บทที่ 524 เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 524 เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง

ในตอนแรกบรรดาผู้คนของสำนักกระบี่เอกภพนั้นอยู่ในสภาวะตึงเครียดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อพวกเขาได้ยินที่หลิงตู้ฉิงกล่าวว่าเขามาที่นี่เพื่อขอคำชี้แนะเต๋ากระบี่ อารมณ์ของพวกเขาก็เปลี่ยนทันทีจากตึงเครียดกลายเป็นรู้สึกสนใจใคร่รู้

ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญของสำนักกระบี่เอกภพผู้หนึ่งรีบก้าวออกมาทันทีและพูดว่า “ในเมื่อเจ้าอยากขอคำชี้แนะเต๋ากระบี่ ถ้างั้นข้าขอเริ่มเป็นคนแรกก็แล้วกัน!”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่ว่าใครจะเป็นคนแรกมันก็ไม่มีอะไรต่าง”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เดินกลับเข้าไปในค่ายกลกระบี่อีกรอบ จากนั้นเขาโบกมือไปทางมู่เฉียนซ่ง ส่งผลให้กระบี่วิญญาณที่อยู่ในร่างของมู่เฉียนซ่งบินออกมาจากร่างก่ายเขาอย่างควบคุมไม่ได้ทันที

ขณะนี้หลิงตู้ฉิงถือกระบี่วิญญาณเอาไว้และพูดไว้ “หากเจ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็จงเข้ามาสู้กับข้าในค่ายกลกระบี่ของข้า สำนักกระบี่เอกภพของเจ้าดูแข็งแกร่งไม่เบา ข้าไม่กล้าออกจากค่ายกลกระบี่ของข้าสักเท่าไหร่!”

ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “นี่เจ้ากล้าดูถูกว่าสำนักข้าจะใช้วิธีสกปรกกับเจ้างั้นเหรอ!”

เมื่อพูดจบ ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญผู้นั้นก็เดินเข้าไปในค่ายกลกระบี่เหินเมฆาผ่านทางช่องว่างที่หลิงตู้ฉิงเปิดขึ้นอย่างองอาจ ซึ่งหลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ได้คลายผนึกบังตาของค่ายกลเพื่อให้ผู้คนของสำนักกระบี่เอกภพได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นด้านใน

ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญได้เข้ามาในค่ายกลกระบี่เหินเมฆาแล้ว เขาจึงพูดแนะนำตัวขึ้นทันที “สำนักกระบี่เอกภพ โม่เทียนซิง ไม่ทราบว่าเจ้ามีนามว่าอะไร?”

“หลิงตู้ฉิง!” หลิงตู้ฉิงตอบกลับเช่นกันตามมารยาทสากลของการประลอง

โม่เทียนซิงชักกระบี่ออกจากฝัก จากนั้นเขาพูดว่า “เชิญ!”

หลิงตู้ฉิงก็ยกกระบี่ขึ้นและเอ่ยขึ้นเช่นกัน “เชิญ!”

จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มวาดเพลงกระบี่เข้าปะทะกัน

นอกเหนือจากการให้มู่เฉียนซ่งได้เห็นเต๋ากระบี่แบบต่าง ๆ แล้ว การที่หลิงตู้ฉิงลงมาเล่นกับบรรดาคนรุ่นหลานรุ่นเหลนของตัวเองแบบนี้นั้นเพราะเขามีเป้าหมายอย่างอื่นอีกอย่างหนึ่ง

และด้วยระดับการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงที่ยังคงอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณ โม่เทียนซิงจึงลดระดับการบ่มเพาะของตัวเองมาอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณเช่นกัน ซึ่งมันหมายความว่าเขาต้องการแค่วัดความแข็งแกร่งของเต๋ากระบี่เพียงอย่างเดียวกับหลิงตู้ฉิง ไม่ต้องการที่จะเอาชนะโดยใช้ระดับการบ่มเพาะ

เมื่อเป็นเช่นนี้มันจึงยิ่งเป็นเรื่องง่ายสำหรับหลิงตู้ฉิงที่จะรับมือกับโม่เทียนซิง

แต่ด้วยเงื่อนไขที่หลิงตู้ฉิงยังจำเป็นต้องให้มู่เฉียนซ่งดูเต๋ากระบี่ หลิงตู้ฉิงจึงเล่นกับโม่เทียนซิงอยู่สักพัก ปล่อยให้โม่เทียนซิงใช้เพลงกระบี่สายธารดาราออกมาอย่างเต็มที่ก่อน

เมื่อเพลงกระบี่สายธาราดาราถูกใช้ออกมาจนหมดหมด หลิงตู้ฉิงก็เสียดแทงไปยังช่องว่างของโม่เทียนซิง และใช้ปลายกระบี่จิ้มแขนของโม่เทียนซิงไปเล็กน้อย “เจ้าแพ้แล้ว!”

“นี่เจ้า!” โม่เทียนซิงถอยพลางมองแขนของตัวเองที่โดนปลายกระบี่ทิ่มไปเมื่อครู่

ทางด้านของหลิงตู้ฉิง เขาใช้จังหวะเวลาในการคอยคู่ประลองคนที่สองที่กำลังเตรียมตัวลอบดูต้นกำเนิดของโม่เทียนซิง ผ่านหยดเลือดที่ติดปลายกระบี่ของเขาเมื่อครู่

จากนั้นไม่นาน หลิงตู้ฉิงก็ถอนหายใจอย่างลับ ๆ จากนั้นเขาก็เอ่ยกับคู่ประลองคนที่สองว่า “ข้าได้สัมผัสเพลงกระบี่สายธารดาราของสำนักเจ้าเรียบร้อยแล้ว หากเจ้าไม่ใช้เพลงกระบี่อื่น เจ้าก็จงถอยไปและให้คนอื่นเข้ามาแทน”

จากนั้นไม่นานการประลองก็เริ่มขึ้นและรอบนี้ก็เช่นเดิม หลิงตู้ฉิงเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยการแทงกระบี่ไปที่ช่องว่างของคู่ต่อสู้และเอาหยดเลือดที่ติดปลายกระบี่มาตรวจสอบเหมือนเดิม และผลการตรวจสอบก็เป็นเหมือนเดิมเช่นกัน

สิ่งนี้ทำให้หลิงตู้ฉิงคิดในใจ มันไม่มีใครในโลกนี้บ้างเลยเหรอที่ไม่สงสัยว่าสำนักกระบี่เอกภพนั้นแท้จริงแล้วก็คือลูกหลานของเทพกระบี่!

ผู้คนสมัยนี้มันตาบอดหรือปัญญาอ่อนกันเหรอยังไง?

และยังมีอีกอย่างที่เขาไม่เข้าใจก็คือคนเหล่านื้ทำยังไงถึงสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจนมากลายเป็นสำนักกระบี่เอกภพได้อย่างเช่นทุกวันนี้โดยที่ไม่มีใครสงสัย จากที่มู่ถิงเคยเล่าไว้ ไม่ใช่ว่าบรรดาพวกบรรพบุรุษของเขาตายไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?

ในระหว่างที่หลิงตู้ฉิงกำลังครุ่นคิดถึงข้อสงสัยนี้ เขาก็เอาชนะบรรดาผู้คนของสำนักกระบี่เอกภพอย่างง่าย ๆ ไปเรื่อย ๆ

หากเป็นเงื่อนไขของการวัดกันที่เต๋ากระบี่ใครแข็งแกร่งกว่ากันโดยไม่ใช้ความแข็งแกร่งของระดับการบ่มเพาะ ต่อให้ทั้งสำนักกระบี่เอกภพมารุมเขา มันก็คงไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอนแล้วยิ่งโดยเฉพาะที่เขารู้แล้วว่าคนเหล่านี้ต้นกำเนิดมาจากไหน มันก็ยิ่งไม่มีวันที่คนเหล่านี้จะเอาชนะเขาได้

หลิงตู้ฉิงไม่จำเป็นต้องใช้กระบวนท่าอะไรมากมาย ทุกคนที่เข้ามาประลองกับเขาล้วนมีช่องโหว่ที่เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเขาใช้แค่เพียงการแทงกระบี่ครั้งเดียวมันก็เพียงพอที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทั้งหมด

มู่เฉียนหลิง ในขณะนี้เมื่อนางได้เห็นการสำแดงเดชของหลิงตู้ฉิงที่ดูราวกับเป็นเทพเจ้า นางก็รู้สึกตื่นเต้นจนลืมตัวไปว่านางนั้นถูกบังคับให้มาที่นี่

ส่วนทางด้านของมู่เฉียนซ่งก็มองท่วงท่าการออกกระบี่ต่าง ๆ ของทั้งหลิงตู้ฉิงและคนของสำนักกระบี่เอกภพด้วยตาไม่กระพริบ

ในตอนแรกเขาเองก็ไม่อยากที่จะดูภาพเหล่านี้เพราะเขากลัวว่าเต๋ากระบี่ของผู้อื่นจะทำให้เขาสับสน

แต่เมื่อเขาได้ลองย้อนคิดไปถึงคำที่หลิงตู้ฉิงกล่าว หากจิตใจของเขามั่นคงพอ เขาก็ไม่มีทางหวั่นไหวกับเต๋ากระบี่ของใครทั้งนั้น และเขายังจะสามารถพัฒนาตัวเองไปได้ไกลขึ้น แต่ถ้าหากเขาสับสนและหวั่นไหวไปกับเต๋ากระบี่ของผู้อื่นจริง นั่นก็แสดงว่าจิตใจของเขาไม่มั่นคงพอ ซึ่งมันหมายความว่าเขาคงไม่มีหวังที่จะก้าวผ่านเทพกระบี่ได้ในอนาคต ดังนั้นเขาจะต้องกลัวการมองเต๋ากระบี่ของผู้อื่นไปทำไม?

หลังจากมองการประลองของหลิงตู้ฉิงไปได้สักพัก มู่เฉียนซ่งก็เริ่มได้แรงบันดาลใจจากเต๋ากระบี่ต่าง ๆ ที่ผ่านสายตาเขาไปเรื่อย ๆ

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เขาก็ยิ่งตั้งใจมองมากยิ่งขึ้นไปอีก

ส่วนทางด้านของสำนักกระบี่เอกภพ ในตอนนี้หลายคนเริ่มเปลี่ยนสีหน้าจากในตอนแรกที่มีสีหน้าตื่นเต้น สีหน้าของพวกเขาเริ่มกลับกลายเป็นมืดหม่น และจากนั้นในที่สุดก็กลายเป็นหมดหวัง เนื่องจากในด้านของเต๋ากระบี่ มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้เพียงคนเดียวสามารถเอาชนะพวกเขาได้ทั้งสำนัก!

หลังจากที่หลิงตู้ฉิงเอาชนะคู่ประลองคนล่าสุดได้ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “นี่เต๋ากระบี่ของพวกเจ้ามีระดับแค่นี้กันเองงั้นเหรอ? พวกเจ้าไม่มีใครที่เก่งกว่านี้แล้วรึไง? ถ้ามีก็รีบ ๆ เรียกคนที่เก่งที่สุดของพวกเจ้าออกมาสักที!”

ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงจำเป็นต้องพบกับบรรดาพวกตัวตนที่ระดับสูงกว่า หากเขายังคงเล่นกับพวกเด็กน้อยพวกนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แผนของเขาคงไม่ก้าวหน้าไปไหน

“เจ้าจะดีใจไปทำไมกัน? ที่ข้าแพ้เจ้ามันก็เป็นเพราะข้าต้องลดระดับลงมาอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณเท่ากับเจ้าต่างหาก เต๋ากระบี่ของข้านั้นจำเป็นต้องอาศัยพลังแห่งกฎที่อยู่ในขอบเขตสวรรค์มันถึงจะสำแดงเดชได้อย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นข้าไม่มีวันแพ้เต๋ากระบี่ของเจ้าหรอก!” ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำผู้หนึ่งตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าไม่ยินยอม

แต่ก่อนที่หลิงตู้ฉิงจะได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงอันทรงอำนาจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นออกมาจากสำนักกระบี่เอกภพ “เจ้าจงหุบปากเดี๋ยวนี้ ชิงหมิง! มันไม่ใช่เรื่องน่าอายที่เจ้าจะพ่ายเต๋ากระบี่ให้กับผู้อื่น แต่มันเป็นเรื่องน่าอายที่เจ้ากลับไม่กล้าที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ของเจ้าแบบนี้!”

เมื่อสิ้นเสียง ตัวตนเจ้าของเสียงก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของหลิงตู้ฉิง

เมื่อบรรดาผู้คนของสำนักกระบี่เอกภพเห็นร่างของตัวตนที่ปรากฎขึ้น พวกเขาก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นขึ้นทันที

“ในที่สุดท่านบรรพบุรุษก็ปรากฎตัวแล้ว! ด้วยความแข็งแกร่งของท่านบรรพบุรุษ ไอ้หนุ่มนั่นมันต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถแน่นอน!”

“ถูกต้อง ท่านบรรพบุรุษฝึกฝนกระบี่มานานกว่า 20,000 ปี และเป็นผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงในอาณาเขตสุสานกระบี่ เขาจะต้องสั่งสอนไอ้คนผู้นี้อย่างสาสมแน่นอน!”

แม้แต่มู่ชิงหมิงที่เพิ่งจะโดนตำหนิเมื่อครู่ก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นเช่นกันเมื่อเห็นชายชราที่อยู่ในชุดเขียวปรากฎขึ้นต่อหน้าของหลิงตู้ฉิงในเวลานี้

“ข้า มู่เทียนหยู คือคู่ประลองคนถัดไปของท่าน!” ชายชราชุดเขียวเอ่ยขึ้นพลางถือกระบี่ของตนเองไว้ในมือ!