ภาคที่ 5 บทที่ 9 ทั้งมากและรวดเร็ว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 9 ทั้งมากและรวดเร็ว

“ก็เลยมาหาข้างั้นหรือ ? อยากใช้ข้ากำจัดเขา ?” ซูเฉินรินชาถ้วยหนึ่งพลางหัวเราะเย็น “โน้มน้าวให้ข้าทำงานสกปรกแทนให้ได้ดีทีเดียว”

ฉือหมิงเฟิงเอ่ย “ซุนโม่ถูกอันซื่อลี่ส่งมาทำร้ายท่าน ไม่คิดแก้แค้นบ้างหรือ ?”

ซูเฉิน เอ่ยเสียงคร้าน “แต่ก็ทำไม่สำเร็จนี่ ?”

ฉือหมิงเฟิงเอ่ยเสียงขุ่นอยู่บ้าง “แต่มีคนเริ่มสงสัยท่านแล้ว หากสังหารอันซื่อลี่ได้ ก็จะสามารถแสดงความภักดีต่อราชวงศ์ได้……”

“แต่ก็ล่วงเกินคนจากอารามนิรันดร์อีกหลายคนสินะ ?” ซูเฉินตอกกลับ “ข้าช่วยท่านกำจัดฝ่ายตรงข้าม ทำให้พวกเขาเกลียดชังข้าแทน ท่านไม่ต้องขยับสักนิด แผนการดีไม่น้อย”

ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “พวกเราก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนี่ ?”

ซูเฉินตอบ “ไม่ใช่ข้า เพราะข้าไม่สนภาพลักษณ์ที่ราชวงศ์มองข้า”

ซูเฉินไม่สนจริง ๆ

แสดงความภักดีต่อราชวงศ์หรือ ?

ช่างหัวมันไปสิ ! เขาไม่จำเป็นต้องได้แรงสนับสนุนจากราชวงศ์ก็เดินมาถึงจุดนี้ได้

ไม่ต้องสังหารอันซื่อลี่เพื่อสดงความภักดี ก็เพราะเขาไม่ได้ภักดีมาตั้งแต่ต้นแล้ว

ฉือหมิงเฟิงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

แม้จะรู้ว่ากระตุ้นซูเฉินให้ลงมือได้ยาก แต่พอได้ยินก็ยังผิดหวังอยู่

ได้แต่เอ่ยเสียงจนใจ “หากไม่สนราชวงศ์ แล้วจะสนเรื่องอำนาจฝั่งอันซื่อลี่หรือ ? เอาเลย ท่านบอกเงื่อนไขมาได้เลย”

ซูเฉินหัวเราะ “เห็นไหม ? ต้องแบบนี้สิ”

ในเมื่อรู้จักกันมานาน ย่อมต้องเข้าใจนิสัยกันและกัน

ซูเฉินโน้มน้าวให้ลงมือยาก แต่ใช้เงินซื้อได้

อยากสังหารอันซื่อลี่หรือ ? ไม่ยาก เอาของที่ถูกใจมาให้เขาสิ !

ฉือหมิงเฟิงรู้ดี แต่ที่กล่าวทั้งหมดไปเพราะอยากยกประโยชน์ให้ซูเฉินน้อยลงต่างหาก

แต่คำพูดพวกนั้นจะได้ผลจริงหรือไม่นั้นกล่าวยาก

ซูเฉินบอกตามตรง “อันซื่อลี่น่าจะคุมกิจการอยู่มากทีเดียวกระมัง ?”

ได้ยินดังนี้ ฉือหมิงเฟิงก็ชะงักไป “ท่านอยากได้พวกมันหรือ ? แต่ท่านไม่ขาดเงินนี่”

ในสายตาฉือหมิงเฟิง ซูเฉินมีแต่จะสนใจความรู้ รองลงมาคือทรัพยากร กิจการเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือทำเงิน ดังนั้นซูเฉินจึงไม่เห็นมันสำคัญมากมาย แต่คาดไม่ถึงว่าเป็นกิจการเหล่านี้นี่ล่ะที่ซูเฉินสนใจ

ซูเฉินตอบ “ข้าไม่ขาดเงิน แต่ขาดสินทรัพย์”

“ต่างกันด้วยหรือ ?”

“ย่อมต่าง”

สินทรัพย์เหมือนไก่ เงินก็เหมือนไข่

คนเราต้องมีกิจการให้ดูแล แจกจ่ายหน้าที่ให้ทำงาน

กลุ่มองค์กรที่ดีต้องไม่ใช่ให้ซูเฉินเสียหยาดเหงื่อแรงกายเพียงผู้เดียว แต่จะสำเร็จได้ด้วยความสามารถในการสร้างผลประโยชน์อย่างยั่งยืนของมันต่างหาก

ซูเฉินเป็นเจ้านิกายไร้ขอบเขต ย่อมจำเป็นต้องมีสินทรัพย์ที่สามารถมอบแก่ศิษย์ทั้งหลายที่ติดตามได้ ไม่เพียงมีงานให้ทำและได้ประโยชน์ แต่ยังเป็นหนทางให้นิกายไร้ขอบเขตได้ข้อมูลจากภายนอกด้วย

ดังนั้นซูเฉินจึงสนเรื่องกิจการไม่น้อย ซึ่งเดิมทีชายหนุ่มไม่ได้สนใจให้ความสำคัญมาก่อน

เขาไม่เพียงอยากได้กิจการของอันซื่อลี่ แต่อยากสานสัมพันธ์กับเครือข่ายเรือเหาะเมืองกลืนธาราใหม่ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเขาที่ปั้นมันขึ้นมาแล้วส่งให้ตระกูลกู่ นับเป็นแผนที่เขาคิดจะไปเกี่ยวข้องด้วยอีกครั้ง ลูกน้องเก่าอย่างหลี่ชู่และคนอื่น ๆ ต่างถูกเรียกมาเพื่อจัดการเรื่องเหล่านี้

นิกายไร้ขอบเขตอยู่ในใจกลางลึกของเขาหมื่นดาบ แต่มีอิทธิพลกว้างขวางทั่วอาณาจักร ไม่สิ ทั่วเผ่ามนุษย์ต่างหาก !

เขาเผลออธิบายให้ฉือหมิงเฟิงมากเกินไป แต่คำขอไม่นับว่ามากเกินไป

ซูเฉินเปิดปากร้องขอ ฉือหมิงเฟิงตอบตกลง

หัตถ์สีเลือดอันซื่อลี่เป็นชาวอาร์คาน่าผู้เหลือรอดโดยแท้ เป็นปรมาจารย์เผ่าอาร์คาน่าระดับ 6 มีพลังเทียบเท่าด่านสู่พิสดารพร้อมแท่นบงกช 7 แท่น หรือเทียบด่านผลาญจิตวิญญาณระดับต่ำได้เลย เป็นอาชญากรหมายหัวของอาณาจักรหลงซาง ประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน จะนับว่าเป็นด่านผลาญจิตวิญญาณคนหนึ่งก็ไม่ผิด ฝีมือการต่อสู้แท้จริงเหนือกว่าเงามรณะตอนเพิ่งทะลวงถึงด่านผลาญจิตวิญญาณด้วยซ้ำ

กระนั้นก็มีพลังเท่านั้น

ไม่ว่าจะแกร่งเพียงไหน แต่ก็ไม่แกร่งไปกว่าหลี่ฉงซานแน่

ใช่แล้ว ซูเฉินไม่คิดจะลงมือเองตั้งแต่แรก

หลังรู้ที่อยู่ของอันซื่อลี่จากฉือหมิงเฟิง เขาก็ส่งหลี่ฉงซาน พร้อมกับเงามรณะ ฉู่อิงหว่าน จวินโม่เสีย และทหารนับร้อยจากหอต่อสู้ออกไปในการเดินทางครั้งนี้

ผลลัพธ์เห็นชัดเจน มีด่านผลาญจิตวิญญาณไป 2 คน ด่านสู่พิสดาร 2 คน ด่านทะลวงลมปราณอีกนับร้อยเข้าร่วมเช่นนี้

ครึ่งเดือนต่อมา หลี่ฉงซานและคนอื่น ๆ ก็กลับมา พร้อมกับบันทึกมากมายที่ได้มาจากกิจการของอันซื่อลี่

ซูเฉินอ่านผ่าน ๆ แล้ววางไว้ด้านข้าง สิ่งสำคัญที่สุดของเขาคือการทดลองและการบ่มเพาะพลังต่างหาก

ช่วงระหว่างนี้ คนนอกก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นมากเรื่อย ๆ

คนแรก กังเหยียนพาเผ่าหินผาพายุคลั่งกลับมาด้วย

ซูเฉินสัญญากับกังเหยียนไว้ก่อนหน้าว่าจะหาที่ปลอดภัยให้เผ่าหินผาพายุคลั่งอาศัย และได้ทำตามสัญญาแล้ว เพราะเขาหมื่นดาบกว้างขวาง เป็นบ้านให้พวกเขาได้ทุกที่ ซูเฉินอนุญาตให้กังเหยียนเลือกยอดเขาสำหรับให้เผ่าหินผาพายุคลั่งอาศัยได้เลย และจะได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นมนุษย์

จากนั้นไม่นาน หลี่ชู่ก็มาถึงพร้อมหมิงซินและโจวหง แก้ปัญหาใหญ่ให้ซูเฉินได้ ซึ่งก็คือการขาดคนทำกิจการ

หลี่ชู่และโจวหงที่เป็นผู้ติดตามยาวนานของซูเฉินทำงานหนักเพื่อดูแลกิจการให้ซูเฉินทั้งหมด แม้ชายหนุ่มจะไม่คิดใส่ใจมาก แต่ไหวพริบด้านการค้าของหลี่ชู่ก็โดดเด่นนัก

และตอนนี้มันก็กำลังสำแดงประโยชน์ให้ซูเฉินแล้ว

จริง ๆ แล้วซูเฉินไม่ต้องการสินทรัพย์มากมาย แต่ต้องการคนฝีมือที่มาจากการดูแลกิจการมานานหลายปีต่างหาก

นิกายไร้ขอบเขตมีทหารมาก แต่ขาดฝ่ายดูแล การมาถึงของหลี่ชู่จึงได้เวลาพอดี ช่วยบรรเทาการขาดดุลนี้ได้

ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ลังเล เลื่อนขั้นให้หลี่ชู่ หมิงซิน และโจวหง ให้จัดการหอกิจการ กระทั่งลูกน้องเก่าของหลี่ชู่ยังถูกนำมาใช้งาน คนเหล่านี้ทำงานมานานหลายปี ได้เลื่อนยศเช่นนี้นับมาดีไม่น้อย

เวลาผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไป 1 ปี

ภายในเวลาปีเดียว นิกายไร้ขอบเขตก็สร้างรากฐานขึ้นมาอย่างมั่นคง

ซูเฉินไร้ความก้าวหน้าเหลือเชื่อใดในช่วงนี้ แต่หันไปสนใจการทำความเข้าใจและรวมศูนย์พลังตนเองมากกว่า

วิถีการต่อสู้หลักของซูเฉินจึงถูกกำหนดขึ้นในตอนนี้ เขามีลักษณ์เลือดต้นกำเนิดไว้ใช้ต่อสู้ระยะประชิด ไม่ได้ทำให้เขาใช้วิชาได้แรงขึ้น แต่เพิ่มความแกร่งให้เหมือนกับเป็นการเพิ่มคุณสมบัติ ส่วนการโจมตีระยะไกล ซูเฉินมีวิชาจิตหงส์เพลิง เป็นวิชาที่แกร่งที่สุดของเขาในตอนนี้ อำนาจเพลิงคลั่งหาที่ใดเทียม

ร่างกายเขาก็เหมือนกับคนเถื่อน พลังชีวิตกล้าแข็ง ทบเท่าทวีคูณ ทั้งยังมีวิชาสรรพสิ่งลวงตาลวงศัตรู มีวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายไว้ขยับเคลื่อนอย่างว่องไวในสนามต่อสู้

ความน่าเสียใจเดียวของเขาคือความสามารถในการใช้สายฟ้าของเขาไม่พัฒนามากนัก ดาบอัสนีบาตตามอัตราความก้าวหน้าพลังของเขาไม่ทัน เขาจึงใช้แต่ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดยามโจมตีธรรมดา ไม่ได้ใช้วิชาธรรมดาอื่น ๆ เลย

เรื่องนี้ซูเฉินมีแต่ต้องค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น

วันนี้ ซูเฉินยังทำวิจัยโทเทมวิญญาณสายฟ้าต่อไป

เขาค่อย ๆ ลอกลายอักขระบนโทเทมช้า ๆ สัมผัสถึงพลังงานลึกล้ำที่อยู่ภายใน เนตรจุลภาคสังเกตทุกสรรพสิ่ง เผยให้เห็นความลับเบื้องหลัง

แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ ก็เหมือนจะมีอุปสรรคเป็นพลังงานที่ไม่อาจมองเห็นได้บางอย่างห่อหุ้มโทเทมวิญญาณสายฟ้าไว้ ราวกับหมอกบดบังสายตา

ในตอนที่จะทนไม่ไหวนั่นเอง กังเหยียนก็็เดินมา “นายท่าน อวิ๋นเป้ามาถึงแล้ว”

“อวิ๋นเป้า ?”

ซูเฉินประหลาดใจยามได้ยินชื่ออวิ๋นเป้า โยนโทเทมวิญญาณสายฟ้าทิ้งแล้วรีบออกไป

อวิ๋นเป้ายืนเหนือเสาไม้กลางห้องโถงใหญ่

ซูเฉินเร่งรุดมาราวกับสายลม พอเห็นอวิ๋นเป้าก็กระโดดเข้าใส่

“ฮ่า ๆ อวิ๋นเป้า ไม่ได้เจอกันนาน ! คิดถึงเหลือเกิน”

อวิ๋นเป้าหน้าคว่ำ “หึ คิดถึงบ้านเจ้าสิ”

ซูเฉินประหลาดใจ “หือ ? เจ้าหมายความว่าไง ?”

“หากคิดถึงจริง ก็คงไม่ไปแดนคนเถื่อนคนเดียว” อวิ๋นเป้าบ่น

“นี่ เจ้ายังโกรธเรื่องนั้นอยู่อีกหรือ ? ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไร ? นี่ข้าทำเพื่อเจ้านะ ในเมื่อเข้าแดนคนเถื่อนมันเสี่ยงนักข้าเลยไม่อยากให้เจ้าเกิดเรื่อง อย่างไรก็เถอะ ที่กองทัพกำลังสวรรค์กลับไปได้สำเร็จก็เพราะเจ้าช่วยไม่ใช่หรือ ?”

“แล้วทำไมถึงเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้ ?”

“ไอ้หยา กล่าวหาข้าผิด ๆ ข้าออกจากปราการลุ่มน้ำทองก็วานให้คนไปบอกเจ้าทันที แต่เจ้าก็วิ่งไปทั่ว หาตัวไม่พบ !” ซูเฉินตะโกน

“เจ้าแน่ใจ ?” อวิ๋นเป้าจ้องซูเฉินสายตาเคลือบแคลง

“แน่ใจ !” ซูเฉินเอ่ยเสียงมั่น แต่ในใจรู้สึกผิดนัก

แท้จริงแล้วเขามัวแต่ยุ่งกับการสร้างนิกาย วิจัยเรื่องไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด เสริมความแกร่งตน ทั้งยังภาระอื่น ๆ อีกซึ่งมากจนลืมบอกให้พี่น้องรู้ข่าว เพิ่งนึกได้ไม่นานมานี้ เวรเอ๊ย ! ลืมบอกพวกเขาไปเลยว่าเขาย้ายมาเขาหมื่นดาบแล้ว คิดได้จึงรีบส่งคนไปบอกอวิ๋นเป้าและคนอื่น ๆ

แต่อวิ๋นเป้าก็ปลอบง่าย แม้จะไม่เด็กแล้ว แต่ก็ยังเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ได้ซูเฉินพูดปลอบสักหลายประโยคหน่อยก็หายโกรธ

หลังปลอบอวิ๋นเป้าแล้ว ซูเฉินก็ตระหนักว่าตนเอาแต่วิจัยจนลืมไปหลายอย่าง

เรื่องฝั่งกู่ชิงลั่วก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ลืมเช่นกัน

เขาพูดไว้นานแล้วว่าจะไปหากู่ชิงลั่วทันทีที่ช่วยกองทัพกำลังสวรรค์ได้ แต่ด้วยเรื่องตั้งนิกายจึงยังไปไม่ได้ โชคดีที่ยังไม่ลืมสัญญาไปสิ้น ทำให้เขาเลือกตั้งนิกายที่เขาหมื่นดาบ

เขาหมื่นดาบอยู่ติดอาณาจักรภูผาสูญ ส่วนหนึ่งอยู่ในเขตอาณาจักรภูผาสูญด้วยซ้ำ

คงถึงเวลาไปหากู่ชิงลั่วแล้วกระมัง ซูเฉินคิด

แต่ซูเฉินก็เก็บความคิดนี้ลงไปในที่สุด

นั่นก็เพราะเริ่มมีข่าวแพร่ออกไป สหายหลายคนของซูเฉินเดินทางมาเยี่ยม รวมถึงเฮ่ออวิ๋นตง ชีเว่ยเยี่ยน ผีเยวี๋ยนหง ถังหมิง และคนอื่น ๆ อีกมาก

บ้างถึงกับมาเข้านิกายไร้ขอบเขต

เจียงหานเฟิง คนหนุ่มที่มีชีวิตชีวาสูง ยังคงความประหลาดพิลึกไว้ได้ดี หลังจากรับใช้ราชวงศ์มา 10 ปีก็กลับไปทำงานให้ตระกูล

แต่ถูกขังไว้ในตระกูลอย่างเดียวก็ทำให้จิตวิญญาณเสรีถูกปิดกั้น โดยเฉพาะเมื่อถูกบีบให้แต่งงาน

“ท่านไม่รู้เรื่องกว่าครึ่ง ศิษย์พี่ซู ! สตรีนางนั้นทั้งใจร้ายทั้งอัปลักษณ์ ไม่มีใครอยากได้นางหรอก ตระกูลข้าบีบให้ข้าแต่งก็เพราะสายเลือดราชันอสูรของนาง บอกว่าเป็นเรื่องดีงามต่อวงศ์ตระกูล แต่ควรหรือที่ข้าจะสละอนาคตไปเพื่อพวกเขา ? ข้าก็เลยหนีมาไง หากท่านยินดีรับข้าเข้านิกาย ข้าก็จะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนอีก !” เจียงหานเฟิงว่า

“ดี ! ข้าขาดเรื่องค่ายกลพอดี นิกายไร้ขอบเขตกว้างใหญ่มาก ควรต้องมีค่ายกลใหญ่สักที่เพื่อปกป้องเขา” ซูเฉินว่าพลางตบไหล่เจียงหานเฟิง

เห็นสีหน้าซูเฉินแล้ว เจียงหานเฟิงพลันรู้สึกเหมือนหนีเสือปะจระเข้ยังไงไม่รู้