ่มผู้นี้อีก

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินกำลังหันหน้ามามองกลุ่มผู้จ้างงานแล้ว

“พวกท่านอย่าได้หลงตนคิดว่าอาศัยอยู่ในเมืองสูงส่ง ขนาดชื่อของข้า พวกท่านยังไม่เคยได้ยิน แล้วยังจะเอาอะไรมาภูมิใจได้อีก”

ท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรกวาดสายตามองทุกคนด้วยความฉุนเฉียว

“อีกอย่าง ในเมื่อพวกท่านคิดจ้างงานผู้คนจากเมืองหยุนเมิ่ง ก็ขอให้ทำตัวเป็นนายจ้างที่ซื่อสัตย์ อย่าได้กดขี่ข่มเหงหรือเอารัดเอาเปรียบคนงาน มิฉะนั้นแล้ว พวกเราชาวเมืองหยุนเมิ่งจะไม่ทนต่อการถูกรังแกเด็ดขาด”

“ใครก็ตามที่กล้ารังแกชาวเมืองหยุนเมิ่ง มันผู้นั้นจะต้องถูกฆ่าล้างตระกูล”

“ข้าไม่อยากให้มีคนถามขึ้นมาว่าหลินเป่ยเฉินมีความอำมหิตแค่ไหน”

“เพราะข้าอยากจะแสดงให้ทุกคนได้เห็นด้วยตาตัวเอง…”

หลินเป่ยเฉินเดินตรงไปที่ซุ้มหางานของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์และพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “อย่างเช่นหอนางโลมแห่งนี้ พวกมันถึงกลับมาดูถูกเราชาวเมืองหยุนเมิ่งถึงที่นี่ นับว่าเป็นการนหาที่ตายอย่างแท้จริง ใครก็ได้ช่วยกลับไปบอกพวกมันทีเถิดว่าอย่าได้เหยียบเท้ามาที่นี่อีก และถ้าอยากจะได้ตัวผู้คุ้มกันเหล่านั้นกลับไป ให้นำเงินสดจำนวนห้าแสนเหรียญทองคำมาแลกเปลี่ยนในเวลาสามวัน พร้อมกับส่งคนมาขอโทษชาวเมืองอย่างเป็นทางการ มิฉะนั้น จะถือว่าหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และข้าจะบุกไปทวงถามคำขอโทษจากพวกมันด้วยตนเอง”

พูดจบ เด็กหนุ่มก็กุมมือเฉียนเหมยเดินหายลับกลับเข้าไปในค่ายที่พัก

กลุ่มคนผู้จ้างงานหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำตัวไม่ถูก

แต่บางคนกลับมีดวงตาเป็นประกายแวววาวด้วยความตื่นเต้น

เห็นทีคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในไม่ช้า

ในเวลาเดียวกันนี้

ด้านหลังเนินเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป กลุ่มผู้อพยพจำนวนหนึ่งได้สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา

“พี่ซาน พวกเรารีบถอนตัวกันก่อนดีกว่า”

“ใช่แล้ว ข้ารับมือไม่ไหวแน่”

“น่ากลัวเกินไป เด็กคนนี้น่ากลัวเกินไป…”

“ในเมื่อเราช่วยคุณชายเอ้อไม่ได้แล้ว ก็ถือว่าเขาตายจากเราไปแล้วก็แล้วกัน รีบกลับไปบอกให้ภรรยาของเขาหาผู้ชายใหม่แต่งงานเสียเถิด…”

“พวกเราถอนตัวดีกว่าขอรับ หลังจากนี้ ต้องกำชับทุกคนว่าอย่ามีเรื่องกับพวกเมืองหยุนเมิ่งเด็ดขาด”

บรรดาผู้อพยพต่างก็พูดออกมาด้วยความตื่นกลัว หลังจากปรึกษาหารือกันอยู่เล็กน้อย ทุกคนก็ลงความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่าแผนการบุกเข้าไปช่วยเหลือผู้คนสมควรล้มเลิกไปตลอดกาลแล้ว

แต่ในจังหวะนั้นเอง…

“หืม พี่ซาน ดูนั่นสิขอรับ มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นอีกแล้ว”

หนึ่งในผู้อพยพชี้มือไปยังทิศทางค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งด้วยความประหลาดใจ

หลังจากนั้น พวกเขาก็เห็นชาวเมืองหยุนเมิ่งจำนวนหลายสิบคนมาปรากฏตัวบริเวณทางเข้าค่ายพัก อีกทั้งพวกเขายังตั้งซุ้มหางาน ธงหลายสิบผืนถูกปักลงบนพื้นดิน ปลายธงโบกสะบัดไปตามสายลม และธงแต่ละผืนก็มีข้อความการรับสมัครงานเขียนเอาไว้

“ต้องการคนงานก่อสร้างด่วน…”

“ต้องการชาวนาผู้มีประสบการณ์ด่วน…”

“ต้องการคนสวนด่วน…”

“ต้องการนักหลอมโอสถด่วน…”

“ต้องการช่างไม้ด่วน…”

ข้อความประกาศหางานที่เขียนอยู่บนผืนธงนั้น จะต่อท้ายด้วยคำว่าด่วนหมดทั้งสิ้น

ปกตินั้น การจ้างงานจะมาจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตสาม และไม่เคยมีผู้คนในพื้นที่เขตสองด้วยกันเองประกาศรับสมัครงานมาก่อน

“พี่ซาน พวกเขากำลังทำอะไรกันน่ะ?”

“นั่นสิ ค่ายผู้อพยพเนี่ยนะจะประกาศหาคนงาน?”

“แต่ว่า… พี่ซาน ก่อนหน้านี้ท่านก็เคยทำงานก่อสร้างให้กับกรมวางแผนเมืองไม่ใช่หรือ อีกอย่าง ท่านก็ชำนาญการออกแบบพื้นที่เกษตรกรรมด้วย ไม่ลองไปสมัครงานกับพวกเขาดูหรือขอรับ?”

“ก่อนหน้านี้ ชีวิตข้าเคยแต่ทำไร่ไถนามาตลอด ผู้จ้างงานส่วนใหญ่ไม่เคยให้ความสำคัญกับชาวไร่ชาวนาแม้แต่น้อย… แต่ดูเหมือนว่าบัดนี้โอกาสของข้าคงมาถึงแล้วสินะ?”

“ชาวเมืองหยุนเมิ่งจ้างงานชาวนาด้วยอย่างนั้นหรือ? ว่าแต่พวกเขาจะเปลี่ยนพื้นที่สุดแสนแห้งแล้งในเขตนี้ ให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมได้อย่างไร? พวกเขาเสียสติไปแล้วหรือ?”

“หรือว่าพวกเขาจะโกหก?”

“ไม่น่าใช่นะ…”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราลองไปสมัครงานดูดีไหม?”

“เจ้าจะบ้าหรือไร? ชาวเมืองหยุนเมิ่งเพิ่งจะไปมีเรื่องกับหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ ข้าได้ยินมาว่าหอนางโลมแห่งนี้มีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลัง หากเราเข้าร่วมกับพวกชาวเมืองหยุนเมิ่ง เดี๋ยวก็ได้ติดร่างแหรับคราวซวยตามไปด้วยพอดี”

“ขี้ขลาดเช่นเจ้า จะสามารถทำงานใหญ่กับพี่ซานได้อย่างไร?”

“ใช่แล้ว ขืนมัวแต่กลัวอยู่เช่นนี้ได้อดตายกันก่อนพอดี ข้าไม่สนใจหรอก ข้าจะไปสมัครงานกับพวกเขา ข้ามีลูกสามคนให้เลี้ยงดู หนึ่งในนั้นยังไม่หย่านมเสียด้วยซ้ำ ข้าจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด”

กลุ่มผู้อพยพพูดคุยกันต่ออีกพักใหญ่ สุดท้ายพวกเขาก็ปีนขึ้นมาจากด้านหลังเนินดิน และเดินตรงไปยังค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งด้วยสภาพซอมซ่อยิ่งกว่าขอทาน

ทุกคนไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล!