อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1829 การฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นนักปราชญ์โบราณ (1)
“ผมเข้าใจเรื่องนั้น แต่นอกจากรอคอย ตอนนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว!” อำมาตย์เฉินหย่งตอบอย่างจนปัญญาขณะผลักนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งกระเด็นไปด้วยการปล่อยพลังจากสองฝ่ามือของเขา
เขาก็อยากฆ่าหมอนั่น แต่เมื่อพิธีกรรมเริ่มต้นแล้วก็ไม่อาจยับยั้งมันได้ ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นการแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อเทพเจ้า นำมาซึ่งความโกรธเกรี้ยวของสวรรค์
ด้วยการผนึกพละกำลังของพวกเขา พวกเขาอาจรับมือกับอำมาตย์เฉินหลิงที่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้วได้ แต่กับเทพเจ้า ชะตากรรมเดียวที่รอคอยพวกเขาอยู่ก็คือความตาย
“ทั้งหมดที่เราทำได้ตอนนี้คือสังหารนักปราชญ์โบราณพวกนั้น หรือทำให้พวกเขาหมดเรี่ยวแรง ด้วยวิธีนี้ ต่อให้อำมาตย์เฉินหลิงฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ก็จะต้องโดดเดี่ยว ซึ่งในตอนนั้น เราจะมีโอกาสเอาชนะได้มากขึ้น” อำมาตย์เฉินหย่งพูด
“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า
ก็จริง นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้
ตราบใดที่เมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรมแล้ว แต่อำมาตย์เฉินหลิงยังไม่สามารถฝ่าด่านวรยุทธจากขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้ ด้วยการผนึกพละกำลังกันของตัวเขา นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และหอกสวรรค์กระดูกมังกร พวกเขาก็ยังมีโอกาสจะได้ชัยชนะ
ฟึ่บ!
ขณะที่ทั้งคู่กำลังหารือกัน เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่จางเซวียน
อาวุธที่นักปราชญ์โบราณผู้นั้นใช้คือพู่กันของผู้พิพากษา มันเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ เมื่อตวัดผ่านอากาศ พละกำลังทำลายล้างของมันก็สร้างภาพลวงตาให้เกิดระหว่างสวรรค์กับโลก กรงเล็บที่มีอานุภาพร้ายแรงตวัดเข้าใส่จิตวิญญาณของจางเซวียน
ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณผู้นี้จะดูออกว่าระดับวรยุทธของจางเซวียนยังอ่อนด้อย และเหตุผลเดียวที่เขาเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ได้ก็เพราะประสิทธิภาพการต่อสู้อันน่าทึ่งของหอกที่อยู่ในมือ ดังนั้น นักปราชญ์โบราณจึงตัดสินใจใช้ศาสตร์แห่งจิตวิญญาณทำลายพละกำลังของหอกสวรรค์กระดูกมังกรและตั้งใจจะสังหารจางเซวียน
เพราะถึงอย่างไร หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็เป็นอาวุธที่เชี่ยวชาญในการเล่นงานกายเนื้อ มันอาจปัดป้องการโจมตีร่างกายได้ แต่หากเป็นการโจมตีจิตวิญญาณ ก็แทบไม่มีความสามารถอะไร
เป็นอย่างที่นักปราชญ์โบราณผู้นั้นคาดการณ์ไว้ จางเซวียนพบว่าตัวเขาตกเป็นเบี้ยล่างทันที
พลังจิตวิญญาณของเขาถือเป็นสุดยอดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกันก็จริง แต่ก็ยังเกินกำลังหากจะต้องรับมือกับการโจมตีจิตวิญญาณจากนักปราชญ์โบราณที่มีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณอยู่ในมือ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เห็นยุทธวิธีของตัวเองได้ผล เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นเงื้อพู่กันในมือขึ้นและสะบัดอีกครั้ง
“ท่านประธาน!”
เห็นจางเซวียนกำลังตกที่นั่งลำบาก นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบเข้ามาช่วยเหลือ แต่ในพริบตานั้น การโจมตีก็ระดมเข้าใส่เขาราวกับห่าฝน ทำให้ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่จะรู้ว่าเขาตั้งใจมาช่วยสหาย จึงตัดสินใจระดมการโจมตีหนักหน่วงเข้าใส่เขาอย่างไม่ลดละ
เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นกับอำมาตย์เฉินหย่งและคนอื่นๆด้วย
ทุกคนเห็นจางเซวียนกำลังจะถูกสังหาร และรู้ดีว่าคู่ต่อสู้น่าสะพรึงแค่ไหน จึงตัดสินใจผนึกกำลังกันโดยมุ่งหมายจะคร่าชีวิตอีกฝ่าย
“ตายซะ!”
รู้ดีว่าพรรคพวกของเขาคงไม่อาจต้านทานพละกำลังของอำมาตย์เฉินหย่งกับคนอื่นๆไว้ได้นานนัก นักปราชญ์โบราณผู้นั้นคำรามขณะเงื้อฝ่ามือขึ้น เตรียมจะโจมตีหัวกะโหลกของจางเซวียน
มันคือกระบวนท่าที่มีพละกำลังมากพอจะจะเล่นงานได้ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณ ต่อให้จางเซวียนได้ซึมซับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด แต่ความหวังที่เขาจะเอาชีวิตรอดจากการโจมตีครั้งนี้ได้ก็ริบหรี่เต็มที
“นายน้อย!”
“ท่านประธาน!”
“นายท่าน!”
นักปราชญ์โบราณทั้งสามหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึง พวกเขาอยากพุ่งเข้าไปช่วยชีวิตจางเซวียน แต่ก็พบว่าตัวเองจนปัญญาอย่างสิ้นเชิงในสถานการณ์นั้น
ขณะที่ทุกคนคิดว่าจางเซวียนต้องพบจุดจบแน่แล้ว ชายหนุ่มก็ยิ้มแฉ่ง หอกในมือของเขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉึกกกก!
ยังไม่ทันที่แต่ละคนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หัวใจของนักปราชญ์โบราณผู้นั้นก็ถูกหอกสวรรค์กระดูกมังกรจ้วงแทง พละกำลังทำลายล้างที่เขารวบรวมไว้ในฝ่ามือสูญสลายไปโดยไม่ทันได้สร้างความบอบช้ำใดๆ
เลือดสดๆทะลักออกมา
จางเซวียนควานหาขวดหยกในแหวนเก็บสมบัติของเขา จากนั้นก็รีบเก็บหยดเลือดที่ไหลนองทั่วบริเวณนั้น
“….”
ทุกคนพากันผงะ แม้แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่กำลังจะเข้ามายับยั้งจางเซวียนก็ถึงกับอึ้งตะลึง
เป็นเพราะหอกสวรรค์กระดูกมังกรที่ชายหนุ่มถือไว้มีความแข็งแกร่งมากพอจะรับมือกับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอย่างพวกเขา ภายใต้สถานการณ์ปกติ ชายหนุ่มควรจะพ่ายแพ้ แต่แล้ว ในท้ายที่สุด หอกกลับมาจ้วงแทงอีกฝ่ายได้อย่างไร?
อาการตกที่นั่งลำบากเมื่อครู่นี้คือการเสแสร้งหรือ?
“เฉียดฉิวมาก…”
ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะรีบเก็บหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณที่ถูกสังหาร
เขาเพลี่ยงพล้ำเพราะการโจมตีจิตวิญญาณของอีกฝ่าย แต่เพราะก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้มาจากวิหารแห่งขงจื๊อ จึงเรียกพละกำลังฟื้นคืนมาได้อย่างรวดเร็ว
จางเซวียนได้มอบฉนวนแห่งจิตวิญญาณให้ลู่ชงไปแล้ว แต่ยังเลือกที่จะเก็บก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์เอาไว้
ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพในการกลืนกินจิตวิญญาณและปรับสภาพจิตวิญญาณเหล่านั้นให้กลายเป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณของผู้ถือครอง โดยทั่วไป ด้วยความรุนแรงในการโจมตีจิตวิญญาณของนักปราชญ์โบราณ เขาไม่ควรจะฟื้นตัวได้ทันเวลา แต่เพราะได้ซึมซับพลังจิตวิญญาณจากก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ จางเซวียนจึงระงับจิตวิญญาณที่กำลังปั่นป่วนได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากสังหารนักปราชญ์โบราณและเก็บหยดเลือดของอีกฝ่ายแล้ว จางเซวียนก็นำพู่กันของผู้พิพากษาใส่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ ก่อนจะสะบัดข้อมือแล้วนำก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกครั้ง
ต่อให้ไม่มีก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จะไม่เป็นอะไรเพราะยังมีไอ้โหดเป็นไพ่ไม้ตายใบสุดท้าย แต่ก็จะดีกว่าหากเก็บไอ้โหดไว้ใช้ในเวลาที่จำเป็นจริงๆ
จางเซวียนก้มลงมองก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์และรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย มันเรืองแสงสีฟ้าออกมา
เมื่อเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ ก็เห็นรังสีอันทรงพลังมากมายนับไม่ถ้วนอบอวลอยู่ภายในก้อนหินศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อเขาถือไว้บนฝ่ามือ ก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีกระแสพลังงานร้อนผ่าวไหลเข้าสู่จิตวิญญาณ ราวกับได้ก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น
“นี่คือพลังจิตวิญญาณเข้มข้นหรือ?” จางเซวียนหรี่ตา
ในฐานะผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เขารู้ว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ในก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์คือพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ การได้ซึมซับพลังจิตวิญญาณชนิดนี้จะช่วยบ่มเพาะและยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของผู้นั้นได้
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าครั้งสุดท้ายที่เก็บก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ไว้ ยังไม่มีอะไรอยู่ภายในก้อนหินเลย แล้วทำไมจู่ๆถึงมีพลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลขึ้นมา?
“หรือว่า…”
จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่ง เขารีบพิจารณาก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์อย่างถี่ถ้วนและพบเส้นบางๆมากมายล้อมรอบมันอยู่
“จิตวิญญาณของนักรบระดับเซียนกว่า 1 แสนคนที่อำมาตย์เฉินหลิงใช้เป็นเครื่องบรรณาการถูกก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์กลืนกินหมดแล้ว…”
จางเซวียนจะยังคงไม่รู้ไม่เห็นอยู่ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากได้เห็นสิ่งนี้?
ก็เหมือนกับฉนวนแห่งจิตวิญญาณ ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์มีความสามารถในการกลืนกินจิตวิญญาณและขัดเกลาพวกมันให้กลายเป็นพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ความสามารถแบบนี้ถูกต่อต้านจากเหล่านักรบที่ยึดถือในหลักการอย่างเคร่งครัด มันจึงไม่เป็นที่ยอมรับในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็เพราะเหตุผลนี้ด้วยที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเป็นที่จงเกลียดจงชังและหวาดกลัวในหมู่ประชาชนทั่วไป
ในฐานะปรมาจารย์ จางเซวียนไม่ควรใช้เทคนิคแบบนี้เพื่อยกระดับวรยุทธของเขา แต่ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่อำมาตย์เฉินหลิงสังหารคนของตัวเองจำนวนมากมาย จิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นจะถูกก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน?
ด้วยพลังจิตวิญญาณมากมายมหาศาลขนาดนี้ เราน่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้*…*จางเซวียนคิดอย่างตื่นเต้น
ความคิดที่จะใช้ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์กลืนกินจิตวิญญาณของใครต่อใครเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองไม่เห็นด้วย แต่อะไรที่เกิดก็เกิดขึ้นไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังต้องการพละกำลังอย่างมาก และพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่อยู่ในก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็คือสิ่งนั้น
ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนเข้าถึงขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกมาระยะหนึ่งแล้ว ด้วยพลังจิตวิญญาณจำนวนมากที่มีอยู่ เขาน่าจะสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้นที่นักรบมากมายนับไม่ถ้วนได้แต่ฝันถึง
“ต้องลอง!”
จางเซวียนสูดหายใจลึก จากนั้นก็สั่งการให้หอกสวรรค์กระดูกมังกรกับไอ้โหดคุ้มกันร่างของเขาขณะถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้ว
ฟิ้วววว!
ทันทีที่จิตวิญญาณของเขาสัมผัสกับก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ พลังจิตวิญญาณที่มีอานุภาพบ่มเพาะภายในก้อนหินก็พวยพุ่งเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา ในชั่วพริบตานั้น ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณที่ชะงักงันมานานก็พุ่งพรวด
“มีบางอย่างผิดปกติแล้ว…เรายังไม่ได้เทคนิควรยุทธสำหรับการฝึกฝนจิตวิญญาณเพื่อฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณมาเลย!”
เห็นจิตวิญญาณของเขาขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดที่ดูเหมือนจะระเบิดได้ทุกขณะ จางเซวียนอ้าปากค้างอย่างพรั่นพรึง
เพราะตื่นเต้นมากเกินไปกับการจะได้ฝ่าด่านวรยุทธ จางเซวียนลืมสนิทว่าเทคนิควรยุทธเดียวสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณที่เขารู้คือเทคนิควรยุทธสำหรับฝึกฝนพลังปราณ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณนั้น เขายังไม่ได้อ่านหนังสือสักเล่ม!
จางเซวียนไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ และไม่รู้ด้วยว่าในระหว่างกระบวนการจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
เขารีบหันไปตั้งคำถามกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “นักปราชญ์โบราณโม่หลิง คุณมีหนังสือหรือภูมิปัญญาของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเกี่ยวกับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณไหม? มีอะไรก็ส่งมาให้ผมให้หมด!”