บทที่ 523 สำนักกระบี่เอกภพ

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 523 สำนักกระบี่เอกภพ

เมื่อมองไปยังรถม้าของหลิงตู้ฉิงที่ค่อย ๆ จากไป มู่ถิงและมู่ฉิงเฟิงก็รู้สึกโกรธเคืองจนแทบหัวระเบิด

ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าพวกเขาได้เจอกับเทวดาผู้ทรงโปรด แต่ในตอนท้ายมันกลับกลายเป็นว่าเทวดาผู้นี้กลายเป็นปีศาจร้ายที่มารังแกพวกเขาซะอย่างนั้น

ส่วนบรรดาผู้คนในเมืองผนึกกระบี่ที่ได้ทราบข่าวนี้ พวกเขาต่างหัวเราะเยาะที่ตระกูลมู่ชักศึกเข้าบ้านตนเองจนทำให้พวกเขาต้องเสียลูกหลานที่สำคัญของตระกูลไปถึงสองคน

ทางด้านในรถม้า มู่เฉียนซ่งและมู่เฉียนหลิงมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาหวาดระแวง โดยเฉพาะมู่เฉียนหลิง นางไม่เข้าใจว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงบังคับจับตัวนางมาเช่นนี้ ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก

เมื่อมู่เฉียนซ่งเห็นว่าหลิงตู้ฉิงมองมา เขาก็รีบเอาตัวบังมู่เฉียนหลิงไว้และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่?”

หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไอ้หนู ข้าบอกเจ้าแล้วว่าถ้าเจ้าไม่ยอมรับข้าเป็นอาจารย์ พวกเราจะต้องได้เจอกัน เจ้าจำไม่ได้รึยังไง? ส่วนเจ้าสาวน้อยจงตั้งใจฝึกฝนวิชาเพลิงหนานหมิงให้ดี ข้าจะพาเจ้าไปที่สำนักกระบี่เอกภพและจะให้เจ้าเห็นว่าวิชาเพลิงหนานหมิงนั้นมีอำนาจแค่ไหน”

มู่เฉียนหลิงพูดขึ้นด้วยสีหน้ามืดหม่น “นี่ท่านพาข้ามาเพียงแค่ต้องการแสดงให้ข้าดูว่าวิชาเพลิงหนานหมิงนั้นแข็งแกร่งแค่ไหนงั้นเหรอ? งั้นถ้าข้าปฏิเสธที่จะไม่ฝึกมันแล้วท่านปล่อยข้ากับพี่ของข้ากลับไปได้ไหม?”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าไม่ทำอะไรเจ้ากับพี่ของเจ้าหรอก ส่วนเรื่องที่เจ้าไม่ต้องการฝึกวิชาเพลิงหนานหมิงนั้น รอให้เจ้าได้เห็นอำนาจของมันก่อนเถอะ หากเมื่อไหร่ที่เจ้าได้เห็นแล้วและเจ้ายังคงไม่ต้องการฝึกอยู่ ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”

ในระหว่างที่พวกเขาคุยกัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงสำนักกระบี่เอกภพ

สำนักกระบี่เอกภพนั้นตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงที่กั้นกลางระหว่างเมืองสงบกระบี่และเหวมรณะ

จากบนสำนัก มันสามารถมองเห็นได้ทั้งเมืองสงบกระบี่ที่อยู่ด้านล่างและเหวมรณะที่อยู่อีกฝั่ง รวมไปถึงยังสามารถเห็นสุสานกระบี่ที่อยู่ไกลลิบ ๆ ได้อีกด้วย

เมื่อหลงเฉินลากรถม้าเข้าไปใกล้ หลิงตู้ฉิงก็เปิดค่ายกลกระบี่เหินเมฆา จากนั้นเขาสั่งให้เหล่ากระบี่บินฟันลงไปยังค่ายกลป้องกันของสำนักกระบี่เอกภพเพื่อแสดงตัวให้รู้ว่าพวกเขาได้มาเยือน

มู่เฉียนหลิงที่เห็นภาพเช่นนี้นางอุทานขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “คุณชาย สำนักกระบี่เอกภพมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิอาศัยอยู่นะ!”

หลิงตู้ฉิงหันมายิ้มให้มู่เฉียนหลิง และพูดว่า “สาวน้อย ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะมันจะบ่งบอกได้ถึงความแข็งแกร่งก็จริง แต่มันก็ไม่เสมอไปหรอกที่ผู้เชี่ยวชาญระดับต่ำกว่าจะเอาชนะผู้เชี่ยวชาญที่ระดับสูงกว่าไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นวิชาเพลิงหนานหมิงที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้านั้นก็ไม่ใช่วิชาธรรมดา เจ้ารู้ไหมว่าเพลิงหนานหมิงนั้นคือเพลิงระดับอะไร? มันคือเพลิงระดับศักดิ์สิทธิ์! หากเจ้าตั้งใจฝึกฝนมันจนสมบูรณ์เมื่อไหร่เจ้าก็จะสามารถเอาชนะเหล่าผู้คนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าเจ้าได้ ดังนั้นจงตั้งใจฝึกมันให้ดี”

“ส่วนเจ้า! ไอ้หนูที่ไม่อยากรับข้าเป็นอาจารย์ จงเบิกตามองเต๋ากระบี่นี้ให้ดี ๆ แค่บรรพบุรุษของเจ้าบอกให้เจ้าค้นหาเต๋ากระบี่ของตนเอง มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะดูเต๋ากระบี่หรือขอคำชี้แนะเรื่องเต๋ากระบี่กับคนอื่นไม่ได้”

“หากเจ้ามีจิตใจที่ตั้งมั่นพอ เจ้าจะถูกเต๋ากระบี่ของผู้อื่นกระทบได้ยังไง? ดังนั้นจงกลับไปคิดทบทวนใหม่ เจ้าคิดว่าเทพกระบี่สามารถสร้างเส้นทางเต๋ากระบี่ของตนเองที่ดำรงอยู่มานานเป็นหมื่น ๆ ปีได้ยังไง? ฝึกคนเดียว? คิดขึ้นมาจากอากาศคนเดียวงั้นเหรอ? ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้นมันก็ผิดแล้ว กว่าที่เทพกระบี่จะมีเต๋ากระบี่ที่ไร้เทียมทานเป็นของตนเองเช่นนี้ เขาต้องผ่านการมองวิเคราะห์เต๋ากระบี่มานับล้านแบบผ่านการต่อสู้กับศัตรูของเขา”

“แม้ว่าเจ้าจะมีจิตใจที่กล้าหาญและทะเยอทะยาน แต่เส้นทางของเจ้ามันบิดเบี้ยว ในเมื่อเจ้ากล้าที่จะเสี่ยงตายไปฝึกคนเดียวในเหวมรณะ แล้วเจ้าจะมากลัวอะไรกับการดูเต๋ากระบี่คนอื่น?”

“วันนี้ข้าจะมอบโอกาสอันดีให้เจ้าได้เห็นเต๋ากระบี่อันดับหนึ่งของอาณาเขตสุสานกระบี่ที่เจ้าอาศัยอยู่ และในเวลาเดียวกันข้าจะให้เจ้าได้เห็นเต๋ากระบี่ของข้าเองด้วยเช่นกัน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เฉียนซ่งก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ในเวลาเดียวกัน สำนักกระบี่เอกภพในตอนนี้ก็กลายเป็นอยู่สภาวะตื่นตัวทันที บรรดาศิษย์ของสำนักจำนวนมากต่างพากันกรูออกมาจ้องหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาดุร้ายราวกับราชสีห์จ้องจะตะครุบเหยื่อ

“พวกเจ้าเป็นใครถึงกล้ามายั่วยุสำนักของเราแบบนี้?” ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สะพายกระบี่อยู่ด้านหลังตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าโมโห

หลิงตู้ฉิงโยนมู่อี่หลงที่เขาจับตัวได้ที่เมืองผนึกกระบี่ไปยังเหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่เอกภพและพูดว่า “คนผู้นี้เป็นคนของพวกเจ้าใช่ไหม?”

“น้องสาม!” ชายหนุ่มที่สะพายกระบี่ตะโกนเสียงหลงทันที และรีบมาประคองมู่อี่หลงไว้

จากนั้นเมื่อเขาตรวจสอบอาการของมู่อี่หลงแล้วว่าไม่เป็นอันตรายอะไร เขาก็ดึงกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมา และออกแรงฟันส่งปราณกระบี่อันรุนแรงที่ก่อตัวเป็นภาพของหมู่ดาวพุ่งไปยังหลิงตู้ฉิงทันที

ในขณะที่ชายหนุ่มที่สะพายกระบี่ลงมือโจมตี บรรดาคนอื่น ๆ ก็ได้รู้ว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับนักบุญ

หลิงตู้ฉิงยิ้ม “สาวน้อย เจ้าจงตั้งใจดูให้ดี ๆ ข้าจะแสดงอำนาจของเพลิงหนานหมิงให้เจ้าเห็นว่ามันวิเศษอย่างไร!”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงบังคับกระบี่บินเล่มหนึ่งบินเข้าไปยังท่ามกลางปราณกระบี่ที่ก่อตัวเป็นหมู่ดาว และเมื่อกระบี่บินเข้าไปถึงใจกลางมันก็แผ่อำนาจแห่งเพลิงหนานหมิง เผาผลาญดวงดาวทุกดวงจนไหม้สลายหายเป็นจุล

“ใช้ความร้อนแรงของเพลิงหนานหมิงเผาทำลายทุกกฎที่เจ้าเผชิญ นี่คือหนึ่งในหลักการของการใช้วิชาเพลิงหนานหมิง” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น “แล้วถ้ายิ่งเจ้าเชี่ยวชาญมันจนสมบูรณ์ ไม่เพียงเจ้าจะเผาทำลายได้เพียงแค่กฎ เจ้ายังสามารถทำให้เพลิงลามไปถึงอาวุธของศัตรูและหลอมละลายมันได้ต่อให้จะเป็นอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม”

ในระหว่างที่หลิงตู้ฉิงพูด เพลิงที่แผ่ออกมาจากกระบี่บินก็ก่อร่างกลายเป็นมังกรเพลิงและมังกรเพลิงตัวนั้นก็พุ่งไปหาชายหนุ่มที่สะพายกระบี่

เมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนแรงของมังกรเพลิงที่พุ่งเข้ามาและรวมไปถึงการที่หลิงตู้ฉิงทำลายปราณกระบี่ของเขาได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มที่สะพายกระบี่ก็ไม่กล้าที่จะต่อกรอีกต่อไป เขารีบหันหลังกลับและบินหนีทันที

แต่น่าเสียดายที่มังกรเพลิงตัวนั้นยังคงบินไล่ตามหลังเขาอย่างไม่ลดละ

“กระบวนท่านี้คือมังกรเพลิงพเนจร ซึ่งอยู่ในวิชาเพลิงหนานหมิง” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “แต่ว่าเพลิงที่ข้าใช้ไปเมื่อครู่มันยังไม่ใช่ระดับเพลิงหนานหมิงอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นไอ้หนูคนนั้นคงถูกเผาจนสลายหายไปนานแล้ว”

เนื่องจากบรรดาผู้คนของสำนักกระบี่เอกภพต่างก็เป็นเหมือนลูกหลานของทาสกระบี่ ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง เขาใช้พลังเพียงส่วนเดียวเพื่อสาธิตอำนาจของวิชาเพลิงหนานหมิงให้มู่เฉียนหลิงดูก็เท่านั้น

มู่เฉียนหลิงมองไปยังหลิงตู้ฉิงพลางอ้าปากค้าง นางไม่เข้าใจว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณเช่นหลิงตู้ฉิงสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตสวรรค์ได้อย่างไร?

แต่นางก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงสอนวิชาที่วิเศษขนาดนี้ให้กับนางและยังลักพาตัวนางกับพี่ชายของนางมาที่นี่ นางรู้สึกสับสนกับการกระทำของหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก

ทางด้านของมู่เฉียนซ่งก็สับสนมากเช่นกัน

เท่าที่ดูแล้ว หลิงตู้ฉิงนั้นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ทำไมหลิงตู้ฉิงถึงอยากรับเขาเป็นศิษย์นัก? และที่สำคัญ หลิงตู้ฉิงยอมทำถึงขนาดจับตัวเขาออกจากตระกูลเลยด้วยซ้ำ

ทางด้านของเย่ชิงเฉิง ในเวลานางมองไปยังคู่พี่น้องตระกูลมู่ด้วยแววตาสงสัย

นางสามารถสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของการกระทำของสามีนาง

“พวกเขาน่าจะเป็นลูกหลานของเทพกระบี่แน่ ๆ!” เย่ชิงเฉิงคิดในใจ

หากไม่ใช่ลูกหลานของเทพกระบี่ สามีของนางคงไม่ลงทุนสอนทั้งคู่ถึงขนาดนี้

ในตอนนี้บรรดาคนในกลุ่มของหลิงตู้ฉิงต่างเดากันไปต่าง ๆ นานา ส่วนทางด้านของสำนักกระบี่เอกภพ จู่ ๆ ก็มีกลิ่นอายอันแข็งแกร่งสายหนึ่งปะทุขึ้นมาจากด้านในสำนักและจากนั้นร่างของชายผู้หนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น และจากนั้นผู้เชี่ยวชาญที่มีระดับการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งอีกหลายคนก็ตามออกมา

เนื่องจากคนของสำนักพ่ายแพ้คนนอกอย่างน่าเวทนา เหล่าผู้อาวุโสของสำนักจึงส่งผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งกว่าเดิมออกมาจับกุมกลุ่มของหลิงตู้ฉิงทันที

“ไอ้หนู นี่เป็นโอกาสที่ดีเลยที่เจ้าจะได้เห็นเต๋ากระบี่ที่หลากหลาย เจ้าห้ามกระพริบตาเด็ดขาดเชียวนะ” เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เดินออกจากค่ายกลกระบี่เหินเมฆาและพูดกับบรรดาผู้คนของสำนักกระบี่เอกภพว่า “อะไรกัน? นี่พวกเจ้าคิดจะรุมข้างั้นเหรอ?”

“เจ้าเป็นใครกัน? เจ้ามายั่วยุพวกเราที่นี่แถมยังทำร้ายคนของเราอีกเช่นนี้มันหมายความว่ายังไง?” ผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพลางจ้องมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาขุ่นเคือง

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าสำนักกระบี่เอกภพของพวกเจ้านั้นเป็นที่หนึ่งในอาณาเขตสุสานกระบี่ แถมพวกเจ้าทุกคนยังบ้ากระบี่เป็นอย่างมาก ดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาที่นี่เพื่อขอคำชี้แนะเกี่ยวกับเต๋ากระบี่โดยไม่วัดกันที่ระดับการบ่มเพาะ!”