บทที่ 633 การออกแบบบ้านพักของคุณชายหลิน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 633 การออกแบบบ้านพักของคุณชายหลิน

กลุ่มผู้อพยพหลายสิบคนรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปขอสมัครงาน

หลังสัมภาษณ์งานแล้ว ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกก็จะได้รับแผ่นป้ายประจำตัว ซึ่งลงค่ายอาคมเอาไว้เฉพาะบุคคลที่เป็นคนงานในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งเท่านั้น และคนงานเหล่านี้จะมีหัวหน้าเป็นอดีตนายทหารคนงานขุดเหมือง ทุกคนจะได้รับเสื้อผ้าให้ผลัดเปลี่ยน จากนั้นจึงได้รับประทานโอสถเป่ยเฉินคนละหนึ่งเม็ด เรียบร้อยดีแล้วจึงถูกพาไปรายงานตัวต่อหลินเป่ยเฉิน ณ กระโจมที่พักอันหรูหราเป็นการปิดท้าย

กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น

ด้านนอกกระโจมหลังใหญ่ มีนายช่างและคนงานก่อสร้างชาวเมืองหยุนเมิ่งยืนรวมตัวกันอยู่จำนวนมาก

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้านี่มันอัจฉริยะจริงๆ…”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น

หลังจากนั้น

อู๋เฟิ่งกูกับเถียนเถียนก็เดินออกมาจากด้านในกระโจม

ทั้งสองคนมีสีหน้าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

มันเป็นสีหน้าที่ปะปนไปด้วยความประหลาดใจ ความมึนงงสงสัย และความตื่นเต้น รวมไปถึงความกระอักกระอ่วนใจด้วยเช่นกัน…

กล่าวได้ว่าพวกเขามีสีหน้าที่ซับซ้อนยิ่ง

อย่างน้อยก็ไม่มีใครสามารถสังเกตสีหน้าและบอกได้เลยว่าภายในกระโจมของหลินเป่ยเฉินเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“คนงานกลุ่มต่อไป เชิญ”

เฉียนเจินเดินออกมาจากด้านในกระโจมที่พัก

หืม?

ยังมีหญิงรับใช้หน้าตาดีอีกคนงั้นหรือ?

ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่าพี่ซานรอคอยอยู่ร่วมกับกลุ่มผู้อพยพอดเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจไม่ได้

หญิงรับใช้นางนี้ก็มีความงามอย่างหาตัวจับยากเช่นกัน

เมื่อเปรียบเทียบกับหญิงรับใช้ที่จัดการผู้คุ้มกันของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์เหล่านั้นแล้ว หญิงรับใช้นางนี้ก็ไม่ได้มีความงดงามน้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่นิดเดียว

และภายใต้การเดินนำของเฉียนเจิน ผู้คนอีกกลุ่มใหญ่ก็เดินเข้าไปในกระโจมที่พักของหลินเป่ยเฉิน

กลุ่มคนเหล่านี้จึงได้เห็นว่าหลินเป่ยเฉินกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ บนโต๊ะกองไว้ด้วยแผ่นกระดาษจำนวนมาก

“นายช่างเหลียวมาแล้ว นี่คือคนงานของท่านใช่หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมาทักทายทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นเขาก็ก้มหน้ากลับไปวาดรูประบายสีโดยไม่ลังเล พลางออกคำสั่งว่า “ทุกท่านเชิญนั่งตามสบาย… เฉียนเหมยจัดเตรียมน้ำชารับแขก ข้ากำลังวาดรูปอยู่ เสร็จแล้วเดี๋ยวค่อยคุยกัน”

กลุ่มคนงานชุดใหม่ได้รับน้ำชาจากเฉียนเหมยอีกไม่นานหลังจากนั้น

พี่ซานและบรรดาลูกสมุนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

ทุกครั้งที่พวกเขานึกถึงภาพเฉียนเหมยจัดการผู้คุ้มกันของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ ทุกคนก็อดรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงด้วยความหวาดผวาขึ้นมาไม่ได้

แต่สำหรับนายช่างเหลียวและชาวเมืองหยุนเมิ่งคนอื่นๆ ไม่มีใครประหลาดใจในฝีมือของเฉียนเหมยสักคนเดียว

“ขอบคุณมาก แม่นางเฉียนเหมย”

นายช่างเหลียวยิ้มแย้มขณะรับถ้วยน้ำชา

เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุ 53 ปี มีประสบการณ์คุมงานก่อสร้างมาอย่างยาวนานในเมืองหยุนเมิ่ง เรียกได้ว่าด้านฝีมือการช่างหรือความชำนาญเรื่องการก่อสร้าง ไม่มีผู้ใดจะมีชื่อเสียงโด่งดังมากไปกว่านายช่างเหลียวผู้นี้อีก

ยามอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง นายช่างเหลียวเป็นบุคคลที่มีฐานะพออยู่พอกิน มีบุตรชายสองคนและหลานๆ ให้เลี้ยงดูอีกหกชีวิต ถึงไม่ได้ร่ำรวย แต่ทุกคนก็มีอาหารให้รับประทานอย่างอิ่มปากอิ่มท้อง และใช้ชีวิตอยู่ด้วยความสงบสุขเรื่อยมา

ทว่าทุกอย่างก็พังทลายลงไปเมื่อเกิดการโจมตีของชาวทะเล

บ้านของพวกเขาถูกวางเพลิง แม้แต่ที่ดินก็ถูกแย่งชิง

นายช่างเหลียวและครอบครัวต้องหลบหนีไปอยู่ในป่าลึก มีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญนานหลายเดือน

เขาเคยเห็นเพื่อนบ้านจำนวนมากถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา สหายเก่าบางคนบ้านไฟไหม้ มิหนำซ้ำ บ้านเหล่านั้นก็เป็นฝีมือการสร้างของนายช่างเหลียวเองด้วยซ้ำ นอกจากไม่มีที่อยู่อาศัย อาหารของพวกเขายังขาดแคลน การใช้ชีวิตมีแต่ความยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ นายช่างเหลียวจึงทำใจไว้แล้วว่าเมื่อฤดูหนาวมาเยือน พวกของตนเองคงไม่มีหวังรอดชีวิตอีกแล้ว

แต่ในโมงยามแห่งวิกฤตการณ์ของผู้คน คุณชายหลินได้ปรากฏตัวขึ้น สามารถเอาชนะการต่อสู้กับแม่ทัพฉลามอู๋หยา สามารถแย่งชิงเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าไปจากนักบวชหรง และเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากทุกคนจะกลับมามีอาหารกินอย่างอิ่มหนำกันอีกครั้ง บัดนี้ พวกเขาถึงกับได้อพยพมาอยู่ในนครเจาฮุย โดยที่นายช่างเหลียวไม่ต้องสูญเสียสมาชิกครอบครัวแม้แต่คนเดียว

ไม่เคยมีใครต้องมาเกลี้ยกล่อมนายช่างเหลียว

เพราะเขารู้สึกว่าตนเองสมควรทำงานเพื่อตอบแทนบุญคุณหลินเป่ยเฉิน

ถ้าเป็นคำสั่งของคุณชายหลิน ต่อให้นายช่างเหลียวต้องบั่นศีรษะของตนเองทิ้ง เขาก็จะไม่โอดครวญแม้แต่น้อย

เมื่อได้ข่าวว่าคุณชายหลินกำลังจะผุดโครงการก่อสร้างขึ้นมาในดินแดนของผู้อพยพ นายช่างเหลียวก็จัดแจงรวบรวมลูกน้องเก่าของตนเองมาเข้าพบเด็กหนุ่มด้วยความเต็มใจ

หลังจากนั้นไม่นาน

“ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดก็เสร็จแล้ว”

หลินเป่ยเฉินนำแผ่นกระดาษที่เป็นฝีมือการวาดภาพระบายสีของตนเองส่งให้แก่พวกของนายช่างเหลียวดู พร้อมกับพูดว่า “นี่คือแผนผังบ้านพักที่ข้าต้องการจะสร้างขึ้นมา”

ด้านในกระโจมที่พักหลังนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเกินคาดคิด นี่นับเป็นครั้งแรกที่ผู้อพยพจากต่างเมืองได้มองเห็นหน้าของหลินเป่ยเฉินระยะใกล้ชิด ความรู้สึกที่เคยมีในจิตใจจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย

ทุกคนไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ เพราะกลัวว่าอาการทางสมองของหลินเป่ยเฉินอาจจะกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้น บรรดาผู้อพยพจากต่างเมืองจึงทำได้เพียงหันหน้ามองไปยังเศษกระดาษกองใหญ่ที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นเท่านั้น

หลังจากนั้นอีกพักใหญ่

ในกระโจมมีแต่ความเงียบ

เมื่อบรรดานายช่างและคนงานก่อสร้างเห็นฝีมือการออกแบบของหลินเป่ยเฉิน พวกเขาก็ถึงกับก้มหน้าก้มตาด้วยความตกตะลึง หลายคนถึงกับคุกเข่าลงไปและพูดว่า “นี่คือการออกแบบที่ควรมีอยู่บนสวรรค์เท่านั้น จะมีผู้คนสามารถเขียนมันขึ้นมาจริงๆ ได้อย่างไร?”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความมหัศจรรย์ใจ

ความเงียบที่เกิดขึ้นในขณะนี้

เงียบมากจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกได้เลยทีเดียว

“ทำไมหรือ?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล “มีอะไรเป็นปัญหาหรือไม่?”

การออกแบบที่เขาเพิ่งเขียนเสร็จนี้ หลินเป่ยเฉินคัดลอกมาจากบ้านหลังใหญ่ในย่านคนรวยที่เขาเคยเห็นบนโลกมนุษย์ เพียงแต่กลัวว่าอธิบายด้วยปากเปล่า ผู้คนในโลกแห่งวรยุทธ์จะไม่เข้าใจ จึงตัดสินใจวาดรูปขึ้นมาเพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจง่ายขึ้น

เพราะฉะนั้น มันไม่ควรจะมีปัญหาสิ

หรือว่านี่จะเป็นการก่อสร้างที่ยากมากเกินไป?

“คุณชายขอรับ พื้นที่ตรงนี้… เอ่อ… มันคืออะไรขอรับ…?”

ในที่สุด นายช่างเหลียวก็อดถามออกมาไม่ได้

หลินเป่ยเฉินยกมือกุมขมับ

สิ่งที่เขาหวาดกลัวมันได้เกิดขึ้นจริงๆ

การออกแบบของเขามันซับซ้อนมากเกินไป

แม้แต่นายช่างที่จะต้องรับผิดชอบการก่อสร้างก็ไม่เข้าใจแผนผังเหล่านี้

ให้ตายสิ

นี่แหละข้อเสียของการเป็นคนฉลาดเกินไป

ไม่มีใครเข้าใจเราเลยสักคน

หลินเป่ยเฉินพยายามปัดเป่าความผิดหวังในหัวใจและอธิบายอย่างอดทน

ครึ่งชั่วยามต่อมา

เหล่านายช่างผู้มีประสบการณ์และกลุ่มคนงานก่อสร้างก็เดินกลับออกมาจากกระโจมที่พักของหลินเป่ยเฉิน หลายคนที่เคยมึนงงสงสัยก็มีสีหน้าเข้าใจงานของตนเองมากขึ้น

พลัน นายช่างเหลียวรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดก่อนหน้านี้ อู๋เฟิ่งกูกับเถียนเถียนถึงได้เดินออกมาจากกระโจมที่พักของหลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้าประหลาดพิกลอย่างนั้น

แน่นอนว่าพวกเขาก็คงมีโอกาสได้พบเจอประสบการณ์แห่งความตกตะลึงเช่นเดียวกัน

นายช่างเหลียวและลูกน้องเดินออกมาพลางพูดคุยกันเพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าหลินเป่ยเฉินต้องการสร้างบ้านพักแบบไหนกันแน่

แม้มันจะเป็นการสร้างที่ยากลำบากมากที่สุด แต่ในเมื่อนี่เป็นคำสั่งของคุณชายหลิน จะอย่างไรพวกเขาก็ต้องหาทางสร้างขึ้นมาให้ได้

หากพวกเขาสร้างไม่สำเร็จ คุณชายหลินก็คงย้ายไปอยู่ในพื้นที่เขตอื่นแน่ๆ

ส่วนคุณชายหลินจะสร้างบ้านพักที่แปลกประหลาดเช่นนั้นขึ้นมาเพื่อเหตุใด…

นั่นไม่ใช่คำถามที่พวกเขาควรถาม

แค่ได้ทำงานรับใช้คุณชายหลินก็ถือเป็นเกียรติแก่ชีวิตของคนงานก่อสร้างผู้ต่ำต้อยแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม พี่ซานและลูกสมุนเอาแต่นิ่งเงียบ พวกเขาไม่กล้าพูดขัดขึ้นมา ทำได้แต่เดินตามหลังนายช่างเหลียวไปเรื่อยๆ และบางครั้งก็จะกวาดสายตามองสภาพแวดล้อมในเขตที่อยู่อาศัยของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

ที่นี่ค่อนข้างแห้งแล้งมาก

เห็นได้ชัดว่าผู้อพยพจากแดนไกลกลุ่มนี้เพิ่งมาถึงได้ไม่นานจริงๆ

แต่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็แสดงให้เห็นว่าชาวเมืองมีวินัยที่แข็งขัน

ระหว่างทางที่เดินออกมา พวกของพี่ซานได้พบว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ท่าทางเหมือนชาวยุทธ์จำนวนหลายสิบคนกำลังขุดบ่อน้ำบนพื้นดิน

ค่ายที่พักของผู้อพยพกลุ่มอื่นๆ ไม่มีที่ไหนมีแหล่งน้ำเป็นของตัวเอง

นั่นทำให้พวกของพี่ซานและลูกสมุนรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง

สภาพแวดล้อมของพื้นที่เขตสองเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวทะเลบุกโจมตีทางน้ำได้สำเร็จ แม่น้ำลำธารที่เคยมีอยู่ในนครเจาฮุยจึงถูกถมทับกลายเป็นพื้นดิน แม่น้ำที่เคยมีอยู่ทางทิศใต้จึงแห้งขอด ส่งผลให้น้ำบาดาลในพื้นที่นี้มีความขาดแคลนระดับวิกฤติ

น้ำจืดจึงกลายเป็นทรัพยากรที่หายาก

แทบเป็นไปไม่ได้ที่ค่ายพักผู้อพยพจะมีกำลังคนมากพอสำหรับการขุดบ่อน้ำ

เพราะส่วนใหญ่แล้วถึงขุดลงไปก็ไม่พบเจอสิ่งใดเลย

แต่ผู้ที่กำลังขุดบ่อน้ำอยู่ในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งบัดนี้ พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มีพลังไม่ต่ำต้อย เพราะฉะนั้น งานขุดบ่อน้ำแค่นี้จึงไม่นับว่าเป็นภารกิจยากเย็นแต่อย่างใด

และที่สำคัญก็คือ พวกของพี่ซานยังค้นพบอีกด้วยว่าผู้คนในค่ายพักผู้อพยพแห่งนี้ มีความแตกต่างจากค่ายผู้อพยพแห่งอื่นๆ

ทุกคนมีใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใส เสื้อผ้าที่สวมใส่ได้รับการซักล้างอย่างสะอาดเอี่ยม ไม่มีร่องรอยการเย็บปะซ่อมแซมแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน รอยยิ้มและแววตาของชาวเมืองหยุนเมิ่งกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

พวกเขามีรอยยิ้มที่สดใสและมีความหวังมากกว่าผู้คนที่อาศัยอยู่หลังเขตกำแพงชั้นที่สามเสียอีก

รอยยิ้มแห่งความหวังเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเสแสร้งแกล้งทำขึ้นมาได้

และที่น่าเหลือเชื่อมากที่สุดก็คือ กลุ่มคนเหล่านี้ดูจะให้ความเคารพเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้มีสติไม่สมประกอบผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง

พวกเขาศรัทธาในตัวเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากศรัทธาต่อเทพเจ้า

ด้วยการเดินนำทางของยอดฝีมือจำนวนหนึ่ง ในที่สุดกลุ่มคนงานก็มาถึงจุดที่หลินเป่ยเฉินต้องการจะสร้างบ้านพักขึ้นมาแล้ว ปรากฏกลุ่มนายทหารอดีตคนงานขุดเหมืองจำนวนร้อยชีวิต ยืนรอคอยพวกเขาอยู่พร้อมด้วยอุปกรณ์สำหรับการก่อสร้าง และทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกจัดการตามกฎระเบียบของผู้เป็นนายช่างใหญ่อย่างเคร่งครัด

พี่ซานถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากลุ่มคนงานที่เป็นผู้อพยพจากเมืองอื่นๆ ซึ่งเข้ามาทำงานในค่ายที่พักของชาวหยุนเมิ่ง

เขามีชื่อจริงว่าหยางต้าซาน เดิมทีมีร่างกายสูงใหญ่และใบหน้าหล่อเหลา จิตใจแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผา ด้วยเหตุนี้ บรรดาผู้ติดตามจึงยินดีเรียกเขาว่าพี่ซานโดยไม่ลำบากใจ

พวกเขาเป็นผู้อพยพที่มาจากเมืองหยินเหยียน

หยางต้าซานเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีฝีมือพอตัว และบวกด้วยมีร่างกายแข็งแรงมากกว่าคนทั่วไป เขาจึงสามารถเข้าไปหางานในพื้นที่หลังกำแพงเมืองเขตที่สามได้ไม่ลำบาก เพียงแต่ว่าชายหนุ่มมีชาวบ้านอีก 1,000 ชีวิตจากเมืองหยินเหยียนให้คอยดูแล ดังนั้น หยางต้าซานจึงจำต้องทนอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะเขาทิ้งทุกคนเอาตัวรอดเพียงคนเดียวไม่ได้จริงๆ

ชายหนุ่มไม่พูดอะไรเลย เพียงประสานมือทำความเคารพนายช่างเหลียวและนำพาลูกน้องไปก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยความขยันขันแข็ง

เย็นวันนั้น พวกเขาก็ได้รับค่าแรง

เป็นโอสถเป่ยเฉินคนละสองเม็ด

และไม่มีวี่แววว่าคนจากหอนางโลมบุปผารื่นรมย์จะกลับมาแก้แค้นแต่อย่างใด