ภาคที่ 5 บทที่ 10 อุปสรรค

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 10 อุปสรรค

2 เดือนต่อมา คนที่มาได้ก็มาแล้ว เยว่หลงซาเองก็มาด้วย

ในเมื่อซูเฉินไม่คิดว่าจากนี้จะมีแขกมาอีก ในที่สุดเขาจึงออกเดินทางไปภูผาสูญ

ครั้งนี้ซูเฉินไม่ได้ไปคนเดียว นอกจากกังเหยียนแล้ว ก็ยังพาเงามรณะ อวิ๋นเป้า และข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ไปด้วย เพราะอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นเจ้านิกายไร้ขอบเขต หากไม่มีลูกน้องติดตามก็คงดูต่ำต้อยไปสักหน่อย

หลังออกจากนิกายมา ซูเฉินและพวกก็ตรงไปยังเมืองฝนต้นฤดู

เมืองฝนต้นฤดูเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรภูผาสูญ ก่อตั้งขึ้นโดยฉู่หย่วนคงแห่งตระกูลฉู่ ซึ่งมีสายเลือดเทพอสูรเขี้ยวพิสุทธิ์ ผู้นำตระกูลฉู่ ในปัจจุบันคือฉู่หยวน นับเป็นผู้นำตระกูลคนที่ 5 ของตระกูลฉู่

ด้วยตระกูลกู่จำต้องถูกตรวจสอบอย่างเคร่งครัดจึงถูกส่งมายังเมืองฝนต้นฤดู

ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังเป็นตระกูลที่ใหญ่รองตระกูลฉู่

หลังจากโดยสารเรือเหาะตะวันกรุ่นหลายวัน ซูเฉินกับพวกก็มาถึงเมืองฝนต้นฤดูในที่สุด

พวกเขาลงจอดอยู่นอกกำแพงเมืองก่อน จากนั้นเดินเท้าเข้าเมืองไป

ไม่เหมือนกำแพงเมืองสูงมั่นคงของเมืองฉางผาน กำแพงเมืองฝนต้นฤดูนั้นเตี้ยมาก ทั้งยังป้องกันไม่แน่นหนา แม้จะเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร แต่ก็เหมือนเมืองธรรมดาเมืองหนึ่ง

อาจเพราะจุดประสงค์ของอาณาจักรภูผาสูญไม่ใช่เพื่อรับมือกับภัยภายนอก แต่เป็นภัยภายในมากกว่า

เห็นได้ชัดว่าสายเลือดตระกูลฉู่มีวิชาที่สามารถข่มสายเลือดของตระกูลกู่ได้ ดังนั้นจึงได้รับฐานะสูงส่ง

ซูเฉินใช้เวลาคิดอยู่นานว่าจะมีทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดอะไรที่ทำให้สายเลือดเทพอสูรสามารถข่มสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลไว้ได้ แต่ในเมื่อตระกูลฉู่สามารถจับตาดูคนจากตระกูลกู่มาได้นับพันปีโดยไม่ล้มเหลว ก็คงจะมีวิชาอะไรสักอย่างกระมัง

เรือนพักตระกูลกู่หาเจอไม่ยาก ซูเฉินและคนอื่นถามตามข้างทางก็รู้แล้ว

ตรอกต้นหลิวตะวันตก ใกล้กลับถนนป่าทางเหนือหลัก ทั้งหมดเป็นของตระกูลกู่ ดังนั้นจึงรู้จักกันอีกชื่อว่าตรอกตระกูลกู่

ยาม 2 คนยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลกู่

น่าตกใจนักพี่ทั้งคู่คนอยู่ด่านทะลวงลมปราณ อีกก้าวก็ทะลวงสูงด่านสู่พิสดารแล้ว

หากคนเฝ้ายามประตูหน้ายังมีพลังสูงเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าตระกูลกู่ทรงอำนาจขนาดไหน

ซูเฉินก้าวออกไปแล้วกล่าวว่า “ข้ามีนามว่าซูเฉิน มาพบแม่นางกู่ชิงลั่ว”

น่าแปลกที่ทั้งสองกลับชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อ “ซูเฉินหรือ ?”

ซูเฉินเอ่ย “ใช่แล้ว”

ทั้งคู่หันมองหน้ากัน คนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ท่านกรุณารอตรงนี้สักครู่ พวกข้าจะเข้าไปแจ้งด้านในทันที”

พูดจบ คนผู้นั้นก็หันหลังเดินเข้าคฤหาสน์ตระกูลกู่ไป

ซูเฉินมองเงาร่างที่หายไปของคนเฝ้ายามแล้วเอ่ยเสียงสงบขึ้นว่า “ดูจากน้ำเสียงเมื่อครู่ พวกเจ้าเคยได้ยินนามของข้ามาก่อนหรือ ?”

คนเฝ้าที่เหลืออยู่ไม่สบตาซูเฉิน “ไม่เคยขอรับ”

“ไม่เคยหรือ ?” ซูเฉินจ้องคนเฝ้ายาม “แล้วทำไมถึงประหม่านัก ? หายใจแรงขึ้น รวมพลังในร่าง กำลังสร้างความแกร่งอยู่ภายในโดยไม่รู้ตัว……”

คนเฝ้ายามคำราม “ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร รออยู่ที่นี่ดี ๆ เถอะ”

ซูเฉินถอยไปก้าวหนึ่ง “เช่นนั้นข้าจะมาวันอื่น”

พูดกับเขาก็หันไป ทำท่าจะจากไป

เมื่อนเฝ้ายามเห็นดังนั้นก็ยิ่งประหม่าหนักแล้วร้องลั่นขึ้นมา “อย่าเพิ่งไป !”

ทั้งยังเอื้อมมือมาคว้าตัวซูเฉินไว้

แต่ก่อนมึงจะสัมผัสถูกตัวซูเฉิน ซูเฉินก็ตะโกน “จับเขาไว้ !”

กังเหยียนเอื้อมแขนขนาดใหญ่ออกมาคว้าไหล่อีกฝ่ายไว้จนเขาขยับตัวไม่ได้ ในขณะเดียวกันเงามรณะก็ปล่อยกระดาษริ้วยาวออกมามัดร่างคนเฝ้ายามไว้เป็นมัมมี่

ซูเฉินยังคงเดินต่อไปไม่หันมอง คนอื่น ๆ พาคนเฝ้ายามแล้วจากไปโดยเร็ว หายไปจากตรอกในพริบตา

ครู่ต่อมา คนกลุ่มใหญ่ก็เพิ่งเข้ามาในตรอก ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากลิ่นอายสูงส่งนำอยู่ด้านหน้า เหลือบมองโดยรอบแล้วไม่เห็นคนเฝ้าอีกคนก็สบถด่าด้วยใบหน้าดำคล้ำ “บัดซบ ! เขาหนีไปได้ !”

ชายใบหน้าเคร่งเอ่ยขึ้นทันที “ค้นหาเสีย เขาไปได้ไม่ไกลหรอก”

ทุกคนจึงแยกย้าย

ไม่มีใครเห็นคนที่กำลังยืนหลบมุมในเงามืดเลยสักคน

ก็คือซูเฉิน

มองดูพวกเขาอีกเล็กน้อยก็หันหลังเดินจากไป

ครั้งนี้เขาไปจริง

คนเฝ้ายามฟื้นขึ้นมาภายหลังอยู่ในป่านอกเมืองฝนต้นฤดู

ทันทีที่ลืมตาก็เห็นใบหน้าดุดันประจันหน้าอยู่

คนเฝ้ายามตกใจเป็นยิ่งนัก กังเหยียนคว้าคอเขาไว้แล้วตะคอกใส่ “ข้าจะถามเจ้า ส่วนเจ้าตอบมา อย่าเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เข้าใจไหม ?”

คนเฝ้ายามพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว

กังเหยียนจึงปล่อยมือแล้วถอยออกมา ซูเฉินเดินเข้ามาอยู่ตรงกลางแทน “ใครเป็นคนสั่งให้จัดการกับข้า ?”

“นายน้อยกู่เฟยหงขอรับ”

“เขามีฐานะอะไรในตระกูลกู่ ?”

“ลูกชายคนสุดท้องของผู้อาวุโสกู่หมิงเว่ยขอรับ”

“แล้วทำไมถึงอยากจัดการข้า ?”

“นายน้อยกู่ชื่นชอบกู่ชิงลั่วขอรับ”

“ทั้งคู่มาจากตระกูลกู่ ทำไมอยากจะกินหญ้าข้างรังเช่นนี้ (1)?”

“พวกเขาอยู่ห่างจากตระกูลหลักมานาน สายเลือดเจือจางไปนานแล้ว อีกทั้งเพื่อความบริสุทธิ์ของสายเลือด ตระกูลชั้นสูงทั้งหลายต่างก็สนับสนุนเรื่องเช่นนี้ มันแปลกนักหรือขอรับ ?”

กร๊อบ !

“อ๊าก !”

คนเฝ้ายามร้องเสียงเจ็บปวดเมื่อถูกหักนิ้วหนึ่ง

ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น “ข้าเตือนแล้วใช่หรือไม่ว่าอย่าเสียเวลากับเรื่องไม่สำคัญ ?”

“ขอ… ขอรับ..” คนเฝ้ายามรีบพยักหน้า

“ชื่ออะไร ?”

“กู่…… กู่เหลียน”

“สายเลือดยังไม่ตื่นหรือ ?”

“หากสายเลือดตื่นแล้วข้าจะถูกเลือกให้มาเป็นคนเฝ้าประตูหรือ ?”

“ก็ถูก มีคนตระกูลกู่ที่สายเลือดตื่นขึ้นแล้วกี่คน ?” ซูเฉินถามต่อ

“ทั้งหมด 542 คน”

“พื้นฐานพลังเป็นอย่างไร ?”

“พวกเขาเป็นใคร ?”

“อยู่ที่ไหน ?”

“กู่ชิงลั่วเล่า ?”

“ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง ?”……

ซูเฉินถามคำถามหลายอย่าง

คนเฝ้ายามตอบคำถามของเขาทั้งหมด เขาจึงสามารถวาดภาพอำนาจของตระกูลกู่ออกมาได้อย่างช้า ๆ

ในตระกูลกู่มีคนด่านมหาราชันทั้งหมดอยู่ 12 คน รู้จักกันในนาม 12 ราชันมนุษย์ เป็นขุมกำลังหลักของตระกูลกู่

ถัดลงมามีด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน 42 คน รู้จักกันในนาม 42 เสาค้ำฟ้า ด้วยเหตุผลที่พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่คอยค้ำฟ้าให้ตระกูลกู่

รองลงมาก็มีด่านผลาญจิตวิญญาณอีกนับร้อย

ถัดจากนั้นยังมีด่านสู่พิสดารอีก 300 คน นับเป็นจำนวนมากที่สุด แท้จริงแล้วมีคนด่านทะลวงลมปราณเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น

นั่นก็เพราะทันทีที่สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลตื่นขึ้น การทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารจึงเป็นเรื่องง่ายนัก สิ่งที่คนอื่นเห็นเป็นอุปสรรคเกินจะฝ่าก็เหมือนกับเป็นทางตรงในสายตาของคนตระกูลกู่

ส่วนด่านกลั่นโลหิตและต่ำไปกว่านั้นนับว่าไม่มี นั่นก็เป็นเพราะพื้นฐานพลังเช่นนี้ยากจะทำให้สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลตื่นขึ้นได้ หากไม่แข็งแกร่งอยู่เป็นทุนเดิมบ้างก็ทำได้ยาก

ไม่มีตระกูลไหนในอาณาจักรจะสามารถประกาศว่าพวกเขามีกองกำลังและความแข็งแกร่งเหนือไปกว่าตระกูลกู่ได้อีกแล้ว

หากไม่ใช่เพราะตระกูลฉู่มีวิชาลับที่สามารถข่มตระกูลกู่ไว้ได้ อำนาจของตระกูลกู่ก็คงจะสามารถตั้งราชวงศ์อันรุ่งเรืองขึ้นได้เลยด้วยซ้ำ

แม้พวกเขาจะรู้ว่าตระกูลกู่ทรงพลังขนาดไหน แต่พอรู้เรื่องเข้าจริงก็ยังตกใจมากอยู่ดี

ไม่แปลกที่คนเฝ้ายามยอมคายข้อมูลออกมาได้ง่ายเช่นนั้น คำถามของซูเฉินเป็นเรื่องที่คนในภูผาสูญรู้กันดีอยู่แล้ว

ตระกูลกู่ไม่เคยคิดปิดบังความแข็งแกร่ง อย่างไรตระกูลฉู่ก็ไม่ยอมให้ทำได้อยู่แล้ว

ในตอนนี้ คนเฝ้ายามอธิบายเรื่องทั้งหมดจบจึงเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ท่านรู้ว่าตระกูลกู่น่ากลัวขนาดไหนแล้วใช่หรือไม่ ? ถ้าจะขอแนะนำท่านอย่างหนึ่ง หนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วอย่ากลับมาอีกดีกว่า อย่างไรถ้ากล้าล่วงเกินตระกูลกู่ก็คงมีจุดจบไม่สวย”

“คำพูดคำจาเย่อหยิงไม่น้อย ไม่กลัวจะถูกข้าสังหารหรือ ?” ซูเฉินถาม

คนเฝ้ายามส่งเสียงคำราม “ก่อนหน้านี้ข้ายอมร่วมมือด้วย เพราะเกรงว่าท่านจะลงมือหุนหัน ตอนนี้รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของตระกูลกู่แล้ว คงคิดก่อนทำได้บ้าง หากกล้าสังหารข้า ตระกูลกู่ไม่ปล่อยท่านไว้แน่”

“ ตระกูลกู่ออกจากภูผาสูญไม่ได้ ข้าจะกลัวทำไม ?”

“แม้จะออกจากภูผาสูญไม่ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากมีคนสังหารศิษย์ตระกูลกู่ พวกเขาก็มีสิทธิ์ส่งคนออกมาแก้แค้น สามารถขออนุญาตออกจากอาณาจักรด้วยมีเหตุได้ !”

“แต่เหตุเหล่านั้นก็ไม่รวมเจ้าหรอกกระมัง ?” ซูเฉินว่า

คนเฝ้ายามหน้าเปลี่ยนไปทันใด เห็นได้ชัดว่าซูเฉินจับถูกจุดอ่อน

ซูเฉินถอนหายใจ “ข้าเตือนแล้วว่าอย่าทำให้เสียเวลากับเรื่องไร้สาระ แต่เจ้าก็ไม่ฟังพูดจามากความเกินไปแล้ว เพราะฉะนั้นข้าจะไม่หักนิ้วเจ้าอีก แต่จะไปหักตรงอื่นแทน”

ในตอนที่คนเฝ้ายามถอนหายใจโล่งอกก็ได้ยินซูเฉินเอ่ยว่า “คอ”

คนเฝ้ายามสะดุ้งสุดตัว “ไม่……”

กร๊อบ ! ซูเฉินหักคอคนเฝ้ายาม

“หากไม่โอหังก็คงมีชีวิตรอด” ซูเฉินว่าพลางโยนร่างคนเฝ้ายามทิ้ง จากนั้นครุ่นคิดหนัก

ผ่านไปชั่วครู่ ซูเฉินจึงพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าพบกู่ชิงลั่วให้ได้”

กังเหยียนชะงักไป “นายท่าน คิดให้รอบคอบอีกทีเถอะ !”

12 ราชันมนุษย์น่ากลัวเกินไป กระทั่งจักรพรรดิอสูรกายที่บาดเจ็บสาหัสอย่างใจสีเลือดยังเกือบเอาชีวิตซูเฉินได้ 12 ราชันมนุษย์ นับเป็นยอดคนเหนือคนโดยแท้

ซูเฉินในตอนนี้ไม่คู่ควรจะท้าทายพวกเขา ได้แต่แหงนหน้ามองชื่นชมเท่านั้น

ส่วนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอีก 42 คนสะบัดมือคราวเดียวก็คงสังหารศิษย์นิกายไร้ขอบเขตส่วนมากไปได้

แต่ไม่ว่าจะอันตรายเพียงไหน ซูเฉินก็ยังเดินหน้าต่ออย่างไรความกลัว

ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “ตระกูลกู่แข็งแกร่ง เราจะบุกตะลุยเข้าไปเลยไม่ได้ แต่ใช้กำลังไม่ได้ผลไม่ได้หมายความว่าใช้สมองจะไม่ได้ผลตามไปด้วย หากลองใช้สมองสักหน่อยก็จะหาทางเอง”

ซูเฉินสามารถดึงตระกูลกู่ในเมืองกลืนธารามาเข้าพวกได้ด้วยการใช้เงินหลายล้านแก้ปัญหา ดังนั้นจะใช้อิทธิพลเช่นเดียวกันกับที่นี่ก็ดูจะมีโอกาส แต่ตระกูลกู่หลักที่มี 12 ราชันมนุษย์อยู่นั้นทรงพลังมากกว่าตระกูลสาขาไหนในหลงซี คิดจะใช้เงินซื้อพวกเขาอาจต้องใช้เงินเป็นแสนล้าน ไม่ใช่เพียงสิบล้าน

แม้จะมีเงินถึงขนาดนั้นแต่ซูเฉินก็คงไม่คิดใช้

ดังนั้นดูท่าแล้วเขาคงจะใช้เงินแก้ปัญหาไม่ได้

แต่ใช้เงินไม่ได้ ก็ยังใช้ทางอื่นได้

หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ ซูเฉินจึงเอ่ยขึ้นว่า “อย่างแรก ต้องหาทางทำให้กู่ชิงลั่วรู้ก่อนว่าข้าอยู่ที่นี่”

กู่เฟยหงคงรีบจัดการกับเขามาก เพราะกู่ชิงลั่วยังรอเขาอยู่

แต่หากยังมีกู่เฟยหงอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลกู่ ซูเฉินคงจะพบหน้ากู่ชิงลั่วได้ยาก แต่ละวันที่ซูเฉินไม่อาจพบหน้ากู่ชิงลั่วนับเป็นวันที่กู่เฟยหงจะหาเวลาเตรียมจัดการกับซูเฉินได้ เป็นไปได้ว่ากู่ชิงลั่วอาจคิดว่าเขาตกหลุมรักคนอื่นไปแล้ว จากนั้นกู่เฟยหงก็ฉวยโอกาสเสนอหน้าเข้ามา กระทั่งสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดคงจะต้านทานได้ยาก

ดังนั้นเรื่องสำคัญที่สุดก็คือเขาจะต้องบอกให้กู่ชิงลั่วรู้ว่าเขามาหานางแล้ว

กังเหยียนเอ่ยเสียงเป็นกังวลอยู่บ้าง “แต่หากเราเข้าพบแม่นางกู่ไม่ได้ แล้วจะส่งข่าวให้นางรู้อย่างไร ?”

“เรื่องนี้……” ซูเฉินเดินกลับไปกลับมาหลายครั้ง “ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”

“มีแผนอย่างไร ?” ทุกคนถามขึ้น

ซูเฉินเอ่ยเสียงนิ่ง “ลองคิดนอกกรอบให้มากสักหน่อย จะส่งข่าวหานางอาจไม่จำเป็นต้องเข้าไปถึงในคฤหาสน์…… ไม่ว่ากู่เฟยหงจะพยายามสกัดข่าวไม่ให้ถึงหูนางมากเพียงไหน อย่างไรนางก็ต้องมีวันที่ออกจากคฤหาสน์บ้างไม่ใช่หรือ ?”

“เช่นนั้นเราก็จะรอ เป็นโจรพันวันพวกเขาคงไม่เฝ้าโจรอยู่พันวันกระมัง ไม่นานนางก็คงออกมา”

ความอดทนเป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและได้ผลที่สุดกลยุทธ์หนึ่งที่มักจะประสบความสำเร็จได้มากที่สุด

เชิงอรรถ

  1. กินหญ้าข้างรัง มาจากสำนวน กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรังตน หมายถึง ไม่ทำอะไรกระทบคนใกล้ตัว เพราะจะส่งผลถึงตน ในที่นี้ใช้ กินหญ้าข้างรัง จึงให้ความหมายกลับกัน หมายถึง ทำเรื่องที่กระทบคนใกล้ตัว