บทที่ 571 การเปลี่ยนแปลงของตระกูลอ้าย

The king of War

อ้ายหลินที่ตามหม่าชาวออกไปไกลกว่าสิบเมตร เมื่อได้ยินเสียงนี้ทั้งสองก็หยุดลง

“พ่อครับ!”

“ท่านผู้นำเก่า!”

เมื่อเห็นเขาคนนี้ ผู้คนของตระกูลอ้ายก็รีบกล่าวทักทายเขาด้วยความเคารพ

อ้ายหลินก็หันกลับมามองร่างสูงวัยคนนี้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณปู่!”

ซึ่งเขาคนนั้นก็คืออ้ายชวน อดีตหัวหน้าครอบครัวของตระกูลอ้าย

เป็นเพราะศักยภาพของหม่าชาวกับหยางเฉิน อ้ายชวนถึงได้ประกาศสละตำแหน่งผู้นำของเขาและแต่งตั้งให้อ้ายหลินเป็นผู้สืบสกุลคนใหม่

แต่อ้ายหลินกลับปฏิเสธ จึงทำให้อ้ายชวนต้องมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลนี้ให้กับอ้ายหมิงซวี่

ทุกอย่างก็เป็นเพราะอ้ายหลิน

“ข้ายังไม่ตายนะ แกจะรีบไล่หลานสาวข้าออกจากบ้านทำไม?”

ดวงตาอันเฉียบคมของอ้ายชวนมองไปที่อ้ายหมิงซวี่และถามเขาอย่างเย็นชา

ด้วยคำถามนี้ ทำให้อ้ายหมิงซวี่ชาไปทั้งตัว และเขาก็รีบตอบว่า “พ่อครับ ไอ้ลูกดื้อรั้นคนนี้มันดันไปมีเรื่องกับตระกูลเถียน ตอนนี้ลูกชายของว่าทีผู้สืบสกุลของตระกูลเถียนตายแล้วนะครับ”

“ตอนนี้ เราทำได้แค่ไล่เธอออกไปถึงจะปกป้องตระกูลอ้ายของเราได้ ผมเองก็ไม่มีทางเลือกถึงได้ตัดสินใจแบบนี้นะครับ!”

อ้ายหมิงซวี่รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว

คนอื่นๆ ก็รีบพูดขึ้นว่า “ท่านผู้นำเก่าครับ สิ่งที่ท่านผู้นำพูดเป็นความจริงนะครับ โปรดท่านผู้นำเก่าช่วยมอบอำนาจให้พวกเรานะครับ”

“โปรดมอบอำนาจให้พวกเราเถอะครับ!”

“โปรดมอบอำนาจให้พวกเราเถอะค่ะ!”

……

ในเวลานี้ ทายาทสายตรงของตระกูลอ้ายหลายสิบคนก็พูดขึ้นมาเพื่อจะให้อ้ายชวนมอบสิทธิอำนาจให้พวกเขา

เมื่อเห็นภาพนี้ อ้ายชวนรู้สึกละอายใจแทนพวกเขามาก เพราะเขาอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว แต่เพิ่งสละตำแหน่งให้กับอ้ายหมิงซวี่เมื่อไม่นานไม่นี่เอง ซึ่งไม่ใช่เพราะเขาบ้าอำนาจ แต่เพราะเขารู้ดีว่าอ้ายหมิงซวี่นั้นเป็นคนประเภทไหน

ถ้าอ้ายหลินไม่ปฏิเสธ ต่อให้ตายเขาก็จะไม่ยอมสละตำแหน่งผู้นำตระกูลให้กับอ้ายหมิงซวี่อย่างแน่นอน

แต่ไม่คิดเลยว่าลูกชายของเขาจะแย่กว่าที่คิด เขาไม่มีความสามารถในการจัดการเลย แต่เรื่องเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายในการชนะใจคนนั้นกลับเป็นเรื่องถนัดของเขา

“แกก็คิดอย่างนั้นใช่ไหม?”

อ้ายชวนตอบใคร แต่มองไปที่อ้ายหมิงซวี่แล้วถามเขา

อ้ายหมิงซวี่ได้แต่ก้มหน้าและไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองอ้ายชวน

“เงยหน้าขึ้น!”

อ้ายชวนเริ่มขึ้นเสียงกับเขา

และในครั้งนี้ อ้ายหมิงซวี่จึงจะเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่อ้ายชวน

“บอกข้ามาสิ ว่าแกก็อยากให้ข้ามอบอำนาจให้แกด้วย?”

อ้ายชวนถามอีกครั้ง

อ้ายหมิงซวี่ก็ไม่ทนเงียบอีกต่อไป เขาจึงกัดฟันพูดว่า “ในเมื่อพ่อก็มอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้ผมแล้ว ได้โปรดพ่อมอบอำนาจให้ผมด้วยเถอะครับ! ผมจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้ตระกูลอ้ายของเราแข็งแกร่งขึ้นครับ!”

“พ่อ! พ่อพูดอะไรกับคุณปู่กันแน่?”

อ้ายหลินทนไม่ได้อีกแล้ว และใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ในความทรงจำของเธอ อ้ายหมิงซวี่ไม่เคยทำตัวแบบนี้มาก่อน

“อย่ามาเรียกฉันว่าพ่ออีก! แกถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลอ้ายแล้ว แกกับฉันไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันอีก!”

อ้ายหมิงซวี่พูดด้วยความโกรธ

อ้ายหลินกัดริมฝีปากสีแดงของเธอแน่นๆ และไม่พูดอะไรอีก ได้แต่มองไปที่อ้ายชวนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

อ้ายชวนที่ได้ยินคำตอบจากอ้ายหมิงซวี่ก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงของเขาหมดไปอย่างกะทันหัน เดิมทีอายุเจ็ดสิบกว่าปีอยู่แล้ว แต่เหมือนถูกเพิ่มขึ้นอีกสิบปีในชั่วพริบตา

เขาจึงยิ้มพูดอย่างขมขื่นว่า “ที่แท้ อำนาจก็สำคัญกว่าลูกสาวแท้ๆ ของแกและพ่อแท้ๆ ของแกสินะ”

“หมิงซวี่ แกรู้ไหม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำไมพ่อถึงไม่ยอมสละตำแหน่งให้แกสักที?”

อ้ายชวนใจเย็นลงอย่างกะทันหันแล้วถามเขา

แต่เมื่ออ้ายหมิงซวี่ได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็กลายเป็นความโกรธ และเขากัดฟันพูดว่า “ไม่ใช่เป็นเพราะพ่อรักในอำนาจหรอกเหรอครับ?”

“ไม่อย่างนั้น ทำไมพ่อไม่ยอมมอบอำนาจให้ผมสักทีล่ะ? ผมเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อนะ เป็นทายาทคนเดียวของตระกูลอ้ายอีกด้วย เรื่องอะไรที่พ่อจะต้องยึดครองอำนาจมานานขนาดนี้?”

“พ่อรู้ไหมว่าคนข้างนอกพูดถึงผมยังไง?”

“พวกเขาหาว่าผมเป็นคนไร้ปัญญา ไม่รู้จักมองการณ์ไกล ต่อให้เป็นทายาทคนเดียวของตระกูลอ้าย ถ้าพ่อไม่ตาย ชีวิตนี้ผมก็ไม่มีวันได้รับตำแหน่งผู้นำของตระกูล”

“ทั้งหมดนี้ต้องโทษพ่อคนเดียว พ่อก็แก่ปูนนี้แล้ว ไม่ดูสังขารตัวเอง ทำไมไม่ยอมเกษียณแล้วไปใช้ชีวิตวัยชราอย่างมีความสุขเหมือนคนอื่นเขาล่ะ?”

“ทำไมต้องถือครองตำแหน่งผู้นำไม่ยอมปล่อย ทำให้คนอื่นมองผมเป็นคนไร้ค่าแบบนี้?”

อ้ายหมิงซวี่ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ เขาตะคอกใส่อ้ายชวนอย่างไม่หยุด ราวกับว่าต้องการระบายความคับข้องใจทั้งหมดที่เขาสะสมมาทั้งชีวิต

อ้ายชวนได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร จนกระทั่งอ้ายหมิงซวี่พูดจบ เขาจึงจะยิ้มพูดอย่างขมขื่นว่า “ที่แท้ ไอ้ลูกชายอย่างแกก็คิดว่าพ่อเป็นคนบ้าอำนาจสินะ?”

“หรือไม่ใช่?” อ้ายหมิงซวี่พูดด้วยความโกรธ

“แล้วแกรู้ไหม หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนในการส่งเสริมแก?”

“ถ้าไม่ใช่เพราะแกขาดความสามารถ แล้วข้าจะครอบครองตำแหน่งผู้นำมานานขนาดนี้ทำไมกัน?”

“ตอนนี้ยังมาโทษข้าเป็นคนบ้าอำนาจ? ข้าแก่เป็นวัยชราที่กำลังจะลาโลกแล้ว ยังต้องมาปวดหัวกับเรื่องของตระกูลอ้ายอีก แกคิดจริงเหรอว่าข้าไม่อยากเกษียณ?”

อ้ายชวนถามด้วยสีหน้าความผิดหวัง

แต่ด้วยคำว่าขาดความสามารถของอ้ายชวน ทำให้ความโกรธของอ้ายหมิงซวี่ปะทุขึ้นอีกครั้ง “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! ผมยอมรับว่าพ่อเป็นคนส่งเสริมผม แต่เรื่องอะไรที่พ่อจะหาว่าผมเป็นคนขาดความสามารถ?”

“ถ้าผมขาดความสามารถจริงๆ กิจการทั้งหมดที่พ่อให้ผมรับผิดชอบ มันจะทำกำไรได้อย่างไร?”

“ถ้าผมขาดความสามารถจริงๆ ตอนนี้ผมจะดูแลครอบครัวตระกูลอ้ายได้อย่างไร?”

อ้ายหมิงซวี่โกรธจนหยุดไม่อยู่

แต่อ้ายชวนกลับใจเย็นและพูดเบาๆ ว่า “แกคิดจริงเหรอ ว่าแกดูแลกิจการเหล่านั้นได้ แกคิดจริงเหรอ ว่าการที่สร้างกำไรได้ก็เพราะความสามารถของแก?”

“หรือว่ามันไม่จริงล่ะ?” อ้ายหมิงซวี่ยังคงพูดด้วยความโกรธ

“ไม่จริงแน่นอนอยู่แล้ว!”

อ้ายชวนรู้สึกผิดหวังมากและพูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ถ้าไม่ใช่เพราะข้าช่วยแกอยู่เบื้องหลัง แกคิดว่ากิจการเหล่านั้นที่ขาดทุนอยู่มันจะกลับมาสร้างกำไรได้งั้นเหรอ?”

“เพราะข้ารู้ดีว่าแกเป็นคนหวังแต่ผลกำไร ทะเยอทะยานเกินตัว มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ฉะนั้น แม้ว่ากิจการที่แกดูแลอยู่มันจะขาดทุนมาตลอด แต่ข้าก็ยังให้แกดูแลมาตลอด เพียงเพราะข้าคอยช่วยเหลือแกอยู่เบื้องหลังต่างหาก”

อ้ายหมิงซวี่ดูเหลือเชื่อมาก จากนั้นเขาเดินโซเซแล้วถอยหลังไปหลายๆ ก้าว “ไม่จริง ไม่จริง ทั้งหมดนี้ผมเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เป็นไปได้ไงว่าพ่อคอยช่วยผมอยู่เบื้องหลัง?”

“เป็นไปได้ยังไงงั้นเหรอ?”

“งานที่แกดูแลอยู่ มันมีหลายๆ กิจการที่ขาดทุนต่อเนื่องเป็นหลายพันล้าน แล้วมันจะกลายเป็นกำไรอย่างกะทันหันได้ยังไง?”

“แกคิดจริงเหรอว่ากิจการที่กำลังจะล้มละลาย แต่จู่ ๆ มันจะฟื้นตัวได้เพราะความโชคดี?”

อ้ายชวนพูดจาถากถาง แต่ลึกๆ แล้วก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย

จนกระทั่งเวลานี้ อ้ายหมิงซวี่ถึงจะตระหนักได้ว่า เบื้องหลังความสำเร็จในก่อนหน้านี้ของเขานั้นมาจากอ้ายชวนทั้งนั้น

เป็นอย่างที่อ้ายชวนพูดจริงๆ ที่ผ่านมากิจการหลักหลายๆ แห่งของตระกูลอ้ายที่อ้ายหมิงซวี่ดูแลนั้น เดิมทีใกล้จะล้มละลายกันหมดแล้ว แต่จู่ ๆ มันก็ฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง

ในเวลานั้น อ้ายหมิงซวี่ยังคงสงสัยว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้กิจการที่กำลังขาดทุนอยู่แต่กลับมาเป็นกำไรได้ ซึ่งเขาไม่เคยคิดถึงอ้ายชวนเลยด้วยซ้ำ ได้แต่คิดว่าเป็นความโชคดีของเขา

แต่หลังจากอ้ายชวนพูดในวันนี้ เขาก็รู้ความจริงสักที

“ที่แท้ อ้ายหมิงซวี่เป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลอ้ายในช่วงที่ขาดทุนย่อยยับงั้นหรือ!”

“ใช่น่ะสิ แต่ผู้นำเก่าก็คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังเพื่อให้กิจการเปลี่ยนจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้”

“ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราก็เข้าใจผู้นำเก่าผิดไปแล้วสิ ท่านทำเพื่อตระกูลอ้ายจริงๆ ถึงได้คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ไม่อย่างนั้น ท่านก็อายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว ท่านจะเอาอำนาจและเงินทองมากมายไปทำอะไรกันล่ะ?”