“ขอรับ!” เป่ยเจี้ยนเกอรีบจูงม้าออกไป
ด้วยเหตุนี้เขาก็ไม่ทันเห็นรูปโฉมของเยี่ยเม่ย ยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่จวินซ่างกำลังจับจ้องอยู่นั้น ก็คือเป้าหมายการเดินทางของจวินซ่างในครั้งนี้ด้วย
เฉิงเสี่ยวจวนหาได้เคยพบเยี่ยเม่ยมาก่อน ยามนี้นางกลับเข้าใกล้เสินเซ่อเทียน เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ก็อดชื่นชมไม่ได้ “โฉมสะคราญล่มเมืองแท้ๆ!”
โฉมสะคราญ ?!
เป่ยเจี้ยนเกอที่จูงม้าสามตัวเตรียมหาพื้นที่มีหญ้าเพื่อปล่อยม้า พลันบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นคันคะเยอใจขึ้นมา เดิมทีเขาก็ไม่คิดพาม้าไปกินหญ้าอยู่แล้ว เขาอยากเห็นว่าเป็นสาวงามเช่นใดกัน ที่ทำให้เฉิงเสี่ยวจวนชื่นชมออกมาได้
น่าเสียดายที่จวินซ่างสั่งให้เขาไปเลี้ยงม้า จึงไม่ได้พบเห็นแน่แล้ว
อย่าว่าแต่เมื่อได้กลิ่นนกย่างระยะใกล้เช่นนี้ ก็ต่างจากกลิ่นนกย่างทั่วไปที่พวกเขากินอยู่ไม่น้อย!
เป่ยเจี้ยนเกอเดินไปดูแลม้าด้วยใจที่เต็มไปด้วยความสงสัย
เสินเซ่อเทียนได้ฟังคำวิจารณ์ของเฉิงเสี่ยวจวน สายตาของเขาจึงกวาดมองไปที่เยี่ยเม่ย สตรีนางนี้หว่างคิ้วมีความองอาจ นับเป็นความเข้มแข็งที่หาได้ยากบนใบหน้าสตรี มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสตรีที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคงผู้หนึ่ง
ดวงหน้างดงาม ไม่ประทินโฉมกลับเหมือนดอกเหมยผลิบานกลางลมหนาว เย็นชาเกินใคร ทั้งยังงดงามเหนือผู้อื่น ที่หาได้ยากก็คือบุคลิกของสตรีนางนี้ คล้ายกับเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ ให้ความรู้สึกทรงอำนาจยากบรรยายชนิดหนึ่ง
สตรีที่มีรูปโฉมงดงามและบุคลิกโดดเด่นเช่นนี้ สิ่งที่หาได้ยากที่สุดนั่นก็คือ นางย่างนกออกมาได้กลิ่นที่แตกต่างออกไป เสินเซ่อเทียนรู้สึกว่า ภาพตรงหน้าดูแล้วจำเริญตาจำเริญใจยิ่งนัก
น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ดังขึ้นว่า “เจ้าพูดไม่ผิดเลย ท่วงท่ายามย่างนกของนาง ช่างงามตรึงตาตรึงใจยิ่งนัก”
เฉิงเสี่ยวจวน “…”
จวินซ่าง ข้าน้อยพูดถึงรูปโฉมของผู้อื่น ไฉนในสายตาท่านถึงมีแค่นกย่างกันเล่า
อีกอย่างในสถานการณ์ปกติ ยามสตรีรูปงามนางหนึ่งปรากฏตัว มิได้ดีดพิณ มิได้รำกระบี่ ทั้งยังไม่ใช่ยืนงดงามอยู่บนเรือสำราญ ทว่าเป็นเหมือนหญิงสาวชนบทนั่งย่างนกอยู่บนพื้น ความจริงถือเป็นการทำลายบุคลิกเด่นล้ำของนางมิใช่หรือ
ไฉนจวินซ่างอธิบายท่วงท่าเช่นนี้ของนางเป็นช่างงามตรึงตาตรึงใจยิ่งนัก
นางยอมแพ้แล้ว นางไม่มีวันเข้าใจโลกของจอมตะกละเลยจริงๆ
เฉิงเสี่ยวจวนระบายลมหายใจ เอ่ยปากว่า “จวินซ่าง สิ่งที่ควรดูท่านก็ดูแล้ว โฉมหน้าของแม่นางผู้นี้ ดูแล้วเป็นสตรีที่ไม่อ่อนโยนนัก ถึงจะสัมผัสไม่ได้ว่ามีกำลังภายในมากน้อยแค่ไหน แต่สัญชาตญาณบอกกับข้าน้อย นางมีวรยุทธ์ไม่เลว ท่านคิดแย่งชิงนกย่างของนาง เกรงว่าต้องเสียเวลาสักพัก!”
“แย่งชิง ?” เสินเซ่อเทียนหันกลับมองเฉิงเสี่ยวจวน สายตาดูถูกนั้นคล้ายกำลังสงสัยในสติปัญญาของผู้ติดตาม “เจ้ายังดูออกว่านางมีฝีมือไม่ย่ำแย่ หากมีฝีมือเช่นนั้นจริง รอข้าเข้าไปแย่งชิง นกย่างก็เย็นแล้ว ไม่อร่อยอีก ข้าไม่คิดเสี่ยงเช่นนั้น!”
“อ้อ!” เฉิงเสี่ยวจวนร้องอ้อด้วยสีหน้าหมดหวัง
ความจริงที่สิ่งจวินซ่างกังวลหา ใช่บุรุษแย่งของกินกับสตรีจะทำลายภาพลักษณ์ของตน ทั้งไม่ใช่กังวลว่าเมื่อจวินซ่างลงมือ จะไม่อาจควบคุมความหนักเบาไป เพื่อนกย่างตัวหนึ่งสังหารคนไร้ความผิดก็ออกจะเสียหน้าไปหน่อย
แต่เป็นเพราะ…
แย่งนกมาได้ก็เย็นชืดไม่อร่อยแล้ว นางอธิบายได้คำเดียวว่า…ยอม!
เฉิงเสี่ยวจวนถอนหายใจคำหนึ่ง เอ่ยว่า “หากไม่มีเหตุไม่มีผล ท่านไปขอนกย่างกับนาง ไม่แน่ว่านางจะมอบให้ท่าน ไม่อย่างนั้นให้ข้าน้อยไปขอคำชี้แนะจากนางว่า นกนี้ย่างอย่างไร กลับไปค่อยให้พ่อครัวเลื่องชื่อกว่าร้อยคนในครัวทำให้ดีหรือไม่”
อย่างไรเสียเมื่อเห็นใบหน้าไม่เป็นมิตรของเยี่ยเม่ย เฉิงเสี่ยวจวนลอบเข้าใจว่า คิดไปขอนกย่างจากเยี่ยเม่ย หาใช่เรื่องง่ายดาย
เสินเซ่อเทียนกลับส่ายหน้า ยืนยันว่า “ข้าจะกินตอนนี้!”
เฉิงเสี่ยวจวน “…”
อย่างนั้นท่านคิดจะเอายังไง?!
นางยังไม่ทันถามออกมา ก็เห็นเสินเซ่อเทียนพลันยื่นมือออกไป ทุบหน้าอกตัวเองทีหนึ่ง ถัดมา ไม่รอให้ เฉิงเสี่ยวจวนตอบสนอง เขาก็กุมหน้าอก มุมปากมีเลือดออก ท่าทางบาดเจ็บสาหัสเดินเข้าไปหาเยี่ยเม่ย
เฉิงเสี่ยวจวนมึนงงไปหมด ขาดก็แต่เป็นลมสลบไป!
นี่มันวิธีผีสางอันใด
จวินซ่างเพื่อของอร่อยแล้ว ท่านทำอะไรก็ได้จริงๆ! ระหว่างที่นางหมดคำพูด เวลานี้นางไม่กล้าทะเล่อทะล่าออกไป กลัวว่าตนเองพูดผิดหรือทำอะไรผิด ทำลายการแสดงของจวินซ่าง นางได้แต่นั่งยองแอบมองอยู่หลังต้นไม้
ในใจรู้สึกว่าจวินซ่างลงทุนเหลือเกิน!
เมื่อฝีเท้าของเสินเซ่อเทียนค่อยๆ เข้าใกล้ เยี่ยเม่ยก็รับรู้ว่ารอบข้างมีคนอยู่ นางเงยหน้ามองเห็นชุดอาภรณ์สีขาว จึงเงยหน้าสูงขึ้นเห็นใบหน้าราวกับทวยเทพย้อนแสง เยี่ยเม่ยกลับเหม่อลอยไปทันที
…
ใบหน้าของบุรุษผู้นี้ใช้คำว่าเทพบรรยายได้เท่านั้น ทั่วร่างของเขาคล้ายแผ่กลิ่นไอศักดิ์สิทธิ์ของเทพเทวาออกมา นอกจากนี้ยังมีพลังเหนือธรรมชาติ
อาภรณ์ผ้าต่วนยาวสีขาวดุจหิมะ ขับให้ใบหน้าของเขายิ่งสูงส่งอยู่เหนือโลกหล้า สายรัดเอวสีเงินทำให้เขาดูทรงอำนาจเกินเปรียบ เกินมาเป็นชนชั้นสูงอยู่จุดสูงสุดของปวงเทพชี้นำโลกหล้า
คำกล่าวที่ว่า ใบหน้าประดุจหยกสลักสวมอาภรณ์ขาวราวหิมะยามเมื่อเบือนหน้าหันกลับมา ทั่วหล้าจักต้องยอมสยบ สมควรเป็นบุคคลตรงหน้านี้
ไม่ช้า เยี่ยเม่ยก็สังเกตเห็นเลือดที่มุมปากอีกฝ่าย รวมถึงท่ากุมอกของเขา
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว “ท่านบาดเจ็บ?”
สิ้นเสียง เสินเซ่อเทียนก็ล้มลงดื้อๆ
เฉิงเสี่ยวจวนที่แอบดูจากที่ไกลทำหน้าอึ้งเป็นครั้งที่สอง นางไม่เข้าใจจริงๆ สุดท้ายจวินซ่างจะใช้ไม้ไหนในการหลอกกินนกย่างกัน เดิมทีนางคิดว่า จวินซ่างแสร้งบาดเจ็บเพื่อทำให้แม่นางผู้นั้นลดความระแวง ดูจากสภาพจวินซ่างยามนี้ คล้ายจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น!
เยี่ยเม่ยเห็นเขาล้มลงเช่นนี้ เป็นลมไปอยู่ที่พื้นหญ้าข้างกายนาง มุมปากเปรอะเลือดชวนตกใจ นางก็เลิกคิ้ว
พูดตามตรง ถึงแม้บุรุษผู้นี้มีรูปลักษณ์น่ามองจนเทียบกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและพวกเป่ยเฉินอี้ได้ แต่นางหาใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน
นางหยิบนกย่างขึ้นมา ลุกขึ้นเตรียมตัวจากไป
ในเวลานี้ นางพลันคิดถึงจิ่วหุน
ยามนั้นเพราะนางเกิดจิตเมตตาอย่างไร้สาเหตุช่วยเหลือจิ่วหุนไว้ วันนี้นางกับจิ่วหุนนับเป็นเสมือนพี่น้อง เมื่อคิดดู หากนางไม่ช่วยจิ่วหุนไว้ในตอนนั้น บางทีเด็กนั่นอาจตกไปอยู่ในหอนางโลมแล้ว ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น อีกอย่างคนตรงหน้าตนนี้…
ล้มไปต่อหน้านางเช่นนี้ นางจะไม่ใส่ใจได้จริงหรือ
เยี่ยเม่ยลังเลหลายวินาที
สุดท้ายก็นั่งลงพยุงเสินเซ่อเทียนขึ้นมา ใช้กำลังภายในที่มีเพียงสามส่วนเข้าไปสำรวจลมปราณของเขา ช่างเถอะ ถือว่าสงสารคนอีกสักครั้งก็แล้วกัน ไม่ว่าอย่างไรภายหน้า…
นางคิดล้มล้างราชสำนักเป่ยเฉิน ไม่รู้คนจำนวนมากน้อยแค่ไหนที่ต้องตกตายในเงื้อมมือนาง วันนี้ทำเรื่องดีสักหน่อยก็ได้ !
หลังจากนี้ นางอาจจะได้ทำความดีน้อยลงแล้ว
เมื่อเดินลมปราณเข้าไป เยี่ยเม่ยพลันตกตะลึง